ตอนที่ 447 อาจเป็นคนของนิกายมาร

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 447 อาจเป็นคนของนิกายมาร

มีขบวนม้าอีกกลุ่มควบตามมา วิ่งผ่านชายทั้งสองบนหลังม้าไป คอยตามหลังรถม้าคันนั้นอยู่ห่างๆ

ขบวนม้าที่ตามหลังมาน่าจะเป็นศิษย์ของวังสวรรค์หมื่นวิมาน ถึงแม้หลีอู๋ฮวาจะไม่กล้าขัดขวาง ทว่าไม่อาจปล่อยให้ชายชราคนนั้นพาคนไปง่ายๆ ได้ ย่อมต้องส่งคนติดตามไป เพื่อรอการตัดสินใจในขั้นสุดท้ายของวังสวรรค์หมื่นวิมาน

…..

ภายในเรือน ไห่หรูเยวี่ยเดินกลับไปกลับมาอย่างร้อนรน ทุกวินาทีที่ผ่านพ้นไปนับเป็นความทรมานสำหรับนาง ทั้งเป็นห่วงบุตรชายและเป็นกังวลต่อชะตากรรมของตน มือก็คอยลูบท้องน้อยของตนเป็นระยะๆ

มีเสียงฝีเท้าแว่วมาจากด้านนอกประตู พ่อบ้านจูซุ่นเดินโงนเงนเกาะขอบประตูเดินเข้ามา ถึงแม้แรงดีดจากการสะบัดมือของชายชราคนนั้นจะไม่ได้ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส แต่มันก็เพียงพอจะทำให้คนอายุปูนนี้เจ็บหนักได้

แม้จะเดินเหินได้ไม่คล่องแคล่ว แต่กลับยังคงฝืนทนเดินเข้ามาหา ปิดประตูลงภายใต้สายตาที่มองมาของไห่หรูเยวี่ย เดินกะเผลกๆ มาถึงด้านหน้าไห่หรูเยวี่ย สีหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า “ฮูหยิน เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ขอรับ?”

ไห่หรูเยวี่ยทราบว่าเขาภักดีต่อตระกูลเซียว ห่วงใยในความปลอดภัยของเซียวเทียนเจิ้นอย่างยิ่ง “ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น”

สายตาของจูซุ่นมองไปยังหน้าท้องที่ดูปกติดีของนาง “ฮูหยิน เรื่องที่หมอผีคนนั้นกล่าวมาเป็นความจริงหรือขอรับ?”

ไห่หรูเยวี่ยกุมท้องน้อยไว้ หลับตาลงพลางส่ายหน้า สีหน้าย่ำแย่ “จูซุ่น ข้าบอกเรื่องผลตะวันชาดกับเจ้าไปแล้ว เจ้าน่าจะเข้าใจถึงสถานการณ์ของพวกเรา วังสวรรค์หมื่นวิมานเริ่มลงมือแล้ว พวกเราจำเป็นต้องคิดหาทางปกป้องตัวเอง ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน”

จูซุ่นตัวสั่นเทิ้ม เซถอยหลังไปสองก้าม เอ่ยถามเสียงสั่นว่า “เป็นของผู้ใดขอรับ?”

เขารู้มานานแล้วว่าไห่หรูเยวี่ยมีสัมพันธ์กับชายอื่น ซ้ำยังไม่ใช่เพียงคนเดียวด้วย ไม่ใช่แค่หลีอู๋ฮวาเท่านั้น สมัยก่อนตอนที่ไห่หรูเยวี่ยยังไม่มีความสัมพันธ์ถึงขั้นนั้นกับหลีอู๋ฮวา นางก็เคยมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับเจ้าหน้าที่บางส่วนในมณฑลจินโจว

