ตอนที่ 450 กวนหย่งหัวถูกตรวจสอบ

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 450 กวนหย่งหัวถูกตรวจสอบ

เมื่อหลินม่ายและเถาจืออวิ๋นกลับมาถึงโรงงาน เหรินเป่าจูและโฮ่วซินอี้เข้ามารุมล้อมทันที ถามว่าผลการตัดสินคดีเป็นอย่างไรอย่างแทบทนรอไม่ไหว

เถาจืออวิ๋นพูดอย่างลำพองใจเล็กน้อย “มีหัวหน้าโรงงานหลินของพวกเราวางแผนเผด็จศึกอยู่แนวหลัง เราก็ย่อมเป็นฝ่ายชนะคดีอยู่แล้ว!”

เหรินเป่าจูและโฮ่วซินอี้ต่างก็ดีใจอย่างมาก

หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “มื้อเย็นให้เพิ่มอาหารให้กับพนักงานทุกคน ต้องมีลูกชิ้นสี่เกษมกับปลาทอดตุ๋นซอสแดงด้วย ทุกคนจะได้มีความสุขกันสักหน่อย”

โฮ่วซินอี้รับคำ แล้วออกจากห้องทำงานไปทันที เพื่อไปสั่งอาหารที่ร้าน“พั่งต้าเส่า”

ที่โรงงานเสื้อผ้า Unique ทุกๆ คนต่างยิ้มแย้มอย่างเบิกบาน แต่ทางด้านหวังหรงกลับกระวนกระวายใจ

หล่อนนั่งอยู่บนรถ คอยลอบมองกวนหย่งหัวที่อยู่ข้างกายอยู่ตลอด

กวนหย่งหัวนึกไว้ว่าคดีวันนี้เขาจะต้องชนะแน่ จึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตอนเช้า

ตอนที่หวังหรงไปหาเขาในตอนเช้า ก็ฉวยโอกาสนั้นบอกกับเขาว่าเงินที่เขาให้ไว้ซื้อบ้านในระหว่างทางวันนั้นได้ถูกโจรขโมยไปแล้ว

หล่อนไม่มีเงินซื้อบ้านแล้ว จึงพูดอ้อมแอ้มหวังให้เขาเอาเงินให้พ่อกับแม่ของหล่อนไปซื้อบ้านอีกสักครั้ง

คนฉลาดอย่างกวนหย่งหัว แค่หวังหรงอ้าปาก เขาก็รู้แล้วว่าหล่อนกำลังพูดโกหก

ทว่าเขาไม่เพียงไม่ฉีกหน้าหล่อน แต่ยังตอบรับอย่างอารมณ์ดี

อีกทั้งยังสัญญาว่า ตอนบ่ายเมื่อการตัดสินคดีเสร็จสิ้นแล้ว เขาจะพาหล่อนไปซื้อบ้าน

ถึงอย่างไรตอนนี้ไม่ว่าจะลงทุนกับาหล่อนไปมากน้อยเท่าไร ในอนาคตก็ยังสามารถเอากำไรคืนมาจากหล่อนได้อยู่ดี

ขนแกะอย่างไรก็งอกออกมาจากตัวแกะ เขาไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยกับเงินเล็กน้อยพวกนี้

หลอกให้หล่อนดีใจไปก่อน ถึงตอนนั้นก็ให้หล่อนช่วยลูกสาว เท่านี้หล่อนก็บ่ายเบี่ยงไม่ได้แล้ว

เมื่อหวังหรงเห็นกวนหย่งหัวตอบตกลงอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ก้อนหินที่กดทับอยู่ในใจของหล่อนก็เหมือนถูกยกออก อารมณ์ดีเสียแทบจุดพลุ

ยังวางแผนไว้ว่าพอซื้อบ้านแล้ว หล่อนจะออดอ้อนกวนหย่งหัว ให้เขาซื้อกระเป๋าหนังแท้ที่หล่อนชอบให้สักใบ

แต่ตอนนี้แพ้คดีเสียแล้ว สีหน้าของกวนหย่งหัวดำทะมึนอย่างกับก้นหม้อ แถมยังไม่พูดถึงเรื่องซื้อบ้านเลยสักคำ

นั่นทำให้หวังหรงรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก

เธอกลัวว่าเป็ดที่ต้มจนสุกแล้วจะบินหนีไป

หลังจากลังเลอยู่นาน หล่อนก็ฝืนกัดฟันพูดขึ้น “พี่กวน นี่ไม่ใช่ทางไปย่านหวังเจียตุนนะคะ”

