บทที่ 454 ความรักความเกลียดชังที่ผ่านมา ปล่อยวางลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

ฮั่วชิงชิงได้ยินทุกๆคนเอ่ยถึงเรื่องคลอดลูก ก็อดไม่ได้ที่จะกังวลใจ : “เสี่ยวถาง คลอดลูกนี่เจ็บมากๆเลยใช่ไหม? แล้วครั้งที่สองของคุณรู้สึกอย่างไรบ้าง?”

หลานเสี่ยวถางพูดว่า : “ถ้าบอกว่าไม่เจ็บก็ต้องโกหกอย่างแน่นอน ในตอนนั้นรู้สึกเหมือนกำลังจะตายในวินาทีถัดไปเลยแหละ แต่เมื่อลูกคลอดออกมาแล้ว ในทันใดก็รู้สึกว่า ขอเพียงแค่เขาออกมาอย่างปลอดภัย มันไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้แล้ว ฉะนั้นคุณไม่ต้องกังวลไปหรอก ตอนนี้การแพทย์พัฒนาไปมากแล้ว เราคลอดลูกก็แทบไม่มีอันตรายใดๆเลย”

ฮั่วชิงชิงพยักหน้า : “คุณพูดแบบนี้ ฉันก็ค่อยวางใจหน่อย”

เธอเพิ่งจะพูดจบ มือก็ถูกหันจื่ออี้จับไว้

เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า : “ชิงชิง อย่ากังวลใจไปเลย ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณตลอดเวลา”

คำพูดของเขาดังก้องอยู่ในหู ราวกับสายลมอันอบอุ่นที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจและมีพลังขึ้นมาในทันที

ฮั่วชิงชิงพยักหน้า เธอนึกถึงการผ่าตัดปลูกถ่ายไตในตอนนั้น ตอนที่เธออยู่บนเตียงคนไข้แล้วถูกเข็นไปที่ห้องผ่าตัด ถึงแม้ว่าจะยังเกลียดเขาอยู่ แต่ในใจลึกๆ ก็หวังให้เขาอยู่เคียงข้างเธอ

แต่ตอนนั้นที่เธอออกมาไม่เห็นเขา ก็คิดว่าเขาออกไปทำงานนอกสถานที่แล้ว จึงรู้สึกผิดหวังอยู่ในใจ

แต่เมื่อนึกย้อนกลับไป อันที่จริงเขาไม่เคยจากไปในช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของเธอเลย

บ่ายในวันนั้น เพราะว่ายังมีเด็กอีกหลายคน ดังนั้นทุกๆคนจึงไม่สามารถพูดคุยกันนานได้ จึงทยอยกลับบ้านกันไป

เพียงแต่ฮั่วชิงชิงคาดไม่ถึงว่า การตั้งครรภ์มันช่างเป็นความทุกข์เหลือเกิน

ผ่านเดือนแรกไปเธอก็เริ่มมีอาการแพ้ท้อง

บ่อยครั้งที่เพิ่งจะทานอาหารเข้าไป ก็รู้สึกคลื่นไส้ทันที ต้องวิ่งตรงไปที่ห้องน้ำแล้วอาเจียนออกมา

แต่คิดถึงว่าจะต้องบำรุงร่างกายลูกที่อยู่ในท้อง เธอจะไม่กินไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ทุกๆครั้งจะกินแล้วก็อาเจียน อาเจียนแล้วก็กิน ดูเหมือนจะกลายเป็นวัฏจักรไปแล้ว

สองสามวันก่อน หันจื่ออี้ได้ย้ายศูนย์การทำงานกลับมาที่หนิงเฉิงแล้ว ประกอบกับการติดต่อการทำงานพิเศษของเขา หลายครั้งที่สามารถทำงานทางไกลได้

ด้วยเหตุนี้ ขอเพียงแค่ไม่จำเป็นต้องไปที่บริษัททางด้านนั้น เขาก็สามารถอยู่บ้านเป็นเพื่อนเธอได้

เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่า เดิมทีการตั้งครรภ์ของผู้หญิงเป็นเวลาราวๆ 10 เดือนนั้นช่างเจ็บปวดทรมานมาก เพราะเหตุนี้เขาจึงให้นักโภชนาการมาเปลี่ยนแปลงการบำรุงร่างกายให้ฮั่วชิงชิง

