ตอนที่ 448 พบจ้าวสยงเกออีกครั้ง
สายน้ำลำธารรินไหล พณากว้างรกร้าง ถนนทอดยาวน้อยใหญ่ ตะวันรุ่งตะวันรอน เขาเขียวคงนิรันดร์
เสียงฝีเท้าม้าแว่วดังฝุ่นตลบไปตลอดทาง มีเสียงก่นด่างึมงำของก่วนฟางอี๋แว่วแทรกอยู่เป็นครั้งคราว
เป้าหมายที่ถูกด่ากลับไม่ตอบโต้ เพียงยิ้มน้อยๆ ออกมาเป็นครั้งคราว กลับเป็นหยวนกังที่ฟังแล้วขัดหูนัก ปรายตามองด้วยสายตาเย็นชาอยู่เป็นพักๆ
สุดท้ายก่วนฟางอี๋ยังคงเดินทางออกมาอยู่ดี แต่เป็นการเดินทางติดตามหนิวโหย่วเต้าไป ร่วมทางไปด้วยกัน
จำนวนคนไม่ได้มากมายนัก เป็นคณะสิบคนเท่านั้น
หยวนฟางไม่ได้มีส่วนร่วมในศึกที่มณฑลหนานโจว คล้ายรู้สึกคันไม้คันมือ ครั้งนี้พอได้ยินว่าหนิวโหย่วเต้าจะเดินทางไกลอีกครั้งจึงทำหน้าหนาติดตามมาด้วย
ส่วนทางฝั่งกงซุนปู้ไม่ได้ส่งคนติดตามมาด้วยอีก
กงซุนปู้ปฏิบัติตามความต้องการของหนิวโหย่วเต้า ขยายเครือข่ายข่าวสารให้กว้างขวางขึ้น เรื่องที่ต้องจัดการจึงค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ไม่สะดวกจะตะลอนไปทุกหนทุกแห่งอีก การเดินทางครั้งนี้มุ่งหน้าไปยังแคว้นซ่ง ปกติแล้วหยวนกังและก่วนฟางอี๋มักจะมีส่วนร่วมกับเครือข่ายข่าวกรองของสำนักเบญจคีรีอยู่เสมอ จึงรู้แล้วว่าต้องติดต่อกับสายข่าวของทางแคว้นซ่งอย่างไร ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้คนของสำนักเบญจคีรีติดตามมาอีก
ระหว่างที่อยู่ในเส้นทางบนภูเขาสายหนึ่ง ขบวนเดินทางรั้งบังเหียนหยุดม้า หยุดลงหน้าปากทางเข้าสู่ภูเขาลูกหนึ่ง เป็นเส้นทางเข้าสู่หมู่บ้านในป่า
หนิวโหย่วเต้าและหยวนกังต่างมองพินิจรอบๆ ปากทางเข้า จากไปนานหลายปี พอกลับมาเห็นปากทางเข้าแห่งนี้อีกครั้งก็รู้สึกสะท้อนใจขึ้นมา
หนิวหลิน หยวนหั่วและหนิวซานบังคับม้าแยกออกมาจากขบวน ประสานมือคำนับลา “เต้าเหยี่ย พวกเราไปก่อนนะขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ฝากทักทายคนในหมู่บ้านแทนข้าด้วย”
หนิวหลินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามไปอีกประโยคหนึ่ง “เต้าเหยี่ย ท่านจะไม่กลับไปดูหน่อยหรือขอรับ? บ้านเก่าของครอบครัวท่านก็ยังอยู่นะขอรับ” เขาเกือบจะพูดว่าสุสานบรรพชนออกไปแล้ว
แววตาก่วนฟางอี๋ทอประกายวิบวับ ทอดตามองเข้าไปยังปลายสุดของเส้นทางในหุบเขาอย่างสงสัยใคร่รู้ อันที่จริงนางอยากไปดูว่าหมู่บ้านเล็กๆ ที่พูดถึงกันแห่งนั้น อยากเห็นว่าเป็นสถานที่เช่นไรถึงให้กำเนิดตัวประหลาดอย่างหนิวโหย่วเต้าออกมาได้