สำหรับเรื่องนี้ เขาทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งมาตลอด

ตัวเขาก็ทราบดีเช่นกัน ตระกูลเซียวตกอยู่ในสภาพนี้แล้ว แม่ม่ายลูกกำพร้าคิดจะยืนหยัดต่อไปเป็นเรื่องยากลำบากมากจริงๆ ไห่หรูเยวี่ยมีฐานะสูงศักดิ์เป็นองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นจ้าว แต่ความจริงแล้วไม่มีสิ่งใดที่จะใช้ยื้อใจคนไว้ได้เลย ราชสำนักแคว้นจ้าวจ้องจะเข้าควบคุมมณฑลจินโจว ไหนเลยจะยอมมอบทรัพยากรใดๆ ให้องค์หญิงใหญ่ท่านนี้ได้ใช้ประโยชน์ สิ่งเดียวที่องค์หญิงใหญ่ท่านนี้เหลือพอให้ใช้ประโยชน์ได้ก็คือความงามเท่านั้น

ในมุมมองของเขา ไห่หรูเยวี่ยเสียสละเพื่อตระกูลเซียว ปวดใจแต่ก็ไร้ทางเลือก จึงทำได้เพียงสนับสนุนนาง

“ปัง” ประตูถูกคนถีบให้เปิดออก หลีอู๋ฮวาที่สีหน้ามืดมนยืนอยู่นอกประตู จ้องมองไห่หรูเยวี่ยที่อยู่ในห้องด้วยสายตาเยียบเย็น

หลังจากเร่งรายงานสถานการณ์ต่อเบื้องบน จัดการเรื่องราวต่างๆ เรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบบึ่งมาที่นี่ทันที

คนที่อยู่ในห้องสะดุ้งโหยง หลีอู๋ฮวาย่างเท้าก้าวเข้ามา ยามที่เดินผ่านจูซุ่นได้ตวาดใส่ว่า “ไสหัวออกไป!”

จูซุ่นก้มหน้าลงเงียบๆ เดินกะเผลกๆ ออกไป

ไห่หรูเยวี่ยก็ค่อยๆ ถอยหลังไป ถูกหลีอู๋ฮวาที่เดินเข้ามาหาต้อนให้ถอยหลังไปเรื่อยๆ หลีอู๋ฮวาจ้องมองหน้าท้องของนาง นางยกสองมือกุมหน้าท้องตามสัญชาตญาณ พอถอยไปชนเก้าอี้ก็ทรุดนั่งลงไป สีหน้าตื่นตระหนก

หลีอู๋ฮวายืนอยู่ตรงหน้านาง ทอดสายตามองจากมุมที่สูงกว่า เอ่ยถามด้วยคำถามที่คล้ายกัน “เป็นของผู้ใด?”

ไห่หรูเยวี่ยตื่นตระหนกหวาเกลัว แสดงสีหน้าน่าเห็นใจ เอ่ยเหมือนจะร้องไห้ “ท่านยังจะถามอีกหรือว่าเปนของผู้ใด?”

แก้มหลีอู๋ฮวากระตุก อันที่จริงเขาก็พอจะเดาออก ไห่หรูเยวี่ยถูกกักบริเวณมามากกว่าครึ่งปี นอกจากเขาแล้ว ชายอื่นไม่มีทางเข้ามาข้องแวะกับไห่หรูเยวี่ยได้

ถึงจะทราบว่าเด็กในท้องนางเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตน แต่หลีอู๋ฮวายังคงโกรธเกรี้ยวอยู่ดี เพียะ! เขาตวัดมือตบหน้านาง จบไห่หรูเยวี่ยจนล้มลงไปบนเก้าอี้ “นังแพศยา เจ้าหยุดใช้ยาบำรุงที่ข้าให้งั้นรึ?”

ไห่หรูเยวี่ยกุมแก้มที่บวมแดงขึ้นมาในชั่วพริบตาไว้ ค่อยๆ เหยียดตัวนั่งตรงๆ เอ่ยน้ำตานอง “ข้ารู้มาแต่แรกแล้ว นั่นมิใช่ลูกบำรุงอะไรทั้งนั้น เป็นยาที่ทำให้ข้าไม่ตั้งครรภ์ต่างหาก!”

