ตอนที่ 449 ชนะคดี

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 449 ชนะคดี

ทันทีที่คำพูดของเถาจืออวิ๋นจบลง ก็เกิดความโกลาหลขึ้นในที่นั่งผู้ร่วมฟังการพิจารณา

ทุกคนไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึง ว่าคดีหมิ่นประมาทเล็กๆ คดีหนึ่ง จะกลายเป็นคดีอาญาไปได้

ผู้ช่วยของเสื้อผ้าซีม่านหน้าถอดสี พลันตวาดใส่เถาจืออวิ๋นกลางศาลอย่างภายนอกแข็งกร้าวแต่ภายในตาขาว “ผมเปล่าเลย! คุณอย่ามาโจมตีใส่ร้ายอย่างชั่วช้าหน่อยเลย!”

เถาจืออวิ๋นพูดอย่างจริงจัง “ฝ่ายที่โจมตีใส่ร้ายอย่างชั่วช้าน่ะมันพวกคุณต่างหาก ไม่ใช่ฉัน!”

ผู้พิพากษาถามเถาจืออวิ๋น “คุณมีหลักฐานที่พิสูจน์สิ่งที่คุณพูดเมื่อครู่ไหม?”

“มีค่ะ!” เถาจืออวิ๋นหยิบเทปสองสามม้วนออกมาจากกระเป๋า “เทปพวกนี้ฉันได้แอบบันทึกเสียงเอาไว้ในตอนที่ผู้ชายคนนั้นติดสินบนและข่มขู่ฉันค่ะ”

ไม่เพียงผู้ช่วยของเสื้อผ้าซีม่านเท่านั้น แม้แต่กวนหย่งหัวต่างก็หน้าซีดราวขี้เถ้า

ในตอนนั้นกวนหย่งหัวก็นึกเสียใจขึ้นมาอย่างสุดซึ้ง

หากรู้แต่แรกว่าเถาจืออวิ๋นจะกลับลำกลางศาล ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คงไม่ให้หล่อนมาขึ้นศาล สถานการณ์ก็คงไม่อยู่เหนือการควบคุมไปได้

แต่น่าเสียดาย ที่หลินม่ายยัยบ้านั่นแสดงท่าทางตื่นตกใจและคับแค้นได้สมจริงเกินไปจนหลอกเขาเสียได้ เขาถึงได้กล้าให้เถาจืออวิ๋นมาขึ้นได้อย่างวางใจ

ผู้พิพากษาเล่นเทปเหล่านั้นในศาล

เนื้อหาของเทปเป็นอย่างเถาจืออวิ๋นพูดไว้ไม่มีผิด หล่อนถูกติดสินบนและข่มขู่จริงๆ

เมื่อเทปเล่นจนจบ หลินม่ายก็ขอเบิกความ และได้รับการเห็นชอบการผู้พิพากษา

หลินม่ายก็เปิดเผยข้อมูลอันน่าตกใจ

เมื่อไม่กี่วันก่อน ผู้จัดการตู๋ได้รับห้องชุดหนึ่งห้อง และเงินก้อนโตหนึ่งพันหยวนเป็นรางวัลจากบริษัทของตน

เธอสงสัยว่า ห้องชุดและเงินหนึ่งพันหยวนนี้ เป็นสินบนที่โรงงานเสื้อผ้าซีม่านใช้ซื้อตัวผู้จัดการตู๋ ให้เขามาขึ้นเพื่อเป็นพยานเท็จ

ดีไซเนอร์ตู๋เหงื่อซกเต็มหน้า อธิบายอย่างซีดเซียวไร้เรี่ยวแรง “ไม่ใช่นะครับ ห้องนั้นกับเงินหนึ่งพันหยวนนั้นไม่ใช่สินบนที่บริษัทใช้ติดสินบนผมนะครับ”

หลินม่ายมองเขาอย่างเย้ยหยัน “ไม่ได้ใช้ติดสินบนคุณ งั้นก็คงเป็นรางวัลให้คุณแน่นอน แต่ฉันแค่ไม่เข้าใจ ว่าประธานกวนของคุณพูดอยู่แหมบๆ ว่าคุณขายบริษัทเพื่อผลประโยชน์ จนขายภาพออกแบบให้กับพวกเรา แต่เขาไม่เพียงไม่ไล่คุณออก ยังตบรางวัลก้อนโตให้คุณอีกด้วย หรือว่ากำลังให้รางวัลที่คุณหักหลังบริษัทอยู่เหรอคะ?”