ไม่ใช่แค่หนิวโหย่วเต้าเท่านั้น แม้ว่านางจะไม่ลงรอยกับหยวนกัง แต่สายตายังคงมีแววอยู่ มองออกว่าหยวนกังไม่ธรรมดาเลย หมู่บ้านในหุบเขาเล็กๆ แห่งหนึ่งกลับสร้างตัวประหลาดเช่นนี้ออกมาได้ถึงสองคน แล้วจะไม่ให้นางอยากรู้อยากเห็นได้อย่างไร
อย่าว่าแต่นางเลย แม้แต่พวกลุงเฉินที่ติดตามมาก็อดไม่ได้ที่จะชะเง้อมองไปยังสุดปลายถนนอยู่หลายครั้ง
หนิวโหย่วเต้าเพียงยิ้มแต่ไม่ตอบ บางคำถามก็ไม่จำเป็นต้องตอบ
หยวนกังเอ่ยขึ้นว่า “อย่าโอ้เอ้”
พวกหนิวหลินทั้งสามจึงทำได้เพียงประสานมือคำนับอีกครั้ง จากนั้นบังคับม้าหันหลังวิ่งห้อไปตามเส้นทาง ควบทะยานไป
หนิวโหย่วเต้าหันไปมองหยวนกัง “เจ้าไม่อยากกลับไปดูหน่อยหรือ?”
หยวนกังก็ไม่ได้ตอบเช่นกัน เพียงใช้สองเท้ากระทุ้งสีข้างม้า ควบม้าทะยานนำไปก่อน
หนิวโหย่วเต้าควบม้าตามไป ทั้งคณะออกเดินทางต่อ
นับตั้งแต่อยู่ในจังหวัดชิงซานจนไปยังแคว้นฉีแล้วไปที่เมืองซั่งผิงต่อ หลังผ่านเรื่องราวบางอย่างมา โดยเฉพาะหลังจากที่เสียพวกพ้องไปสามสิบกว่าคน ในที่สุดหยวนกังก็เข้าใจเรื่องที่ก่อนหน้านี้เต้าเหยี่ยต้องการให้เขาทำงานอยู่เบื้องหลังอย่างลึกซึ้งแล้ว
ก็เหมือนกับที่เต้าเหยี่ยเคยปฏิบัติกับเขาเมื่อในอดีต ตอนนี้เขาเองก็รับรู้ได้แล้วว่าความห่างชั้นระหว่างตนกับเหล่าพี่น้องขยายตัวออกไปมากขึ้นแล้ว ความเสี่ยงบางอย่างตัวเขาแบกรับไหว แต่ถ้าให้เหล่าพี่น้องร่วมเสี่ยงไปด้วยกันล่ะก็ นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการมุ่งหน้าไปหาความตายเลย
หลังเข้าใจแล้วว่าแนวคิดที่ติดมาจากอีกโลกหนึ่งไม่ค่อยเหมาะสมกับยุคสมัยนี้ ฝึกฝนเหล่าพี่น้องต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ที่สำคัญคือค่านิยมของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกัน เขากับหนิวโหย่วเต้าสามารถเตร็ดเตร่ไปทั่ว ทุกแห่งหนคือบ้าน แต่แนวความคิดที่ว่าช้าเร็วก็ต้องแต่งงานสร้างครอบครัวของเหล่าพี่น้องนั้นฝังลึก จะให้คนมากมายขนาดนั้นเป็นเหมือนพวกเขามันก็ไม่สมเหตุสมผลเท่าไรเช่นกัน
ประกอบกับหลังจากทุ่มกำลังช่วยเหลือซางเฉาจงไว้ในครานั้น ซางเฉาจงชื่นชมคนของเขาอย่างมาก อีกทั้งตอนนี้ซางเฉาจงได้ปกครองมณฑลจินโจวแล้ว จำเป็นต้องใช้คนอย่างเร่งด่วน ด้วยเหตุนี้หยวนกังจึงถือโอกาสถ่ายโอนเหล่าพี่น้องไปให้ซางเฉาจง ให้เหล่าพี่น้องไปติดตามซางเฉาจงเพื่อสร้างเส้นทางอนาคตในโลกคนธรรมดา