สีหน้าของหลีอู๋ฮวาดุร้าย “เจ้าจงใจสินะ เจ้าคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะปกป้องเจ้าได้หรือ?” สายตาที่จ้องมองหน้าท้องนางเจือแววเยียบเย็นไว้ มือข้างหนึ่งค่อยๆ กำเข้าหากัน

ไห่หรูเยวี่ยรับรู้ได้ว่าเขาคิดจะทำอะไร นางใช้สองมือป้องหน้าท้องไว้ รีบเอ่ยโน้มน้าวว่า “ข้ารู้ว่าพวกท่านคิดจะสังหารข้า แต่ท่านเองก็เห็นสถานการณ์ของจินโจวแล้ว รากฐานตระกูลเซียวคงอยู่มาหลายชั่วอายุคน อำนาจหยั่งรากฝังลึก ไม่ว่าจะด้านการเมือง การปกครองหรือเศรษฐกิจ ทุกอย่างล้วนเกี่ยวพันเชื่อมโยงกับคนตระกูลเซียวอย่างเหนียวแน่น ต่อให้ข้าสั่งให้กวาดล้างออกไปทั้งหมด มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการโดยไม่เกิดความวุ่นวายใดๆ ขึ้นเลย คนเบื้องล่างไม่มีผู้ใดยอมทนเห็นกิจการของตนพังทลายไป เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนมากมาย วังสวรรค์หมื่นวิมานก็มิกล้าใช้กำลังบังคับกวาดล้างเช่นกัน จึงทำได้เพียงค่อยเป็นค่อยไป แต่การทำเช่นนี้มันก็ทำให้จินโจวจะอ่อนแอลง ไม่เป็นผลดีต่อวังสวรรค์หมื่นวิมานเช่นกันกระมัง?”

“เจิ้นเอ๋อร์ถูกหมอผีพาตัวไปแล้ว กำจัดปัญหาที่จะตามมาจากเรื่องผลตะวันชาดได้พอดี แล้วก็พิสูจน์ให้เห็นได้ชพอดีว่าอาการป่วยของเจิ้นเอ๋อร์มีความเกี่ยวข้องกับหมอผีจริงๆ ผู้ใดยังจะข้องใจอีกเล่าว่าหมอผีไม่สามารถรักษาหยินกลืนชีพจรได้? ตอนนี้หากต้องการให้สถานการณ์ของจินโจวมั่นคง ตัวเลือกที่ดีที่สุดก็มีเพียงข้าเท่านั้น ตอนนี้วังสวรรค์หมื่นวิมานไร้เหตุให้กังวลแล้ว ไยต้องทำให้กำลังของจินโจวอ่อนแอลงอีกเล่า ในเมื่อสามารถทำให้ปัญหาสงบลงได้ ไยวังสวรรค์หมื่นวิมานต้องสร้างปัญหาให้ตัวเองอีกเล่า? ขอเพียงท่านทุ่มกำลังโต้แย้ง วังสวรรค์หมื่นวิมานต้องเก็บไปพิจารณาแน่!”

“คำพูดของหมอผีท่านเองก็ได้ยินแล้ว เด็กในท้องข้าเป็นลูกชาย เป็นลูกชายของท่าน ขอเพียงข้าได้ปกครองจินโจวต่อ ไม่ช้าก็เร็วอำนาจของจินโจวก็จะตกไปอยู่กับลูกชายคนนี้ของท่าน ภายหน้าบุตรชายท่านจะได้เป็นผู้ว่าการมณฑลจินโจว! อู๋ฮวา ชีวิตนี้ท่านไร้บุตรธิดา หรือว่าชาตินี้ท่านไม่คิดจะมีทายาทไว้คอยจุดธูปให้ตัวเองเลย? หมอผีบอกว่าเด็กในท้องข้าเป็นผู้ชาย หรือว่าท่านไม่เชื่อสายตาของหมอผี? เลือดเนื้อในครรภ์ข้าคือบุตรชายของท่านนะ!”