บ้านที่กวนหย่งหัวรับปากว่าจะซื้อให้พ่อแม่ของหล่อนนั้นอยู่ที่หมู่บ้านชิงจีใกล้กับย่านหวังเจียตุน

กวนหย่งหัวพูดด้วยท่าทางเย็นชา “ผมรู้ แต่วันนี้ผมไม่มีอารมณ์ซื้อบ้าน ค่อยว่ากันวันหลัง”

หวังหรงอยากจะพูดมากว่า เขาไม่มีอารมณ์ซื้อบ้าน งั้นก็เอาเงินให้หล่อน ให้พ่อกับแม่ไปซื้อบ้านด้วยกันกับหล่อนก็ได้

แต่เมื่อมองสีหน้าที่หม่นคล้ำจนน่ากลัวของกวนหย่งหัวแล้ว จนท้ายที่สุดก็ไม่กล้าพูดออกไปเช่นนั้น

เมื่อรถแล่นมาได้ครึ่งทาง กวนหย่งหัวก็ให้คนขับรถหยุดรถป้ายรถเมล์แห่งหนึ่ง แล้วให้หวังหรงลงจากรถ

หวังหรงเอ่ยถามอย่างน้อยใจเล็กน้อย “ทำไมให้ฉันลงจากรถล่ะคะ?”

กวนหย่งหัวขมวดคิ้วด้วยอารมณ์ปั่นป่วน “ผมมีเรื่องธุรกิจต้องจัดการอีกเยอะแยะ คุณจะตามผมไปทำไม? กลับบ้านไปซะ!”

หวังหรงได้แต่ลงจากรถ แล้วนั่งรถประจำทางกลับบ้าน

เมื่อกวนหย่งหัวกลับมาถึงโรงงานเสื้อผ้าก็โมโหโทโสเป็นการใหญ่ ให้คนพาตัวสายที่แฝงตัวอยู่ที่ Unique มาตรงหน้าเขา

เขาอยากจะถามสายลับคนนั้นต่อหน้า ว่าทำไมถึงได้โกหกตบตาเขา!

ถ้าเขารู้ล่วงหน้าว่าเถาจืออวิ๋นยังไม่ได้ถูกซื้อตัวมาได้สำเร็จ เขาก็คงคิดแผนรับมือได้ตั้งนานแล้ว วันนี้ก็คงจะไม่แพ้คดีความด้วยเช่นกัน และไม่มีทางทำอับอายขายหน้าต่อหน้าสื่อขนาดนั้นหรอก!

สายลับถูกพาตัวมาอยู่เบื้องหน้ากวนหย่งหัวอย่างรวดเร็ว ตัวสั่นเทิ้มอยู่ต่อหน้าเขา ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น

ดวงตาของกวนหย่งหัวลุกเป็นไฟ ถามด้วยเสียงทุ้มเข้ม “คุณรู้ใช่ไหมว่าหลอกผมแล้วจะเป็นยังไง? ไม่ใช่แค่ต้องคายเงินสองพันหยวนนั่นที่เอาไปกลับคืนมา ผมจะเปิดโปงคุณให้หมดด้วย!”

สายลับคนนั้นคุกเข่าลงกับพื้นดังตึง “ฉันไม่ได้หลอกคุณเลยค่ะ แต่…แต่เพราะเถาจืออวิ๋นกับหัวหน้าโรงงานหลินแสดงละครตบตาฉัน…”

กวนหย่งหัวมองหล่อนอย่างเย็นชา “นี่คุณถูกเปิดโปงแต่แรกแล้วงั้นเหรอ? พวกหล่อนถึงได้แสดงละครให้คุณดูได้?”

“น่า…น่าจะยัง…” สายลับพูด “ฉันสงสัยว่าพวกหล่อนแสดงละครเพื่อตบตาทุกคน แบบนั้นคุณถึงจะไม่นึกสงสัย”

กวนหย่งหัวนิ่งคิดอยู่นาน แล้วจึงพูดขึ้น “หวังว่าสิ่งคุณพูดจะเป็นความจริงทั้งหมดนะ ไม่อย่างนั้นก็อย่าหาว่าผมไม่ปรานีแล้วกัน!”