ดีไซเนอร์ตู๋เบิกตาโพลงอย่างเถียงไม่ออก

ด้วยการสอบปากคำอย่างเข้มงวดของผู้พิพากษา กำแพงป้องกันทางจิตใจของเขาก็ทลายลงอย่างรวดเร็ว

เขารายงานเรื่องราวที่ตนถูกซื้อตัวทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบด้วยน้ำตานองหน้า

กวนหย่งหัวที่อยู่ในที่นั่งผู้ร่วมฟังการพิจารณาคิดที่จะออกไปก่อน แต่กลับถูกผู้พิพากษาเรียกชื่อ แล้วถามเขา ว่าสิ่งที่ดีไซเนอร์ตู๋พูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่

เพื่อรักษาชื่อเสียงของตนและบริษัทเสื้อผ้าซีม่าน กวนหย่งหัวจึงอ้างว่าตนไม่รู้เรื่อง เรื่องราวทั้งหมดล้วนมีอดีตผู้จัดการฝ่ายขายปี้ซิงเป็นผู้บงการ

ถึงอย่างไรปี้ซิงก็เป็นแพะรับบาปไปหนึ่งครั้งแล้ว รับไปอีกสักครั้งก็คงไม่เป็นไร

ผู้พิพากษาพูดอย่างจริงจัง “แต่พยานบอกว่าคนที่ติดสินบนเขาคือคุณ ไม่ใช่อดีตผู้จัดการฝ่ายขายปี้ซิง!”

ดีไซเนอร์ตู๋ได้ยินคำพูดนั้น หัวสมองที่กำลังสติหลุดก็พลันได้สติกลับมาด้วยความตื่นตกใจ

เขาพูดกับผู้พิพากษาด้วยความเร่งร้อน “ผม…ผมพูดผิดครับ คน…คนที่ติดสินบนผมคือผู้จัดการฝ่ายขายครับท่าน”

หลินม่ายตั้งคำถามในศาล “ผู้จัดการฝ่ายขายคนหนึ่งมีอำนาจมากขนาดที่ไม่เพียงสามารถซื้อตัวคุณได้ ยังสามารถใช้เงินของบริษัทให้เงินก้อนใหญ่และซื้อห้องชุดให้คุณเป็นรางวัลได้เลยเหรอคะ?”

ไม่ใช่แค่ดีไซเนอร์ตู๋เท่านั้น แม้แต่กวนหย่งหัวเองก็ยังน้ำท่วมปาก

ผู้พิพากษามองไปยังดีไซเนอร์ตู๋แล้วถาม “คุณรู้ผลลัพธ์ของการเบิกความเท็จในชั้นศาลไหม?”

ดีไซเนอร์ตู๋ส่ายหน้าอย่างทั้งหวาดกลัวทั้งไม่รู้โดยสิ้นเชิง

ผู้พิพากษาให้เกร็ดความรู้แก่เขา “วันนี้พวกเรากำลังพิจารณาและตัดสินคดีแพ่ง ในคดีแพ่ง การเบิกความเท็จในศาล ทำให้ผู้พิพากษาไม่สามารถตัดสินข้อเท็จจริงของคดีได้ อาจต้องระวางโทษปรับหรือจำคุกได้ และหากมีอาชญากรรมร่วมด้วย ตามกฎหมายจะต้องถูกสอบสวนตามความผิดทางอาญา ดังนั้นคุณคิดให้ดีเสียก่อนแล้วค่อยพูด อย่าพูดส่งเดชเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นคุณต้องรับผิดชอบต่อผลที่ตามมา”

ดีไซเนอร์ตู๋ตกใจจนหน้าขาวซีด มองไปยังกวนหย่งหัวอย่างขวัญหนีดีฝ่อ พูดอย่างตะกุกตะกัก “คน…คนที่ซื้อตัวผมคือประธานกวนครับ…”