ราวกับนางกำลังคว้าฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายไว้

แววตาของหลีอู๋ฮวาที่กำหมัดอยู่วูบไหว สีหน้าลังเลใจ…

….

เหล่าปาของสวนไม้เลื้อยกลับมาแล้ว กลับมาถึงที่ซ่อนตัวของหนิวโหย่วเต้า

เหล่าปาอยู่ที่มณฑลจินโจวก็เพื่อเป็นตัวกลางสื่อสารระหว่างทางนี้กับมณฑลจินโจว แล้วก็นับว่าเป็นตัวประกันในกำมือของวังสวรรค์หมื่นวิมานเช่นกัน หากไม่ส่งตัวเซียวเทียนเจิ้นคืน เหล่าปาก็อย่าหวังจะได้รอดชีวิตกลับมา

ตอนที่เจรจากับเขาลับแลและกุ่ยหมู่ ก่วนฟางอี๋ส่งเหล่าปาไป ติดต่อกับมณฑลจินโจวครานี้ก็ส่งเหล่าปาไปอีก เห็นได้ชัดว่าเหล่าปาคนนี้เชี่ยวชาญด้านการเจรจาต่อรอง

“หมอผี?” หนิวโหย่วเต้าที่กำลังรินน้ำชาให้เหล่าปาด้วยตัวเองอยู่ข้างโต๊ะศิลาเอ่ยด้วยความแปลกใจ “หมอผีเฮยหลีพาเซียวเทียนเจิ้นไปอย่างนั้นหรือ?”

เหล่าปาพยักหน้ารับ “ใช่ขอรับ พอเซียวเทียนเจิ้นกลับไปถึงมณฑลจินโจว ยังไม่ทันได้ย่างเท้าเข้าจวนผู้ว่าการมณฑลก็ถูกหมอผีเฮยหลีพาตัวไปเสียแล้ว คนของวังสวรรค์หมื่นวิมานเป็นคนมาบอกข้าเอง วังสวรรค์หมื่นวิมานฝากข้ามาถ่ายทอดความต่อเต้าเหยี่ย บอกว่าเห็นแก่ที่เต้าหยี่ยรักษาคำพูด จะไม่ถือสาเอาความกับเต้าเหยี่ย บอกว่าเรื่องผ่านไปแล้ว หวังว่าท่านจะไม่นำเรื่องนี้มารื้อฟื้นอีก อย่าคิดว่าพวกเขาจะไม่กล้าแตกหักกับหนานโจว หากเป็นเรื่องขึ้นมา จะไม่เป็นผลดีต่อผู้ใดทั้งสิ้น ขอให้ท่านอยู่อย่างสงบหน่อยขอรับ!”

หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้ว สงสัยเล็กน้อยว่าวังสวรรค์หมื่นวิมานกำลังเล่นเล่ห์อันใดอยู่หรือไม่ เพื่อที่เขาจะได้ไม่ยกเรื่องนี้มารื้อฟื้นอีก แต่คิดๆ ไปก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง วังสวรรค์หมื่นวิมานไม่มีเหตุผลที่ต้องเก็บตัวเซียวเทียนเจิ้นไว้ให้เสี่ยงอีก พูดอีกอย่างก็คือเรื่องศิษย์หมอผีรักษาโรคที่สร้างขึ้นมาในตอนนั้นล่วงรู้ไปถึงหูหมอผีตัวจริงคนนั้นเข้าจริงๆ อย่างนั้นหรือ?

เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ที่ผ่านมามณฑลจินโจวไม่เคยแพร่งพรายเรื่องที่ศิษย์หมอผีทำการรักษาโรคให้เซียวเทียนเจิ้นต่อภายนอกเลย เนื่องจากทางฝั่งหมอผีก็มีนิสัยของหมอผีอยู่ ไม่ชอบทำอะไรเอิกเกริกเปิดเผย จนกระทั่งทางนี้เริ่มข่มขู่ให้มณฑลจิวโจวเคลื่อนกำลังทหาร เกรงว่าทางวังสวรรค์หมื่นวิมานคงค่อนข้างหวาดกลัว ถึงได้ปล่อยข่าวลือออกไปเพื่อตัดความเกี่ยวข้อง ผลสุดท้ายกลับชักนำหมอผีตัวจริงเข้ามา

คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นี่เป็นเรื่องที่ก่อนหน้านี้ไม่ว่าอย่างไรหนิวโหย่วเต้าก็ไม่เคยคิดถึงเลย ทำเอาเขาพูดไม่ออกจริงๆ

ก่วนฟางอี๋ที่อยู่ด้านข้างก็ประหลาดใจอย่างมากเช่นกัน หมอผีที่ทำตัวลึกลับเสมอมาปรากฏตัวขึ้นจริงๆ อย่างนั้นหรือ ทั้งยังมีเป้าหมายชัดเจน พุ่งเป้าตรงไปที่เซียวเทียนเจิ้นเลย

ทางฝั่งหนิวโหย่วเต้านำเซียวเทียนเจิ้นมาต่อรอง ส่วนทางวังสวรรค์หมื่นวิมานก็ถูกกุมจุดอ่อนอย่างเซียวเทียนเจิ้นไว้ เวลานี้แม้แต่หมอผีก็พุ่งเป้าไปที่เซียวเทียนเจิ้นแล้ว หากจะบอกว่าเซียวเทียนเจิ้นไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย ตีให้ตายเขาก็ไม่เชื่อ

แววตาก่วนฟางอี๋พลันวูบไหวขึ้นมา จ้องมองหนิวโหย่วเต้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย คล้ายอยากจะบอกอะไรให้ออก

หยวนกังที่อยู่ด้านข้างก็ขมวดคิ้วเช่นเดียวกัน เขาเองก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

“หมอผีพาตัวเซียวเทียนเจิ้นไปทำไม” หนิวโหย่วเต้าถาม

เหล่าปาส่ายหน้า “ไม่ทราบขอรับ ข้าไม่ได้เห็นกับตา วังสวรรค์หมื่นวิมานก็ไม่ได้บอก”

“คิดไม่ถึงว่าหมอผีสอดมือเข้ามายุ่งเสียได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นโชคดีหรือว่าโชคร้าย” หนิวโหย่วเต้าอดถอนหายใจไม่ได้ จากนั้นผายมือเชิญเหล่าปาดื่มน้ำชา เอ่ยขอบคุณสอบสามประโยค

หลังจากเหล่าปาออกไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยถามก่วนฟางอี๋ว่า “เจ้าทราบข่าวสารมากมาย เจ้ามีข้อมูลพิเศษอันใดที่เกี่ยวกับหมอผีคนนั้นหรือไม่?” เขาอยากทำความเข้าใจสถานการณ์ให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะได้เตรียมพร้อมไว้ในใจ

ก่วนฟางอี๋นั่งไขว้ขาพลางโบกพัด เอ่ยไปว่า “คนผู้นี้ผีเข้าผีออก ตัวข้าไหนเลยจะมีข่าวอันใดเกี่ยวกับเขา มีเพียงข่าวลือบางส่วนเกี่ยวกับเขาที่แพร่อยู่ในโลกบำเพ็ญเพียร คนธรรมดาหากอยากพบเขาล้วนยากเย็นนัก ใช่แล้ว สมัยก่อนข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่าหมอผีอาจจะเป็นคนของนิกายมาร”

“นิกายมาร?” หนิวโหย่วเต้าผงะไป เอ่ยถามว่า “เป็นมาอย่างไร?”