สายลับเอ่ยละล่ำละลัก “ทุกคำที่ฉันพูดล้วนเป็นความจริงค่ะ ไม่ได้โกหกคุณแม้แต่คำเดียวอย่างแน่นอน”

กวนหย่งหัวโบกมือ ให้สายลับคนนั้นไปได้

สายลับรีบลุกขึ้นมาจากพื้น แล้ววิ่งหนีหายวับไปทันที

ตอนที่สายลับวิ่งออกมาจากประตูใหญ่ของบริษัทเสื้อผ้าซีม่าน หล่อนมองไปรอบๆ ยืนยันให้แน่ใจว่าไม่ได้ถูกใครเห็นเขา แล้วจึงจากไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นไม่กี่นาที ด้านหลังต้นไม้ต้นหนึ่งก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งโผล่ออกมา

เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นลูกน้องใต้บัญชาคนหนึ่งของติงไห่เฟิง

เด็กหนุ่มคนนี้มองไปยังทิศทางที่สายลับหายตัวไป เขาเก็บกล้องถ่ายรูปในมือลงในกระเป๋าแล้วจึงจากไปเช่นกัน

ในห้องทำงานประธานแห่งบริษัทเสื้อผ้าซีม่าน ผู้ช่วยอีกคนหนึ่งของกวนหย่งหัวถามเขา “ประธานกวน คุณปล่อยสายลับคนนั้นไปง่ายๆ ขนาดนั้นได้ยังไงกันครับ?”

ในแววตาของกวนหย่งหัวฉายประกายอาฆาตออกมาเล็กน้อย “ฉันยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องให้หล่อนทำอยู่ จึงปล่อยหล่อนไปก่อน”

ผู้ช่วยคนนั้นถามอีกครั้ง “ผู้ช่วยฉยงถูกศาลควบคุมตัวทันทีในข้อหาข่มขู่ผู้อื่น แล้วถูกส่งมอบให้กับหน่วยงานสันติบาลแล้ว เรื่องนี้จะจัดการยังไงดีครับ?”

กวนหย่งหัวขมวดคิ้วแน่น

ที่เขากำลังวุ่นวายใจอยู่ก็คือเรื่องนี้นี่แหละ

แม้เขาจะเพิ่งทำอับอายขายหน้าครั้งใหญ่กลางศาล เผยโฉมหน้าอันเจ้าเล่ห์ของเขาออกมาหมดเปลือก แต่นั่นก็เป็นเพียงความเสียหายด้านชื่อเสียงเท่านั้น

แต่หากผู้ช่วยฉยงพูดอะไรเลอะเทอะที่กองสันติบาล บอกว่าที่ตนข่มขู่เถาจืออวิ๋นเป็นเพราะเขาคือคนบงการ เขาก็อาจต้องโทษทางอาญาได้

ความผิดทางอาญาใหญ่หลวงแค่ไหน จะแค่สั่งสอนอบรมด้วยปากเปล่า หรือว่าควบคุมตัว…อาจถึงขั้นติดคุกติดตาราง…

ในใจเขาไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย

เพื่อนร่วมอาชีพจากฮ่องกงไม่น้อยที่มาเปิดโรงงานในแผ่นดินใหญ่ ก็ทำกำไรได้มากมายก่ายกอง

แต่เขาสิ หาเงินไม่ได้ก็ว่าไปอย่าง ถ้ายังต้องมาซวยติดคุกอีก จะต้องถูกพวกที่ฮ่องกงหัวเราะเยาะตายแน่ แถมไม่รู้ด้วยว่าจะถูกเบียดออกจากแวดวงของพวกเขาด้วยหรือเปล่า

เขาพลันนึกเสียใจขึ้นมา

หากรู้แต่แรกว่าตนไม่มีโชคในแผ่นดินใหญ่ ก็คงไม่มาเปิดโรงงานเสื้อผ้าที่แผ่นดินใหญ่หรอก

นึกแล้วก็ละอายใจที่ตอนเริ่มต้นเขาเอาแต่วาดฝันไว้สวยงานว่าจะยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

หาคนที่เหมาะสมให้กับลูกสาวสุดที่รักที่แผ่นดินใหญ่ เพื่อรักษาอาการป่วยให้หล่อน พร้อมกับเปิดโรงงานสักแห่ง เป็นถังเงินถังทองของเขา

จนตอนนี้ ความปรารถนาแรกเขายังพอมีความมั่นใจที่จะบรรลุได้ แต่ความปรารถนาที่สองนั้น…

กวนหย่งหัวนวดขมับด้วยความปวดหัว

ทำไมเขาถึงนึกไม่ถึงเลยว่าเถาจืออวิ๋นจะบันทึกเสียงการสนทนาที่ผู้ช่วยฉยงคุยกับหล่อนเอาไว้ ทำให้เขากลายเป็นฝ่ายถูกกระทำเช่นนี้

เขาถามที่ปรึกษากฎหมาย “ถ้าผู้ช่วยฉยงซัดทอดถึงฉันขึ้นมา ฉันต้องรับโทษทางอาญาอะไรเหรอ?”

