ตอนที่ 448 พิจารณาคดี

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 448 พิจารณาคดี

เวลาการเปิดพิจารณาคดีใกล้จะมาถึงแล้ว

ประเทศจีนได้ระงับระบบทนายความตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังค.ศ.1957เป็นต้นไป เนื่องด้วยเหตุผลหลายประการ

ในวันที่26 สิงหาคม ค.ศ.1980 ได้มีการหารือแผนรับมือชั่วคราว

กระทั่งปีค.ศ.1986 จึงเริ่มดำเนินการสอบคุณสมบัติทนายความทั่วประเทศแบบรวมศูนย์ และได้พลิกฟื้นอาชีพทนายความขึ้นมาอีกครั้ง

ดังนั้นในยุคนี้จึงไม่มีทนายความช่วยว่าความ

โจทก์และจำเลยจะต้องแก้ต่างด้วยตัวเองกันในศาล ไม่ก็เชิญเจ้าหน้าที่ศาลผู้เชี่ยวชาญในการว่าความแทนมาเป็นตัวแทน

หลินม่ายเลือกที่จะขึ้นศาลว่าความด้วยตัวเอง

กวนหย่งหัวแสดงฐานะของตัวเองอย่างชัดเจนว่าตนไม่อยากลดตัวไปขึ้นศาล ดังนั้นจึงส่งผู้ช่วยคนหนึ่งไปสู้กับเธอในชั้นศาล

ศาลวินิจฉัยอย่างเรียบง่าย คือให้ทั้งสองฝ่ายแสดงหลักฐานของตนที่พิสูจน์ว่าอีกฝ่ายใส่ร้ายตนและโรงงานเสื้อผ้าของตนขึ้นมา

หากต้องการพิสูจน์ว่าฝ่ายตรงข้ามใส่ร้ายตน ก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าฝั่งของตนเป็นต้นฉบับของสไตล์เสื้อผ้าที่ต้องสงสัยว่าถูกลอกเลียนแบบเหล่านั้น

หลักฐานที่หลินม่ายแสดงออกมานั้นคือต้นแบบของฉบับร่างแรกของเสื้อผ้าเช่นเอี๊ยมกระโปรงยีนส์ที่ต้องสงสัยว่าลอกเลียนแบบ พร้อมทั้งฉบับสมบูรณ์ที่เถาจืออวิ๋นได้แก้ไขหลังจากนั้นด้วย

หลักฐานพวกนี้ใช้เพื่อพิสูจน์ว่า สไตล์ของเสื้อผ้าพวกนั้นพวกเธอเป็นคนออกแบบเอง ไม่ได้ลอกเลียนแบบแต่อย่างใด

ผู้ช่วยของกวนหย่งหัวรอให้หลินม่ายแสดงหลักฐานจนเสร็จอย่างเป็นสุภาพบุรุษ แล้วจึงแสดงหลักฐานของตัวเองออกมาอย่างไม่รีบร้อน

หลักฐานที่เขาแสดงนั้นใกล้เคียงกับหลักฐานของหลินม่ายอย่างมาก

ซึ่งเป็นฉบับร่างและฉบับสมบูรณ์ของสไตล์เสื้อผ้าที่สงสัยว่าลอกเลียนแบบพวกนั้นเช่นกัน

ทว่าฉบับร่างและฉบับสมบูรณ์พวกนั้นก็มีความคลาดเคลื่อนไปจากของที่หลินม่ายแสดงอยู่ แต่เป็นความแตกต่างที่เล็กมากๆ

หลักฐานที่ทั้งสองได้แสดงออกมานั้นสอดคล้องกับสถานการณ์จริง

เสื้อผ้าของทั้งสองฝ่ายมีความแตกต่างในด้านสไตล์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้เหมือนกันร้อยเปอร์เซ็นต์

ทว่ามันก็ยังมีความคล้ายคลึงกันสูงถึง97% ในสายตาของคนทั่วไปก็คือฝ่ายหนึ่งเลียนแบบอีกฝ่ายหนึ่ง

หลินม่ายมองหลักฐานที่ผู้ช่วยของบริษัทเสื้อผ้าซีม่านแสดงแล้วยิ้มเหยียดหยาม

“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าหลักฐานพวกนี้ที่ซีม่านของพวกคุณแสดงมันมีแรงโน้มน้าวใจอะไร โรงงานของพวกเราต่างหากที่เปิดตัวสไตล์เสื้อผ้าที่สงสัยว่าลอกเลียนแบบพวกนั้นก่อน หลังจากที่พวกคุณลอกเลียนแบบแล้ว ก็ดัดแปลงเล็กๆ น้อยๆ แล้วค่อยวาดแบบฉบับร่างและฉบับสมบูรณ์ออกมาอีกที เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ซีม่านของพวกคุณแสดงหลักฐานเท็จแบบนี้ อยากจะตบหน้าใครเหรอคะ? หน้าพวกคุณเองเหรอ?”