กวนหย่งหัวยังคิดที่จะต่อต้านอย่างดื้อรั้นทั้งที่จนมุม ปากแข็งจนถึงที่สุด ให้ตายก็ไม่ยอมรับว่าเขาเป็นคนติดสินบนให้ดีไซเนอร์ตู๋เบิกความเท็จ

ผู้พิพากษาได้ตัดสินใจให้ผู้เกี่ยวข้องที่มีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ทั้งหมดขึ้นมาในศาลตามรายชื่อที่ดีไซเนอร์ตู๋เสนอมา และเผชิญหน้ากับกวนหย่งหัวในศาล

ถึงอย่างไรพยานบุคคคเหล่านั้นก็ล้วนอยู่ในโรงงานเสื้อผ้าซีม่าน

โรงงานเสื้อผ้าซีม่านก็ไม่ได้อยู่ไกลจากศาลมากนัก ไม่นานก็พาพวกเขามาขึ้นศาลได้

กวนหย่งหัวเบิกตาค้าง เขาไม่คิดว่าศาลเมืองเจียงเฉิงจะพิจารณาคดีแตกต่างจากของฮ่องกงอย่างสิ้นเชิง

ในสถานการณ์เช่นนี้ศาลฮ่องกงจะไม่ได้นำตัวผู้เกี่ยวข้องมาขึ้นศาลในทันที แต่จะประกาศเลื่อนการพิจารณาคดีออกไปเป็นวันอื่นแทน ซึ่งเขาก็จะมีเวลาในการลงมือทำอะไรอยู่

ระหว่างทางที่พาพยานบุคคลไปที่ศาล สหายในศาลก็ได้อธิบายให้พยานที่เกี่ยวข้องทุกคนทราบถึงผลของการให้การเท็จในศาล

ด้วยเหตุนี้ต่อให้กวนหย่งหัวเป็นเจ้านายของพยานผู้เกี่ยวข้องเหล่านี้ แต่กลับไม่มีใครยอมเป็นแพะรับบาปให้เขาเลย

ถึงตกงานก็สามารถหาใหม่ได้ แต่ถ้ามีความผิดทางอาญาแล้ว ในยุคนี้กลับเป็นเรื่องใหญ่มาก

ดังนั้นทุกคนจึงเลือกที่จะพูดความจริง

เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว กวนหย่งหัวก็หมดทางแก้ตัว ได้แต่ต้องยอมรับเท่านั้น

บวกกับเทปเหล่านั้นที่เถาจืออวิ๋นเสนอขึ้น คดีจึงถูกเปิดเผยความจริงออกมาอย่างชัดเจน ว่ากวนหย่งหัวนั้นใส่ร้ายหลินม่ายและโรงงานเสื้อผ้าของเธอ

ผู้พิพากษาตัดสินคดี ให้กวนหย่งหัวเผยแพร่คำขอขมาต่อหลินม่ายและโรงงานเสื้อผ้า Unique ลงหนังสือพิมพ์ของสื่อใหญ่แต่ละสำนักภายในสามวัน

นอกจากนี้ยังต้องชดเชยในความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการหมิ่นประมาทให้แก่เสื้อผ้า Unique เป็นเงินหนึ่งหมื่นหยวน

หลินม่ายยื่นขอค่าชดเชยความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นเงินสามหมื่นหยวน

แม้ว่าคำตัดสินของศาลจะต่ำกว่าที่เธอคาดหวังไว้ แต่เธอก็ไม่ต้องการยื่นอุทธรณ์

การยื่นอุทธรณ์นั้นทั้งเสียแรงทั้งสิ้นเปลืองเวลา ทั้งยังไม่แน่ว่าจะสามารถขอค่าเสียหายทางเศรษฐกิจสามหมื่นหยวนมาได้ด้วย

จุดประสงค์หลักของเธอในการฟ้องร้องคดีนี้ คือการเปิดโปงเรื่องอื้อฉาวที่กวนหย่งหัวทำลงไปเท่านั้น และตอนนี้จุดมุ่งหมายของเธอก็บรรลุผลแล้ว