ที่ปรึกษากฎหมายพูด “เรื่องนี้ต้องดูก่อนว่าคุณสั่งให้ผู้ช่วยฉยงทำอะไรบ้างครับ ถ้าแค่สั่งให้เขาซื้อตัวเถาจืออวิ๋นมาอย่างเดียว อย่างนั้นก็ไม่ต้องรับโทษทางอาญาอะไรครับ แต่ถ้าคุณสั่งให้เขาข่มขู่คุกคามเถาจืออวิ๋น อย่างนั้นความผิดก็จะค่อนข้างมาก”

กวนหย่งหัวพูดอย่างเร่งร้อน “ฉันไม่ได้สั่งให้ผู้ช่วยฉยงข่มขู่คุกคามเถาจืออวิ๋นเลย ฉันแค่ให้เขาใช้เงินซื้อตัวเถาจืออวิ๋นมาเท่านั้น แต่ฉันกลัวว่าผู้ช่วยฉยงจะปกป้องตัวเองโดยการบอกว่าฉันสั่งให้เขาไปข่มขู่เถาจืออวิ๋น อย่างนั้นถึงฉันจะกระโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็ไม่อาจล้างมลทินแล้วไม่ใช่เหรอ?”

ที่ปรึกษากฎหมายขมวดคิ้วแน่น เขาไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่แล้วพูดขึ้น “เรื่องนี้ก็ค่อนข้างรับมือยากจริงๆ”

กวนหย่งหัวหันหาทางออกไปทั่วด้วยความร้อนใจ ถามผู้ช่วยจูที่อยู่ข้างๆ “คุณมีวิธีที่จะพบกับผู้ช่วยฉยงสักครั้งหรือเปล่า บอกเขาว่า ให้เขาช่วยรับความผิดทั้งหมดไปแทนที ฉันจะตอบแทนให้เขาเป็นเงินสามหมื่นหยวน”

คิดไปคิดมา ก็พูดขึ้นอีกครั้ง “ห้าหมื่นหยวนเลยก็ได้”

ใช้เงินห้าหมื่นหยวนเพื่อแลกกับไม่ให้ผู้ช่วยฉยงพูดพัวพันมาถึงตัวเอง เขาคิดว่ามันคุ้มค่ามาก

ที่ปรึกษากฎหมายที่อยู่อีกด้านได้ยินคำพูดของเขาก็เข้าใจในทันที

เรื่องจริงมันบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างที่เขาพูดออกมาเมื่อครู่นี้ที่ไหนกัน

มันก็ต้องเป็นเพราะเขาสั่งให้ผู้ช่วยฉยงซื้อตัวเถาจืออวิ๋นมาให้ได้ไม่ว่าจะใช้วิธีการอะไรก็ตามอยู่แล้ว ผู้ช่วยฉยงถึงจะกล้าข่มขู่คุกความเถาจืออวิ๋นได้

ไม่อย่างนั้นกวนหย่งหัวเองก็คงไม่มีท่าทางร้อนใจ จนโยนเงินทิ้งเพื่อปิดปากผู้ช่วยฉยงหรอก

ผู้ช่วยจูส่ายหน้า “กฎหมายกำหนดว่าเมื่อผู้ต้องสงสัยอยู่ภายใต้การควบคุมตัวทางอาญา ระหว่างที่ถูกคุมขังในสถานที่คุมผู้ต้องสงสัย จะไม่สามารถเข้าเยี่ยมโดยไม่ได้รับการอนุมัติ ดังนั้นผมไม่มีวิธีการที่จะพบกับผู้ช่วยฉยงได้ ยิ่งไม่มีทางส่งต่อข้อความถึงเขาได้เลยครับ”

กวนหย่งหัวตะลึงงัน “ผู้ช่วยฉยงไม่ใช่ฆาตกรก่ออาชญากรรมร้ายแรงเสียหน่อย แค่ข่มขู่คุกคามผู้อื่นเท่านั้นเอง น่าจะสามารถขอประกันตัวได้น่า”

ผู้ช่วยจูดันแว่นบนดั้งจมูกเล็กน้อย “เรื่องนี้…ผมก็ไม่แน่ใจนัก…”