ผู้ช่วยของเสื้อผ้าซีม่านพูดอย่างจริงจัง “ที่ผมแสดงนั้นไม่ใช่หลักฐานเท็จ หลักฐานของคุณต่างหากที่เป็นเท็จ! ก่อนหน้านี้ประธานกวนของเราก็เคยพูดในหนังสือพิมพ์แล้ว ว่าพวกคุณนั่นแหละที่ติดสินบนนักออกแบบของบริษัทเราจึงได้กระดาษร่างไป!”

ผู้พิพากษาเห็นทั้งสองคนว่าความต่างฝ่ายต่างบอกว่าตัวเองถูก จึงพูดขึ้น “หลักฐานที่โจทก์และจำเลยได้แสดงออกมาในตอนนี้ไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าตนไม่ใช่ผู้ลอกเลียนแบบ กรุณาแสดงหลักฐานอื่นๆ ด้วย”

หลินม่ายแบมือออก “ฉันไม่มีหลักฐานจะแสดงแล้วค่ะ”

ผู้ช่วยของเสื้อผ้าซีม่านยิ้มบางอย่างมั่นใจเต็มที่ “ผมยังมีหลักฐานจะแสดงอีกครับ”

ที่นั่งของผู้ร่วมฟังการพิจารณาคดี นักข่าวยังคงรักษาความสงบไว้ได้ ส่วนฝูงชนเหล่านั้นเริ่มกระซิบกระซาบกันขึ้นมาแล้ว

“ซีม่านยังมีหลักฐานอีก! น่ากลัวว่า Unique จะลอกเลียนแบบซีม่านจริงๆ แล้ว”

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว รูปแบบทันสมัยพวกนั้นไม่ใช่แบบที่นักออกแบบในแผ่นดินใหญ่ของเราจะออกแบบได้หรอก!”

หนิวลี่ลี่ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นก็โมโหแทบอกแตกตาย

เป็นเพื่อนร่วมชาติกันแท้ๆ แต่กลับดูถูกพวกพ้องเดียวกันขนาดนี้ น่าเศร้าใจ แต่แค้นใจยิ่งกว่า!

ผู้พิพากษาให้กลุ่มผู้คนที่ร่วมฟังการพิจารณาคดีอยู่ในความสงบ จากนั้นจึงให้ฝ่ายเสื้อผ้าซีม่านแสดงหลักฐานใหม่

ครั้งนี้ผู้ช่วยของเสื้อผ้าซีม่านไม่ได้แสดงหลักฐานพยานวัตถุ แต่เป็นพยานบุคคล

หลินม่ายประหลาดใจอย่างมาก พยานบุคคลของอีกฝ่ายคือใคร แล้วจะสามารถทำอะไรได้สักแค่ไหน

เมื่อพยานขึ้นมาบนศาล และแสดงฐานะของตัวเองว่าเป็นดีไซเนอร์ตู๋ของบริษัทเสื้อผ้าซีม่าน

ไม่เพียงหลินม่ายเท่านั้นที่เผยสีหน้าเย้ยหยัน แม้แต่ผู้พิพากษาเองก็มีสีหน้าซับซ้อนยากจะอธิบาย

ทว่าก็ยังให้ดีไซเนอร์ตู๋พูด

ดีไซเนอร์ตู๋ยืนยันหนักแน่นในศาลว่า เขาเป็นผู้ออกแบบรูปแบบเสื้อผ้าพวกนั้นก่อน

เสื้อผ้าซีม่านยังไม่ทันได้เปิดตัวแบบสินค้าพวกนั้น ก็ถูกโรงงาน Unique ส่งคนมาซื้อไปจากมือเขาเสียก่อน

ดีไซเนอร์ตู๋เอ่ยอย่างขมขื่นด้วยความสำนึกผิดในศาล “เป็นความผิดของผมเองที่โลภมากเกินไป จนถูก Unique ซื้อไปได้ ผมขอโทษสำหรับประธานกวน ขอโทษต่อซีม่านด้วยครับ”

ผู้พิพากษาตัดบทคำพูดของเขา “คุณบอกว่าโจทย์ได้ส่งคนมาซื้อกระดาษแบบร่างพวกนั้นไปจากมือของคุณ คุณมีหลักฐานไหม?”