ทันทีที่การพิจารณาคดีสิ้นสุดลง พวกกวนหย่งหัวก็คิดที่จะแอบหลบหนีไป แต่กลับถูกรุมล้อมไปด้วยนักข่าวที่แห่กันมาสัมภาษณ์เขา ถามคำถามที่ทั้งยุ่งยากและน่าอึดอัดเหลือทน

กวนหย่งหัวหน้าดำหน้าเขียว ไม่ยอมปริปาก

ฝ่ายกฎหมาย ผู้ช่วย และผู้ติดตามอื่นๆ รอบตัวเขาพยายามผลักนักข่าวออกสุดกำลัง แล้วคุ้มกันเขากับหวังหรงขึ้นรถและจากไปทันที

เถาจืออวิ๋นและหลินม่ายยืนอยู่ด้วยกันในมุมที่ไม่เตะตา มองเงาร่างของพวกกวนหย่งหัวที่หนีไปอย่างทุลักทุเล

หนิวลี่ลี่เดินเข้ามาและยกนิ้วโป้งให้กับเถาจืออวิ๋น “คุณไหวพริบดีจริงๆ ไม่นึกเลยว่าจะคิดถึงการแอบบันทึกเสียงได้”

เถาจืออวิ๋นส่ายหน้า ชี้ไปยังหลินม่ายที่อยู่ข้างกาย “ฉันไม่ใช่คนคิดได้หรอกค่ะ หลินม่ายต่างหาก ฉันแค่ทำตามที่หล่อนมอบหมายมาเท่านั้นเอง”

ขณะที่หล่อนพูดอยู่ ก็หยิบเทปบันทึกเสียงเยอรมันเครื่องเล็กนั้นออกมาจากกระเป๋าแล้วคืนให้หลินม่าย

หนิวลี่ลี่ตบเบาๆ ที่แขนของหลินม่าย “คุณนึกถึงได้ยังไงว่ากวนหย่งหัวจะจ้องเล่นพี่เถา แล้วให้พี่เถาเตรียมพร้อมไว้เอาไว้ล่วงหน้า?”

หลินม่ายหัวเราะ “ฉันไม่ใช่เทพเซียนเสียหน่อย ไม่ได้หยั่งรู้ล่วงหน้าด้วย เพียงแค่คาดการณ์ไว้เท่านั้น แค่รู้สึกว่ากวนหย่งหัวอาจจะลงมือกับพวกพี่เถา เหรินเป่าจูหรือคนอื่นๆ น่ะ เพราะพวกเขาล้วนเป็นกำลังสำคัญของฉัน หากซื้อตัวพวกเขาให้มาปรักปรำฉัน จึงจะมีแรงจูงใจมากที่สุด ดังนั้นฉันถึงได้จัดเตรียมไว้ก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นคดีความในวันนี้ก็ไม่แน่ว่าจะชนะได้”

พูดถึงตรงนี้ เธอก็ตบเบาๆ ที่แขนของหนิวลี่ลี่ “เมื่อครู่นี้ขอบคุณมากเลยนะ”

หนิวลี่ลี่กะพริบดวงตาโตแล้วถามอย่างไม่เข้าใจ “ฉันทำอะไรเหรอ ทำไมต้องขอบคุณล่ะ?”

“ก่อนจะเปิดการพิจารณาคดี คุณจงใจสัมภาษณ์กวนหย่งหัว ให้เขาอับอายต่อหน้าสาธารณะชน”

“เรื่องนั้นนี่เอง คุณไม่จำเป็นต้องขอบคุณฉันหรอก นั่นเป็นงานของฉันอยู่แล้ว”

หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “ถึงจะเป็นงานของคุณ แต่ความจริงแล้วคุณก็ช่วยพูดแทนฉันด้วยเหมือนกัน”

หลังจากทั้งสองคนพูดคุยกันอีกสองสามคำ หลินม่ายก็ขี่จักรยานพาเถาจืออวิ๋นกลับไปที่โรงงานเสื้อผ้า

เหรินเป่าจูและโฮ่วซินอี้ต่างก็กำลังรอฟังข่าวคราวด้วยความกระวนกระวาย

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ที่แท้ม่ายจื่อซ่อนไพ่ตายไว้นี่เอง ล้ำลึกจริงๆ

ไหหม่า(海馬)