กวนหย่งหัวหันมาให้ที่ปรึกษากฎหมายเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดูว่าสามารถประกันตัวผู้ช่วยฉยงออกมาได้หรือไม่

ที่ปรึกษากฎหมายนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูด “ไม่ว่าจะสามารถประกันตัวได้หรือไม่ ผมเห็นว่าประธานกวนอย่ายื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้จะดีที่สุด”

กวนหย่งหัวพูดอย่างปวดหัว “ฉันไม่ยื่นไปยุ่งไม่ได้หรอก บางทีถ้าผู้ช่วยฉยงใส่ร้ายฉันเพื่อเอาตัวรอดฉันก็ยุ่งน่ะสิ”

ที่ปรึกษากฎหมายพูดอย่างมาดมั่น “ถ้าไม่ได้ทำแล้วจะกลัวอะไรครับ! ไม่ว่าผู้ช่วยฉยงจะพูดอะไร ประธานกวนก็ยอมรับแค่ให้เขาเอาเงินไปติดสินบนเถาจืออวิ๋นเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นไม่ยอมรับทั้งสิ้น”

กวนหย่งหัวถามอย่างลังเล “แบบนั้นจะได้เหรอ?”

“ไม่ว่าจะได้หรือไม่ได้ ตอนนี้ก็ได้แต่ทำแบบนี้เท่านั้นแหละครับ ดีกว่าขึ้นหลังเสือไปประกันตัวผู้ช่วยชงออกมา ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ คุณไปประกันตัวผู้ช่วยฉยง จะทำให้คนอื่นมองว่าคุณนั่นแหละคือผู้บงการเบื้องหลังได้ง่ายดาย”

กวนหย่งหัวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “ถ้าฉันไม่ประกันตัวผู้ช่วยฉยง เขาต้องกลายเป็นสุนัขจนตรอก กัดฉันไม่ปล่อยแน่ๆ เอาแบบนี้แล้วกัน พวกเราเอาเงินให้ครอบครัวของเขา แล้วให้คนในครอบครัวของเขาลองไปประกันตัวเขาออกมา เท่านี้ฉันก็ไม่ต้องออกหน้าเองแล้ว”

ที่ปรึกษากฎหมายพยักหน้า “แบบนี้ไม่เลวเลยครับ จะเข้าก็ได้จะถอยก็ได้”

กวนหย่งหัวออกคำสั่งกับผู้ช่วยจู “คุณไปจัดการเรื่องนี้ อย่าทำเหมือนกับผู้ช่วยฉยง ให้คนจับจุดอ่อนได้ล่ะ”

ผู้ช่วยจูรับคำสั่งแล้วออกไปทันที

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ เขาก็กลับมารายงาน พูดกับกวนหย่งหัวด้วยความชื่นมื่น

“ผมไปหาภรรยาของผู้ช่วยฉยง แล้วเอาเงินสองพันหยวนให้หล่อนไปช่วยประกันตัวผู้ช่วยฉยง หล่อนตกปากรับคำในทันทีครับ และยังบอกว่าไม่ว่าจะประกันตัวผู้ช่วยฉยงออกมาได้หรือไม่ หล่อนก็จะเป็นพยานให้ว่าผู้ช่วยฉยงเป็นคนทำเรื่องทั้งหมดเอง ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับประธานกวนเลยครับ”

กวนหย่งหัวยิ้มอย่างพึงพอใจ เขาคิดอยู่ในใจ แค่มีเงินจะทำอะไรก็ย่อมได้ เงินแค่นี้ก็สามารถทำให้ภรรยาของผู้ช่วยฉยงหักหลังเขาได้แล้ว

เขาลำพองใจอยู่ได้ไม่ถึงสามนาที เลขาก็พาเจ้าหน้าที่สันติบาลในชุดเครื่องแบบสีขาวคนหนึ่งเดินเข้ามา

พร้อมพูดกับกวนหย่งหัวอย่างตื่นตระหนกเล็กน้อย “ประธานกวน สันติบาลเรียกตัวคุณครับ”

กวนหย่งหัวรู้สึกตื่นตระหนกอยู่ในใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เผยออกมาบนใบหน้าแม้แต่น้อย เขาลุกขึ้นอย่างสงบเยือกเย็นแล้วเดินตามสันติบาลคนนั้นไป