“มีครับ คนที่ซื้อกระดาษแบบร่างของผมไปก็คือเถาจืออวิ๋นดีไซเนอร์ของบริษัทเสื้อผ้า Unique ผมได้โน้มน้าวให้หล่อนมาเป็นพยานแล้วครับ”

หลินม่ายได้ยินคำพูดนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

พลันเข้าใจขึ้นมาว่าทำไมช่วงนี้เถาจืออวิ๋นจึงเอาแต่กระวนกระวาย ขวัญหนีดีฝ่ออยู่ตลอด

ที่แท้ก็แอบทรยศเธออยู่ลับๆ จึงรู้สึกละอายขึ้นมา

หวังหรงและกวนหย่งหัวที่นั่งอยู่บนที่นั่งชมการพิจารณาเห็นท่าทางเหมือนถูกโจมตีอย่างนั้นของเธอแล้ว ต่างก็ยิ้มอย่างลำพองใจ

โดยเฉพาะหวังหรง ในใจเต็มไปด้วยความสะใจอย่างคางคกขึ้นวอ ตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าได้เล่นจ้ำจี้กับกวนหย่งหัวเสียอีก!

เหล่านักข่าวจากสื่อต่างๆ ที่กวนหย่งหัวเชิญมานั้นก็เห็นสีหน้าของหลินม่ายเช่นกัน

ในใจก็ตัดสินไปแล้วว่า Unique ลอกเลียนแบบซีม่าน ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่มีสีหน้าตระหนกได้

หนิวลี่ลี่เป็นผู้ร่วมฟังการพิจารณาเพียงคนเดียวที่เชื่อว่า Unique ไม่ได้เป็นฝ่ายที่ลอกเลียนแบบ เป็นไปได้อย่างเดียวคือเถาจืออวิ๋นถูกซื้อตัวไปแล้ว

หล่อนคิดอย่างท้อแท้อยู่ในใจ การฟ้องร้องคดีนี้หลินม่ายคงแพ้แน่แล้วร้อยเปอร์เซ็น

เถาจืออวิ๋นถูกพาตัวขึ้นมาบนศาลอย่างรวดเร็ว ในตอนที่สบสายตากับหลินม่ายพลันมีท่าทางร้อนรนเป็นพิเศษ

สีหน้าลำพองใจบนใบหน้าของกวนหย่งหัวยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีกขณะคิดในใจ ถูกคนที่เชื่อใจหักหลังแบบนี้ ไม่รู้ว่าในใจหลินม่ายจะรู้สึกอย่างไร!

เมื่อหวังหรงนึกถึงว่าหลินม่ายกำลังจะแพ้คดีความ ก็ยิ่งจิตใจเบิกบานชื่นมื่น แทบอยากจะฉลองโห่ร้องออกมาเสียเดี๋ยวนั้น

ผู้พิพากษาถามเถาจืออวิ๋น “เมื่อครู่นี้ดีไซเนอร์ตู๋ของบริษัทเสื้อผ้าซีม่านบอกว่า คุณซื้อกระดาษแบบร่างเสื้อผ้าที่ต้องสงสัยว่าลอกเลียนแบบพวกนั้นไปจากเขา?”

เถาจืออวิ๋นเก็บท่าทางหลบเลี่ยงอย่างลนลานก่อนหน้านี้ไป แล้วเงยหน้ายืดอกพูด “ฉันไม่รู้จักดีไซเนอร์ตู๋ของบริษัทเสื้อผ้าซีม่านเลยด้วยซ้ำ และจะไปซื้อร่างออกแบบของเสื้อผ้าพวกนั้นไปจากเขาได้ยังไงกันคะ? อีกอย่างเสื้อผ้าพวกนั้นฉันกับหัวหน้าโรงงานหลินเป็นผู้ออกแบบร่วมกัน จำเป็นต้องซื้อจากเขาด้วยเหรอคะ?”

พวกนักข่าวที่นั่งอยู่ในที่ผู้ชมการพิจารณาต่างส่งเสียงฮือฮากันโกลาหล ไม่นึกว่าพยานของเสื้อผ้าซีม่านจะกลับลำกลางศาล!

ผู้พิพากษาได้แต่เรียกตัวดีไซเนอร์ตู๋มาขึ้นศาล เพื่อเผชิญหน้ากับเถาจืออวิ๋น

คนหนึ่งยืนยันคำเดียวว่าได้ขายภาพแบบร่างไปแล้ว อีกคนก็ยืนกรานว่าไม่รู้จักเขา

เถาจืออวิ๋นถามดีไซเนอร์ตู้ด้วยรอยยิ้มเย็นชา “คุณบอกว่าฉันซื้อภาพออกแบบของคุณ แล้วฉันซื้อภาพออกแบบของคุณวันไหน ที่ไหน เวลาไหนงั้นเหรอคะ?”