ก่วนฟางอี๋เอ่ยว่า “ว่ากันว่าหากคนอื่นอยากพบหมอผีล้วนยากเย็น มีเพียงเทพีรุ่นก่อนของนิกายมารที่สามารถเรียกพบได้ง่ายๆ ได้ยินว่าหมอผีเชื่อฟังคำพูดของเทพี ว่ากันว่าหมอผีติดค้างหนี้บุญคุณของเทพีจึงเข้าร่วมนิกายมาร หลังจากเทพีตายหมอผีก็ออกจากนิกายมาร แต่ข่าวพวกนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ คนที่เล่าเรื่องพวกนี้ก็ได้ยินมาจากคนอื่นอีกทีเหมือนกัน”

เทพีหรือ? หนิวโหย่วเต้าลองสอบถามดู “เทพีรุ่นก่อนของนิกายมารใช่เทพีที่เกี่ยวพันกับจ้าวสยงเกอคนนั้นหรือไม่?”

ก่วนฟางอี๋ผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมาแล้วเอ่ยว่า “ลืมไปเลยว่าเจ้าก็มาจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ใช่ เทพีนิกายมารที่พัวพันกับจ้าวสยงเกอที่ถูกขับไล่จากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คนนั้นนั่นแหละ หากนับกันตามลำดับศักดิ์ จ้าวสยองเกอน่าจะเป็นอาจารย์อาของเจ้ากระมัง? หากข่าวลือที่ข้าได้ยินมาเป็นความจริง จ้าวสยงเกออาจจะรู้จักกับหมอผี ถ้าไงจ้าลองไปสอบถามจากจ้าวสยงเกอดูไหม ต้องได้ความกว่ามาถามข้าแน่นอน”

หนิวโหย่วเต้ายกชาขึ้นจิบ ไม่ถามต่อแล้ว เขาไม่ชอบที่สุดเวลามีคนเอ่ยเชื่อมโยงตัวเขากับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์

แต่ก่วนฟางอี๋กลับไม่ยอมปล่อยผ่าน “นี่เต้าเหยี่ย เหล่าปาของข้าไปเป็นตัวประกันอยู่ในมณฑลจินโจวเพื่อเรื่องของเจ้า เกือบที่จะต้องตายโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยซ้ำ ตอนนี้เขากลับมาแล้ว ข้าก็สมควรต้องมีคำอธิบายให้เขาด้วยหรือเปล่า สรุปแล้วเซียวเทียนเจิ้นคนนั้นมีความลับใดซ่อนอยู่กันแน่?”

หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองนาง “เรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบาย ถึงเจ้ารู้ไปก็ไม่กล้าบอกเขาอยู่ดี”

ก่วนฟางอี๋หัวเราะฮ่าๆ “แค่จะดูว่าเจ้ามีความจริงใจหรือเปล่า จะบอกเขาหรือไม่ก็เป็นเรื่องของข้า”ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

“เจ้าอยากรู้จริงๆ น่ะหรือ?” หนิวโหย่วเต้ามองนางด้วยแววตาหยอกล้อ

ท่าทีนี้ของเขาทำให้นางอึดอัดไปทั้งตัว รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่น่าไว้ใจ แต่ก็ห้ามความอยากรู้ไม่ไหว จึงเอ่ยออกไปอย่างหนักแน่นว่า “อยาก!”

ครั้งนี้หนิวโหย่วเต้าก็ตอบไปตรงๆ เช่นกัน “เซียวเทียนเจิ้นป่วยเรื้อรังเพราะหยินกลืนชีพจร”

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องพูดข้าก็รู้”

“เจ้ารู้หรือ? ความจริงอาการป่วยของเซียวเทียนเจิ้นได้รับการรักษาจากข้า”

“เจ้าหรือ? เจ้ามีความสามารถเช่นนี้ด้วยหรือ? ไม่สิ แล้วนี่มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่วกไปวนมาอยู่ตอนนี้ด้วย?”

“ข้าขโมยของจากหอหิมะเหมันต์มารักษาให้เซียวเทียนเจิ้น”

“…..” ก่วนฟางอี๋พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง สีหน้าแปรเปลี่ยนในทันใด คล้ายจะเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว นางลุกพรวดขึ้นมาทันที หันหลังเดินออกไป ตะโกนเสียงดังลั่น “สวี่เหล่าลิ่ว รีบเก็บข้าวของ ไม่อยู่แล้ว!”

………………………………………………………..