เพียงแต่ความอยากอาหารของเธอมีน้อยมาก ฉะนั้นบ่อยครั้งที่เธอทานไม่หมดก็จะให้เขา สองเดือนต่อมา น้ำหนักเขาขึ้นไป 5 กิโลกรัมกว่า น้ำหนักจึงกลับคืนสู่สภาพเดิม สีหน้าราศีก็ดูดีขึ้นมาก

สภาพแวดล้อมในชุมชนดีมาก ตอนเย็นๆพวกเขามักจะออกไปเดินเล่นที่สวนข้างล่างด้วยกัน กลับไปตอนกลางคืนก็จะอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยกัน

เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัวจนถึงวันครบรอบการเสียชีวิตของพ่อแม่หันจื่ออี้แล้ว

ฮั่วชิงชิงท้องอยู่ จึงไม่เหมาะที่จะไปในสถานที่ที่เป็นสุสานเช่นนั้น เพราะอย่างนี้หันจื่ออี้จึงขับรถมาที่สุสานด้วยตนเอง

ในมือของเขาถือดอกเบญจมาศ เดินมาที่หน้าสุสานของแม่ เขานำดอกไม้วางลงไป หลังจากที่โค้งคำนับแล้ว จึงพูดว่า : “แม่ ฉันจะเป็นพ่อคนแล้วนะ”

พูดจบ เขาก็ยิ้มขึ้นมา : “อันที่จริงนี่คือสิ่งที่ฉันใฝ่ฝันมาตลอด และตอนนี้ในที่สุดมันก็กลายเป็นจริงแล้ว”

“ครั้งที่แล้วที่ฉันมาเยี่ยมคุณ ฉันได้รู้เรื่องบางเรื่อง และตอนนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก” หันจื่ออี้พูดต่อว่า : “แต่ต่อมาฉันก็เล่าให้ภรรยาฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น เธอบอกว่า คุณคือแม่ของฉัน แม่จะกล่าวโทษลูกชายของตนเองได้อย่างไร? ถ้าคุณรับรู้ได้ ก็คงจะปรารถนาให้ฉันได้มีความสุขในทุกๆวัน ไม่ต้องมีภาระหนักใจใดๆ”

พูดจบ เขาก็เงียบไปสักพัก จึงพูดต่อว่า : “ตอนนี้ ฉันเห็นว่าถึงแม้เธอจะท้องแล้วลำบากขนาดนั้น เธอก็พยายามที่จะกินให้มากๆ เพื่อให้ลูกได้เติบโตขึ้น ให้สุขภาพแข็งแรงยิ่งขึ้น ฉันจึงเข้าใจได้ในทันที แม่ ในที่สุดฉันก็ปล่อยวางเรื่องในอดีตไปได้หมดแล้ว”

เขามองไปที่หลุมฝังศพอีกที่หนึ่ง ตรงนั้น เพราะว่าเขาไม่ได้ไปมาหลายปีแล้ว วัชพืชจึงเติบโตขึ้นเป็นจำนวนมาก

นั่นคือพ่อของเขา

หันจื่ออี้เดินเข้าไป ในที่สุดก็หยุดอยู่ตรงหน้าหลุมฝังศพ : “พ่อ หลายปีมาแล้ว ที่ฉันเกลียดคุณมากจริงๆ”

“แต่แม่บอกว่า จริงๆแล้วก่อนหน้านั้นที่ฉันอายุสี่ขวบ คุณปฏิบัติดีต่อฉันมาก” เขาถอนหายใจ : “การเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ความเจ็บปวดหลายปีมานี้มันก็ลืมไม่ได้เช่นกัน แต่ว่าตอนนี้ฉันได้กลายเป็นพ่อคนแล้ว จู่ๆก็เข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านไปแล้ว ฉันก็ปล่อยวางไปหมดแล้ว คุณหลับให้สบายเถอะนะ!”