หยวนกังปล่อยวางได้แล้ว
ที่พวกหนิวหลินกลับมาครั้งนี้ก็เพราะเตรียมจะย้ายคนทั้งหมดในหมู่บ้านออกไป มณฑลหนานโจวกว้างใหญ่ถึงเพียงนั้น เพียงพอให้คนในหมู่บ้านเล็กๆ ได้ย้ายออกจากป่าเขาไปใช้ชีวิตใหม่ที่นั่นได้
อันที่จริงหนิวโหย่วเต้าไม่ต้องการให้คนในหมู่บ้านย้ายออกไปเลย เขาไม่คิดว่าพอชาวบ้านย้ายออกจากหมู่บ้านที่เคยใช้ชีวิตอยู่ไปแล้วจะมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ แต่พวกหนิวหลินล้วนคิดว่าแบบนั้นคือชีวิตที่ดีขึ้น บางทีชาวบ้านก็อาจจะคิดเช่นนั้นเหมือนกัน ดังนั้นหนิวโหย่วเต้าจึงไม่คัดค้านเช่นกัน
ทุกคนต่างมีทางเลือกของตัวเอง เขาไม่มีทางไปบังคับคนเหล่านี้ได้
ส่วนสาเหตุที่ครั้งนี้พาหยวนกังไปด้วย ไม่ได้ให้หยวนกังทำงานอยู่เบื้องหลัง เป็นเพราะหยวนกังได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตนแล้ว เขาสามารถปะทะกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองอย่างซึ่งหน้าได้
……
ขุนเขาสายธารเชื่อมโยง เมื่อทอดสายตามองไป มีสถานที่งดงามชัยภูมิเลิศล้ำตั้งอยู่ไกลๆดฮณ๊ฯดฯฌซ,
จากแถบพื้นที่ที่เดินทางผ่านทำให้ก่วนฟางอี๋คาดเดาได้แต่แรกแล้ว นางชี้ออกไปพลางเอ่ยถาม “นี่เต้าเหยี่ย ข้าว่าสถานที่แห่งนี้คงเป็นสำนักสวรรค์พิสุทธิ์กระมัง?”
หนิวโหย่วเต้าตอบ “อืม”
ภูเขายังคงเป็นภูเขาลูกนั้น แม่น้ำก็ยังเป็นแม่น้ำสายนั้น ยามที่คณะเดินทางควบม้าผ่านไป ก่วนฟางอี๋เอ่ยถามขึ้นมาอีก “เต้าเหยี่ย เจ้าไม่อยากกลับไปดูหน่อยหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าไม่ปริปาก ไม่แม้แต่จะเหลือบมอง ควบม้าผ่านไปเสมือนสายลมหอบหนึ่ง
……
ณ มณฑลเป่ยโจว ม้าหลายตัววิ่งห้อไปตามเส้นทางหลวงที่ตัดผ่านหุบเขา ถังอี๋และซูพั่วขี่ม้าขนานกันอยู่ด้านหน้า มีศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์หลายคนเร่งม้าตามหลังมา
มีสัตว์ปีศาจออกอาละหวาดในเขตมณฑลเป่ยโจว ทั้งคณะได้รับคำสั่งจากเซ่าผิงปอให้มุ่งหน้ามากำจัดปีศาจช่วยปวงประชา ภารกิจเสร็จสิ้นแล้วกำลังจะกลับไปรายงานผล
ตอนนี้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทำได้เพียงงานจิปาถะยิบย่อยพวกนี้
“โฮก!” เสียงคำรามโกรธเกรี้ยวแว่วออกมาจากป่าลึก ม้าที่ทุกคนขี่อยู่พลันตกใจจนเสียการควบคุม