ดีไซเนอร์ตู๋ไม่ได้คาดคิดเลยว่าเถาจืออวิ๋นจะกลับลำกลางศาล สติกระเจิงขวัญเตลิดจนเหงื่อเย็นไหลชุ่มไปหมดตั้งนานแล้ว

พลันพูดโกหกออกมาอย่างตะกุกตะกักขณะตอบคำถามของเถาจืออวิ๋น

เถาจืออวิ๋นขมวดคิ้ว “ทำไมฉันจำได้ว่าเมื่อครู่นี้คุณเพิ่งบอกว่าฉันไปซื้อภาพออกแบบมาจากคุณในตอนเที่ยงช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี่ ตอนนี้คุณก็มาบอกอีกว่าฉันซื้อภาพออกแบบจากคุณวันที่ 17 เดือนสิงหาคม คุณพูดประโยคไหนเป็นความจริง ประโยคไหนเป็นคำโกหกกันแน่ หรือว่าเป็นคำโกหกทั้งหมดเลย?”

ดีไซเนอร์ตู๋หน้าซีดเหมือนขี้เถ้า

เมื่อครู่เขาโต้เถียงกับเถาจืออวิ๋นอย่างรุนแรงเรื่องที่ได้มีการซื้อขายภาพออกแบบหรือไม่กันแน่

แต่พูดอะไรออกไปบ้าง เขาเองก็จำไม่ค่อยได้เหมือนกัน

เถาจืออวิ๋นบอกว่าคำให้การของเขาก่อนกับหลังไม่ตรงกัน แล้วจะไม่ให้ความคิดเขายุ่งเหยิงได้อย่างไร!

เมื่อนักข่าวพวกนั้นบนที่นั่งร่วมฟังการพิจารณาคดีเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ใครบ้างจะไม่เข้าใจความจริงของเรื่องนี้!

แม้แต่กระแสวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนเหล่านั้นเองก็เปลี่ยนไป และวิจารณ์ถึงเสื้อผ้าซีม่านอย่างดูถูกเหยียดหยามขั้นสุด

เมื่อครู่นี้ยกยอไว้สูงแค่ไหน ตอนนี้ก็เหยียบย่ำรุนแรงเท่านั้น

หวังหรงและกวนหย่งหัวต่างโกรธจนหน้าดำหน้าเขียว

โดยเฉพาะกวนหย่งหัว ที่เห็นว่าดีไซเนอร์ตู๋อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แต่กลับขี้ขลาดหัวหด ถูกคนรุ่นเยาว์อย่างเถาจืออวิ๋นหลอกเข้าหน่อยก็กระเจิดกระเจิง แม้แต่สิ่งที่ตัวเองพูดก็จำไม่ได้

ตอนที่เขาโต้แย้งกับเถาจืออวิ๋นเมื่อกี้นี้ ไม่เคยพูดถึงสถานที่และเวลาที่ขายภาพออกแบบให้เธอเลย แล้วจะไปเอาคำให้การก่อนหลังไม่ตรงกันมาจากไหน!

ดีไซเนอร์ตู๋กัดฟันพูดตะกุกตะกัก “ก่อนหน้านี้…นั่น…นั่นมันพูดผิด ให้ถือเอาที่ฉันพูดในตอนนี้เป็นพยานคำพูด”

เถาจืออวิ๋นยิ้มอย่างเหยียดหยาม “ก่อนหน้านี้คือพูดผิด? แต่ปัญหาก็คือ ก่อนหน้านี้คุณไม่ได้พูดถึงสถานที่และเวลาในการซื้อขายภาพออกแบบของพวกเราเลย แล้วจะพูดผิดได้ยังไง?”

ดีไซเนอร์ตู๋ตะลึงงันในทันใด

เถาจืออวิ๋นชี้ไปที่ผู้ช่วยของเสื้อผ้าซีม่านที่ยืนอยู่บนคอกจำเลย แล้วพูดกับผู้พิพากษา “แม้ว่าฉันจะไม่เคยเห็นดีไซเนอร์ตู๋ แต่ฉันเคยเห็นผู้ชายคนนั้นค่ะ เขาไม่เพียงซื้อตัวฉัน ยังให้ฉันมาเป็นพยานหลักฐานเท็จในศาลให้พวกเขา เพื่อปรักปรำหัวหน้าโรงงานหลินของฉัน และยังพูดข่มขู่ว่าหากฉันไม่ทำตามที่เขาพูดทั้งหมด ก็จะลงมือกับลูกชายของฉันค่ะ!”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

คดีพลิกไปพลิกมาอย่างกับปิ้งข้าวเกรียบว่าวเลย แต่นั่นแหละ ทองแท้ไม่กลัวไฟอยู่แล้ว

ไหหม่า(海馬)