พูดจบก็โค้งคำนับ หลังจากนั้นก็หันกลับออกไป

หลังจากเขาเดินออกไป ท้องฟ้าก็มีฝนตกลงมาปรอยๆ และทั่วทั้งเมืองก็ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ฮั่วชิงชิงก็นอนกลางวันไปแล้ว

หันจื่ออี้ก้มลงไปมองใบหน้าที่หลับใหลของเธอ และโค้งตัวลงไปจูบเบาๆบนผมของเธอ

ชิงชิง ขอบคุณนะ ที่รักและให้ชีวิตที่สองแก่ฉัน

ตอนนี้ สือจิ่งเหยียน 1 ขวบกว่า และหย่านมแล้ว ดังนั้น ตามข้อตกลงระหว่างหลานเสี่ยวถางสือมูเฉินและตระกูลเพอร์เซลล์ ก็ถึงเวลาที่จะต้องส่งหวันหว่านไปที่นั่นแล้ว

หลังจากบินมากว่า 10 ชั่วโมง ก็มาถึงประเทศสหรัฐอเมริกา

รถของตระกูลเพอร์เซลล์ มาจอดรออยู่ที่สนามบินแล้ว

มือหนึ่งของสือมูเฉินอุ้มสือจิ่งเหยียน อีกมือหนึ่งจูงหวันหว่าน หลานเสี่ยวถางเดินอยู่อีกข้างหนึ่งและจูงมือของหวันหว่าน จากระยะไกลๆ ก็เห็นโอหยางจวิ้นมารออยู่ที่สนามบินแล้ว

เมื่อเขาเห็นพวกเธอ ก็เดินเข้ามาหา แล้วโบกมือทักทายทุกคน : “ไม่ได้เจอกันนานเลย!”

พูดจบ เขาก็ลงนั่งยองๆ มองหวันหว่านที่โตขึ้นไม่น้อยแล้ว: “หวันหว่าน ยังจำอาจวิ้นได้ไหม?”

หนูน้อยพิจารณาเขาอยู่หลายวินาที จากนั้น จึงเดินเข้าไป ต่อจากนั้น ก็ยื่นแขนออกไป แล้วโอบกอดโอหยางจวิ้น

โอหยางจวิ้นชะงักงัน ดูเหมือนว่า เจ้าหนูน้อยจะยังจำเขาได้ ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความดีใจ เหมือนกับที่ผ่านมาหลายต่อหลายครั้ง ชี้ที่แก้มของตนเอง เพื่อขอให้หอมแก้ม

หวันหว่านคล้ายกับครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ จากนั้น ก็มองไปยังสือมูเฉิน

พ่อเคยบอกว่า ไม่ควรจูบผู้ชายคนอื่นไปเรื่อยเปื่อย เมื่อก่อนเธอยังเป็นเด็กน้อยไม่รู้ประสา ตอนนี้เธอโตแล้ว ทำเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว

ด้วยเหตุนี้ หวันหว่านจึงเข้าไปใกล้ ไม่ได้จูบโอหยางจวิ้น แต่นำแก้มน้อยๆไปติดกับแก้มของเขา สัมผัสเบาๆ จากนั้น ก็ยิ้มอย่างงดงามให้เขา

ถึงแม้ไม่ใช่การจูบ แต่สัมผัสที่อ่อนโยนบนแก้มกลับรู้สึกชัดเจนเป็นพิเศษ

โอหยางจวิ้นใจลอยอยู่ชั่วขณะ แล้วโอบกอดหวันหว่านต่อ: “หวันหว่านยิ่งโตก็ยิ่งสวยนะเนี่ย!”

ทุกคนไปที่ออเนอร์ก่อน หลังจากเตรียมอาหารกลางแล้วค่อยกลับมาที่เพอร์เซลล์

ตอนกลางวัน หลานเสี่ยวถางเห็นหลานจื่อเฉินกลับมาด้วยเหงื่อที่ออกราวกับฝน จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า: “เสี่ยวเฉิน นี่คุณทำอะไรเนี่ย? อากาศก็หนาวแล้ว คุณยังทำให้เหงื่อท่วมตัวขนาดนี้อีก! รีบทานข้าวเถอะ!”

“ไม่เป็นไรหรอก เมื่อกี้เพิ่งไปออกกำลังกายมาน่ะ” หลานจื่อเฉินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้านในแล้วออกมา จึงโชว์กล้ามกับหลานเสี่ยวถางแล้วกล่าวว่า: “พี่ คุณว่ากล้ามเนื้อฉันใช้ได้ไหม?”