ทุกคนควบคุมม้าไว้อย่างรวดเร็ว พลางหันมองไปยังต้นทางที่มีเสียงสัตว์ร้ายคำรามแว่วมา ทั้งสับสนระคนตกใจ เสียงคำรามนี้ต่างจากเสียงสัตว์ร้ายทั่วไป ค่อนข้างมีเอกลักษณ์ แล้วก็คล้ายจะฟังดูคุ้นหูด้วย
“โห่วขนทอง!” ซูพั่วนึกออกแล้ว
“อาจารย์อา!” ถังอี๋โพล่งออกไป แทบจะเอ่ยขึ้นพร้อมกับซูพั่วเลยทีเดียว
ถังอี๋พลันมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที ทะยานออกจากหลังม้า โฉบเข้าไปในป่า
ซูพั่วส่งสัญญาณให้ศิษย์สองคนคอยเฝ้าม้าเอาไว้ในทันที จากนั้นก็พาคนที่เหลือทะยานไล่ตามไปพร้อมกัน ไม่เหมาะที่จะปล่อยให้เจ้าสำนักมุ่งหน้าไปตามลำพังได้
ทว่าถังอี๋กลับไม่รับน้ำใจไว้ หยุดยืนบนยอดไม้พลางยกมือปรามกลุ่มคนที่ติดตามมา “ผู้อาวุโสซู อาจารย์อาไม่ยินดีจะพบหน้าคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ข้าไปคารวะคนเดียวก็พอแล้ว”
แล้วก็เป็นเพราะเหตุผลนี้ ซูพั่วจึงเอ่ยตอบเสียงขรึม “เจ้าสำนักระวังตัวด้วย! หากมีสถานการณ์ผิดปกติอันใดโปรดส่งสัญญาณทันที!”
ถังอี๋พยักหน้ารับ จากนั้นทะยานไปตามต้นตอของเสียงต่อไป รีบมุ่งหน้าไปพบเจ้าของโห่วขนทอง
หลายปีมานี้ สถานการณ์ที่ยากลำบากของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทำให้นางเป็นกังวล แต่นางกลับหาทางออกจากสถานการณ์ที่ยากลำบากไม่พบ ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ยินเสียงโห่วขนทองดังขึ้นที่นี่ นางอยากรีบไปพบเจ้าของพยัคฆ์ขนทอง ด้วยหวังว่าเขาจะยอมออกโรงช่วยเหลือเพราะเห็นแก่ไมตรีเก่าก่อนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์
สถานที่คือลำธารไหลรินกลางภูเขาเช่นเคย สัตว์ร้ายตัวหนึ่งที่ร่างกายงามสง่าเหมือนดั่งสิงโตทว่ามิใช่สิงโต มีขนสีทองวาววับมันเลื่อม กำลังไล่ตะครุบปลาอยู่กลางลำธาร พอจับได้ตัวหนึ่งก็จะยัดเข้าปากกัดกิน ริมฝั่งด้านข้างที่เกลื่อนไปด้วยก้อนกรวดมีชายสภาพมอซอคนหนึ่งใช้แขนข้างหนึ่งหนุนต่างหมอน ส่วนมืออีกข้างถือน้ำเต้าสุราคอยเทกรอกปากเป็นระยะ
ถังอี๋เหินลงมาจากอากาศ กระโปรงแผ่พลิ้วดั่งเทพธิดา ร่อนลงบนหาดหินกรวด
โห่วขนทองชะงักไปทันที หันกลับมามองเล็กน้อย จากนั้นก็เล่นสนุกในลำธารต่อไ
“อาจารย์อา!” ถังอี๋ประสานมือคำนับ
จ้าวสยงเกอที่เรอสุราอยู่ลืมตามที่หรี่ปรือเมามายขึ้นมา มองเล็กน้อย ดูเหมือนตะค่อนข้างแปลกใจ “เป็นเจ้าเองหรือสาวน้อย? อย่าซี้ซั่วเรียกไป ข้าหาใช่อาจารย์อาของเจ้าไม่ เจ้าตามมาถึงที่นี่ได้อย่างไร?”