สันติบาลเรียกตัวกวนหย่งหัว เป็นเพราะผู้ช่วยฉยงโยนความผิดมาให้เขาทั้งหมด บอกว่าทุกอย่างที่เขาทำกับเถาจืออวิ๋นนั้น กวนหย่งหัวเป็นผู้บงการทั้งหมด

เจ้าหน้าที่สันติบาลจึงพาตัวเขาไปสอบสวนที่สถานีตำรวจ

เมื่อออกมาจากห้องทำงาน สันติบาลก็เชิญให้เขานั่งรถสามล้อพ่วงข้างที่มีในยุคนี้

กวนหย่งหัวปฏิเสธทันที “พวกเราเรียกแท็กซี่ไปที่โรงพักเถอะครับ เดี๋ยวผมจ่ายเอง”

เขาไม่มีทางนั่งรถตำรวจแบบนี้ไปที่โรงพักแน่ แบบนั้นใครๆ ก็เห็นกันหมดสิว่าเขาถูกสันติบาลพาตัวไป ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเกิดข่าวลืออะไรเกี่ยวกับเขาบ้าง

ชื่อเสียงของเขาจะต้องยิ่งเสื่อมเสียยิ่งขึ้นไปอีกแน่

แต่เจ้าหน้าที่สันติบาลไม่ฟังคำพูดของเขา แล้วบังคับให้เขาขึ้นรถตำรวจไป

ภายใต้ความสิ้นหวัง กวนหย่งหัวฝืนแสร้งทำเป็นนั่งอยู่ข้างเจ้าหน้าที่สันติบาลบนรถตำรวจสามล้อพ่วงข้างมาถึงสถานีตำรวจ ท่ามกลางสายตาแปลกประหลาดใจของพนักงานในบริษัทของตน

ที่ทำให้เขาคาดไม่คิดก็คือ หนิวลี่ลี่และนักข่าวอีกไม่น้อยกำลังยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูสถานีตำรวจ

เมื่อเห็นเขานั่งรถตำรวจมา นักข่าวไม่น้อยก็พลันเอากล้องถ่ายรูปออกมากดชัตเตอร์ใส่เขาอย่างบ้าคลั่ง

กวนหย่งหัวใช้มือบังใบหน้าโดยไม่รู้ตัว ท่าทางเช่นนั้นดูราวกับอาชญากรที่ถูกจับได้คาหนังคาเขาอย่างนั้น

เมื่อกวนหย่งหัวลงจากรถตำรวจพร้อมเจ้าหน้าที่สันติบาล เหล่านักข่าวก็รุมกันเข้ามา เบียดเสียดเจ้าหน้าที่สันติบาลออกไปอีกด้านหนึ่ง

ปากกว่าสิบปากต่างแย่งกันถามคำถามกับกวนหย่งหัว

ถามว่า เขาเป็นคนสั่งให้ผู้ช่วยฉยงข่มขู่คุกคามเถาจืออวิ๋นหรือเปล่า

กวนหย่งหัวไม่ปริปากแม้แต่คำเดียว

นักข่าวมากมายขนาดนี้สัมภาษณ์เขาคนเดียว ยากที่จะไม่พูดอะไรพลาดไปได้ การหุบปากไว้จึงเป็นวิธีการที่ถูกต้องที่สุด

เจ้าหน้าที่สันติบาลหลายนายออกมาจากสถานีตำรวจ ไล่นักข่าวไปอีกด้าน แล้วพาตัวกวนหย่งหัวเข้าไปสอบสวนในสถานีตำรวจ

กวนหย่งหัวทำตามที่หารือกับที่ปรึกษกฎหมายเอาไว้ เขายอมรับเพียงว่าตนสั่งให้ผู้ช่วยฉยงใช้เงินไปติดสินบนเถาจืออวิ๋นเท่านั้น และยืนกรานไม่ยอมรับว่าที่ผู้ช่วยฉยงข่มขู่คุกคามเถาจืออวิ๋นนั้นเป็นเจตนาของตน

เมื่อเจ้าหน้าที่สันติบาลเห็นว่าไม่ได้ความอะไรจากปากของเขา พร้อมทั้งไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าเขาเป็นผู้บงการให้ผู้ช่วยฉยงข่มขู่คุกคามเถาจืออวิ๋น จึงปล่อยตัวเขาไปในที่สุด

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

โชคดีที่อยู่ยุคนั้นหรอกเลยจับไม่ได้ ลองเป็นยุคนี้สิ คลิปว่อนเต็มเน็ตตั้งแต่อยู่ที่บริษัทแล้ว

ไหหม่า(海馬)