หลานเสี่ยวถางยิ้มแล้วกล่าวว่า: “โอเคนะ! ทำไม ช่วงนี้มีสิ่งเร้ามากระตุ้นเหรอ?”

หลานจื่อเฉินทานข้าวไปพลาง กล่าวอย่างหงุดหงิดไปพลาง: “คุณว่า ยายบื้อนั่นดวงตามีปัญหาหรือเปล่า? ทำไมเธอถึงได้ชอบแฟนหนุ่มที่ถือปืนไม่เป็น และทั้งวันเล่นอยู่แค่เปียโน?”

“ฮ่าๆ——” หลานเสี่ยวถางหัวเราะ: “ที่แท้ก็หึง? เสี่ยวเฉิน เนิ่นนานขนาดนี้แล้ว คุณยังไม่เคลียร์กับเธอให้เรียบร้อยอีกเหรอ?”

“ไม่ใช่เพราะเธอยังเรียนอยู่หรอกเหรอ ปีนี้ถึงจะเรียนจบ ดังนั้น……” หลานจื่อเฉินพูดพลาง แววตาเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา: “เพียงแต่ คงจะไม่นานเกินไป ฉันกำหนดเวลาให้ตัวเอง ก็คือเธอเรียนจบ ระยะห่างถึงตอนนี้ ก็เหลืออีกสองสามเดือน”

“ดังนั้น น้องชายของฉันจึงเตรียมที่จะไปฉุดสาวมาแต่งงานใช่ไหม?” หลานเสี่ยวถางกล่าวหยอกล้อ

“ก็ประมาณนั้นแหละ ถึงอย่างไรฉันก็ไม่มีทางมองดูเธอกระโดดลงขุมนรกไปได้หรอก!” หลานจื่อเฉินเลิกคิ้ว

สือมูเฉินตบเบาๆที่ไหล่ของเขา: “ดีมาก ฉันเชียร์คุณ!”

“พี่เขย ขอบคุณครับ!” หลานจื่อเฉินคารวะ

บ่ายวันเดียวกัน หลานเสี่ยวถางและคนอื่นๆไปที่เพอร์เซลล์ ยังคงไปที่ห้องที่ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยพักอาศัยอยู่

ขณะนี้ผ่านมาสองปีแล้ว หวันหว่านโตขึ้นไม่น้อย ดังนั้น ห้องเจ้าหญิงแต่เดิมก็เปลี่ยนแปลงไป สถานที่ที่ให้เด็กปีนป่าย ก็บุกเบิกขยายออกไปให้กว้างมากขึ้น

หนูน้อยคล้ายกับลืมสวนสนุกที่ตัวเองเคยเล่นไปแล้ว หลานเสี่ยวถางจึงบอกเธอว่า เมื่อก่อนเธอเคยเล่นที่นี่ เธอจึงถอดรองเท้าแล้ววิ่งเข้าไป เล่นกับสือจิ่งเหยียนอย่างตื่นเต้นดีใจ

ด้วยเหตุนี้ ผู้ใหญ่จึงเริ่มนั่งลงแล้วพูดคุยกันถึงเรื่องของหวันหว่าน

ถึงอย่างไร ตอนนี้หนูน้อยก็อายุได้สามขวบแล้ว อายุถึงเกณฑ์ที่จะเข้าอนุบาลได้แล้ว

แต่เพราะปัญหาเรื่องเสียงของหวันหว่าน เด็กขนาดนี้ก็ไม่สามารถผ่าตัดได้ ดังนั้น จึงต้องรออีกสองสามปี

เช่นนั้น ก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาว่าจะเรียนที่ไหนในอนาคต

ในฐานะที่เป็นแม่ หลานเสี่ยวถางไม่คาดหวังให้หวันหว่านได้รับอันตรายแม้แต่น้อย ดังนั้น เธอจึงต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวอย่างมาก

ถ้าหากเรียนโรงเรียนของเด็กทั่วไป เธอก็กลัวว่าหวันหว่านจะถูกแบ่งแยก

แต่ถ้าเรียนโรงเรียนเด็กพิเศษ ดูเหมือนว่า หัวใจจะรู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมาอีกครั้ง