ด้วยรู้สึกว่ายืนคุยกับอาจารย์อาเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสม ถังอี๋จึงนั่งขัดสมาธิลงไป “ผ่านมาแถวนี้พอดี บังเอิญได้ยินเสียงคำรามของโห่วขนทองจึงตามมาดู ที่แท้ก็เป็นอาจารย์อาจริงๆ”
จ้าวสยงเกอยื่นมือไปคว้ากรวดก้อนหนึ่งแล้วขว้างออกไป ขว้างใส่โห่วขนทอง “คำรามส่งเดชทำไม”
โห่วขนทองไม่หันกลับมา เพียงตวัดหางที่อยู่ด้านหลังทีหนึ่ง เกิดเสียงดังผัวะ ก้อนกรวดที่ถูกขว้างเข้าใส่แหลกเป็นผุยผง
ภาพนี้ทำให้ถังอี๋ตะลึงไปทันที คิดไม่ถึงเลยว่าโห่วขนทองเพียงตวัดหางทีหนึ่งก็มีอานุภาพปานนี้แล้ว มิน่าถึงกลายเป็นสัตว์พาหนะของเทพีแห่งนิกายมารได้
จ้าวสยงเกอกอดน้ำเต้าสุราพลางลุกขึ้นมานั่ง พ่นลมหายใจที่อวลไปด้วยกลิ่นสุราออกมา เอ่ยว่า “เจ้ามานั่งอยู่ตรงนี้ทำไม ได้พบคนแล้วก็กลับไปได้แล้ว อย่ามารบกวนความสงบของข้า”
ถังอี๋ประสานหมัดกล่าวว่า “อาจารย์อา ตอนนี้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ศิษย์ไร้ความสามารถ อาจารย์อาโปรดเห็นแก่หน้าบรรพจารย์ ช่วยเหลือสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
จ้าวสยงเกอเอ่ยว่า “ข้าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แล้ว” ว่าพลางยกน้ำเต้าสุราขึ้นมาเทสุราอีกครั้ง
ถังอี๋อ้อนวอน “อาจารย์อา หากเป็นเช่นนี้ต่อไป สำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะถึงความพินาศล่มสลายอย่างแท้จริง อาจารย์อาจะหักใจมองดูสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ล่มสลายไปเช่นนี้ได้หรือเจ้าคะ?”
จ้าวสยงเกอเอ่ยเนิบๆ ว่า “เจ้ามาพูดเช่นนี้กับคนนอกอย่างข้า ไม่รู้สึกว่ามันไร้ประโยชน์บ้างหรือ? อีกทั้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ของพวกเจ้าก็ใช่ว่าจะไร้คนมีความสามารถ ไยต้องมาขอร้องคนนอกด้วย”
ถังอี๋ยิ้มขมขื่น “สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไร้ซึ่งผู้มีความสามารถ จะไปหาผู้มีความสามารถมาจากไหน หากมีบุคคลทรงความสามารถอยู่ ไหนเลยจะตกต่ำจนอยู่ในสภาพนี้ได้ อาจารย์อา…”
จ้าวสยงเกอเอ่ยตัดบท “หนิวโหย่วเต้าคนนั้นพอจะมีความสามารอยู่บ้าง ข่าวคราวบางอย่างลือจนแว่วมาถึงหูข้าที่อยู่บนยอดเขาภูตมาร เขามีความสามารถถึงขั้นก่อคลื่นลมพลิกสถานการณ์ได้ แค่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์แห่งหนึ่ง หากว่าเขายินดีช่วยฉุดดึงขึ้นมา สำนักสวรรค์พิสุทธิ์น่าจะหลุดพ้นจากปัญหาได้แน่นอน เฮ้อ สายตาของตงกัวเฮ่าหรานยังคงมีแววนัก ได้ศิษย์ดีคนหนึ่ง! ยัยหนู เจ้ามีคนกันเองอยู่แล้วไม่เรียกหา กลับมาจู้จี้เอากับข้าด้วยเหตุใด ข้าใช่คนที่จะยอมทำงานต่างวัวต่างม้าหรือ?”