“อันที่จริง ฉันอยากเสนอแนะให้เข้าโรงเรียนที่เป็นของเพอร์เซลล์” โอหยางจวิ้นพูดพลาง นำใบรายงานฉบับหนึ่งวางลงตรงหน้าหลานเสี่ยวถางและสือมูเฉิน: “นี่คือช่วงหนึ่งปีมานี้ ฉันส่งคนไปทำการตรวจสอบ ที่แสดงด้านบน มีเด็กที่อาการคล้ายกันกับหวันหว่าน สามารถเรียนได้ดีมาก เหมือนกับในโรงเรียนทั่วไป อีกอย่าง ที่นี่เด็กแต่ละชั้นก็มีไม่มาก คุณครูสามารถเข้ามาดูแลได้”

สือมูเฉินอ่านเนื้อหาด้านบนแล้ว จึงเงยหน้าแล้วกล่าวว่า: “ฉันเห็นด้วยกับความคิดของคุณ เพียงแต่การแสดงข้างต้นมีอยู่สองประเภทหมายความว่ายังไงเหรอครับ?”

“โรงเรียนอนุบาลของตระกูลเพอร์เซลล์สร้างขึ้นเพื่อลูกหลานโดยเฉพาะ จึงแยกเป็นสองประเภท” โอหยางจวิ้นกล่าว: “ประเภทแรกคือดูแลเต็มเวลา อีกประเภทหนึ่งคือดูแลครึ่งเวลา ดูแลเต็มเวลามีเพียงลูกหลานโดยตรงที่จะสามารถเข้าเรียนได้ กินอยู่ที่กองทัพทหาร”

“อย่างนั้นถ้าเป็นแบบเต็มเวลา โดยทั่วไปไม่สามารถกลับบ้านได้ใช่ไหม?” หลานเสี่ยวถางกล่าวอย่างกังวลใจ

“ใช่แล้ว เพียงแต่ เด็กที่ดูแลเต็มเวลา จะพึ่งพาตัวเองได้ดีกว่าเด็กอื่นๆมาก” โอหยางจวิ้นกล่าว: “แน่นอนว่า พวกคุณเป็นพ่อแม่ของหวันหว่าน ฉันเป็นเพียงคนเสนอความคิดเห็น จึงคิดว่าต้องพัฒนาความมั่นใจในตนเองให้มากขึ้นตั้งแต่อายุยังน้อย”

“ขอฉันพิจารณาสักหน่อยนะครับ” สือมูเฉินหยิบใบรายงานแล้วกล่าวว่า: “อีกอย่าง ฉันอยากเห็นสถานที่จริงของโรงเรียนอนุบาลด้วย”

“โอเค ฉันจะจัดการให้” โอหยางจวิ้นพยักหน้า

เช้าวันต่อมา สือมูเฉินและหลานเสี่ยวถางได้พาหวันหว่านและสือจิ่งเหยียน มาที่โรงเรียนอนุบาลในเขตทหารที่โอหยางจวิ้นเอ่ยถึง

พอเข้าไป ทุกคนก็ถูกบรรยากาศด้านในดึงดูด

เหมือนกับว่าเป็นช่วงเวลาออกกำลังกายตอนเช้าพอดี เด็กด้านในเล็กสุดคือสองขวบ โตสุดคือหกขวบ กำลังออกกำลังกายกันอยู่ด้านนอก

อีกทั้งไม่ใช่การออกกำลังกายธรรมดา แต่เป็นการออกกำลังกายที่แฝงไปด้วยการต่อสู้เล็กน้อย

เห็นว่าเด็กน้อยสองขวบกว่าๆทำท่าทางตามอาจารย์ที่อยู่ด้านหน้า ยกขาน้อยๆขึ้น เดิมทีควรจะเป็นการกระโดด แต่เจ้าหนูน้อยยืนได้ไม่มั่นคง หลังจากยกขาน้อยๆขึ้นจุดสมดุลก็เปลี่ยนไป ด้วยเหตุนี้ จึงหกล้มก้นนั่งลงบนพื้น

หลานเสี่ยวถางจะเข้าไปประคองด้วยสัญชาตญาณ แต่เด็กน้อยกลับลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง ปัดฝุ่นบนก้นเล็กน้อย แล้วทำท่าทางตามต่อไป