พอเอ่ยมาถึงตรงนี้ สีหน้าถังอี๋เปี่ยมความขมขื่น “อาจารย์อา ใช่ว่าท่านจะไม่รู้ หนิวโหย่วเต้าถูกขับออกจากสำนักไปแล้ว”
จ้าวสยงเกอคล้ายจะหลงลืมไปเล็กน้อย “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?”
ถังอี๋เอ่ยว่า “ใช่ว่าศิษย์จะไม่เคยไปหาเขา แต่เขาขีดเส้นแบ่งแยกกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ชัดเจน ข้ายินดีมอบตำแหน่งเจ้าสำนักให้เขา แต่เขายังคงไม่เหลียวแลอยู่ดี”
“อายุยังไม่มาก แต่กลับจ้าอารมณ์ไม่น้อยทีเดียว” จ้าวสยงเกอพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็ชำเลืองมองอีกครั้ง “ข้าจำได เจ้ากับเขาเหมือนจะเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามธรรมเนียมกระมัง? ความสัมพันธ์ทางสำนักไม่มีแล้ว แต่ความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยายังคงอยู่ สามีให้ความช่วยเหลือภรรยาตนก็นับเป็นเรื่องชอบธรรม ภรรยาขอร้องสามีตนก็มิใช่เรื่องน่าอับอายอันใด เจ้าไปขอร้องเขาจะดีกว่า หากว่าแม้แต่ลดตัวลงเล็กน้อยเช่นนี้ก็ยังทำไม่ได้ ไม่ยอมไปขอร้องคนอื่น แล้วยังจะหวังพึ่งคนนอกได้หรือ?”
ว่าจบก็ทะยานกายร่อนลงบนหลังของโห่วขนทอง
“โฮก!” โห่วขนทองเชิดหน้าคำรามออกมา กำลังจะหมุนกายเดินจากไป
ถังอี๋ลุกขึ้นมาทันที “อาจารย์อา หรือว่าท่านจะทนมองสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ล่มสลายไปจริงๆ เจ้าคะ?”
“ยัยหนู เจ้าจงจำเอาไว้ หากข้ามีความสามารถขนาดนั้น ในอดีตคงจะไม่ลงเอยด้วยจุดจบเช่นนั้น การที่สำนักแห่งหนึ่งจะยืนอยู่ในโลกบำเพ็ญเพียรที่เต็มไปด้วยบุญคุณความแค้นและผลประโยชน์ได้ อาศัยเพียงการต่อสู้ฆ่าฟันนั้นไม่มีประโยชน์ คนผู้หนึ่งต่อให้มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งเพียงใด ก็ทำได้เพียงปกป้องสำนักไว้ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น หากต้องการนำพาสำนักไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน เจ้าจำเป็นต้องพึ่งพาคนที่มีความสามารถด้านปัญญาอย่างจริงแท้”
จ้าวสยงเกอที่นั่งอยู่บนหลังโห่วขนทองกล่าวจบก็เชิดหน้าเทสุรากรอกปากอีกครั้ง พอเรอสุราออกมาก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “เรื่องราวในหลายปีมานี้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว หนิวโหย่วเต้ามีความสามารถในด้านนั้นจริงๆ สามารถเรียกใช้ได้อย่างวางใจ ข้าได้ยินว่าหนิวโหย่วเต้ากำลังอยู่ระหว่างเดินทางไปยังแคว้นซ่ง เป้าหมายคือสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ยัยหนู หากอยากฟื้นฟูสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จริงๆ ก็จงไปหาเขาเถิด!”
พอกล่าวจบ โห่วขนทองที่เขานั่งอยู่พลันกางขาวิ่งทะยานออกไป วิ่งลุยน้ำไปจนละอองน้ำสาดกระเซ็น
………………………………………………………………