“มูเฉิน มันลำบากเกินไปหรือเปล่า?” หลานเสี่ยวถางเอ่ยถามสือมูเฉิน ถึงอย่างไร หวันหว่านของพวกเขาก็เป็นเด็กผู้หญิง
“เสี่ยวถาง เราลองดูกันไปก่อน” สือมูเฉินพูดจบ ก็พาหลานเสี่ยวถางไปที่ห้องเรียนด้วยกัน
แถวด้านหลังของห้องเรียน คาดไม่ถึงว่าจะมีกระดานข่าวสาร อีกทั้งยังเป็นผลงานชิ้นเอกของพวกเด็กๆอีกด้วย
อันที่จริงส่วนมากจะเป็นลายมือไก่เขี่ย มีน้อยมากที่จะเขียนตัวอักษรจีนอย่างประณีตเรียบร้อย แต่ก็มองออกว่ามีความตั้งใจอย่างมาก
“มูเฉิน คุณดูสิไดโนเสาร์ตัวนี้วาดได้สวยงามมากจริงๆ!” หลานเสี่ยวถางยิ้ม : “แต่ทำไมถึงมีเจ็ดหางล่ะ?”
เวลานี้ คุณครูท่านหนึ่งก็เดินเข้ามา แล้วพูดอธิบายว่า : “จินตนาการของเด็กๆนั้นหลากหลายมาก เราแค่ไปชี้แนะให้พวกเขา แต่ไม่ได้บอกกับพวกเขาตรงๆ ว่าที่จริงแล้วควรจะเป็นอย่างนี้ จะต้องเป็นอย่างนี้”
สือมูเฉินพยักหน้าเห็นด้วย : “ถูกต้อง ก่อนอายุหกขวบ เป็นช่วงเวลาสำคัญที่มีการพัฒนาทางด้านความคิดที่หลากหลายของเด็ก”
พูดคุยกันสักพัก ทั้งสองคนก็ไปเยี่ยมชมห้องเรียนอื่นๆ จนถึงเวลาเที่ยง
เมื่อเริ่มมื้ออาหารกลางวัน เดิมทีหลานเสี่ยวถางยังคิดว่า น่าจะเป็นคุณครูที่ตักกับข้าวให้พวกเด็กๆ และให้เด็กๆถือไปนั่งทานที่ที่นั่งของตนเอง
แต่เมื่อเห็นคนที่ตักข้าวเป็นเด็กผู้หญิงอายุ 4 ขวบ ก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
แต่เด็กผู้หญิงคนนั้นตักคนละหนึ่งทัพพีเท่าๆกัน และเด็กทุกๆคนก็เข้าแถวรอทานข้าวอย่างมีความอดทน รอจนกว่าเพื่อนจะตักเสร็จ พวกเขาจึงวางจานลงแล้วรับประทานอาหารของตนเอง
“เด็กๆของเราหลังจาก 3 ขวบครึ่งเป็นต้นไป จะถูกฝึกให้ตักข้าว ทุกๆคนสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปคนละหนึ่งสัปดาห์” คุณครูกล่าวกับสือมูเฉิน : “ตอนแรกๆก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำหก แต่พอวันรุ่งขึ้น พวกเด็กๆก็จะมีการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด”
“จริงครับ ถ้าไม่ให้โอกาส ก็ไม่สามารถรู้ได้เลย ว่าเดิมทีพวกเขามีศักยภาพมากมายขนาดนี้” สือมูเฉินพูดจบ ก็มีการตัดสินใจในใจไว้แล้ว
ในคืนนั้น เมื่อเขากับหลานเสี่ยวถางกล่อมลูกทั้งสองคนเข้านอนแล้ว จากนั้นก็ไปเดินเล่นริมทะเลสาบด้วยกัน
ตอนนี้บรรยากาศทางด้านเพอร์เซลล์นี้ค่อนข้างหนาวมาก
สือมูเฉินจับมือของหลานเสี่ยวถาง นำมือของเธอมากุมไว้ แล้วพูดว่า : “เสี่ยวถาง ฉันคิดดีแล้ว ว่าจะให้หวันหว่านเข้าเรียนที่นี่!”
อันที่จริงหลานเสี่ยวถางก็กำลังคิดแบบนี้อยู่ในใจ แต่เมื่อต้องเผชิญกับการที่ต้องแยกจากกันจริงๆ เธอยังคงรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
“มูเฉิน ฉันกลัวหวันหว่านจะปรับตัวไม่ได้ กลัวว่าเธอ……” ที่จริงก็เป็นห่วงมากเหลือเกิน คนเป็นพ่อเป็นแม่จะวางใจง่ายๆขนาดนั้นได้อย่างไร?
“เสี่ยวถาง ฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณ เพราะว่าฉันก็รู้สึกเช่นเดียวกัน” สือมูเฉินกล่าว : “แต่เพราะว่าฉันเป็นห่วงเธอ จึงอยากให้เธอได้มาฝึกฝน”
เขามองไปที่พระจันทร์บนขอบฟ้าไกล : “ตลอดชีวิตของทุกๆคนก็ต้องผ่านกับอุปสรรคมากมาย ถึงแม้ว่าเราจะเป็นพ่อแม่ของหวันหว่าน และตอนนี้ก็มีความสามารถที่แข็งแกร่ง แต่ในท้ายที่สุดก็ไม่สามารถดูแลเธอไปได้ตลอดชีวิต ในอนาคตเธอจะต้องมีคนรัก และแต่งงานออกไป จะต้องพบกับอุปสรรคมากมายในชีวิตและการทำงาน เราสามารถให้เธอได้แค่เพียงการสนับสนุนช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังเท่านั้น”
จู่ๆหลานเสี่ยวถางก็นึกขึ้นได้ว่า จริงๆแล้วแม้แต่ลูกของราชินี ก็อาจจะถูกทรยศหักหลัง อาจจะบาดเจ็บจากความรัก อาจจะเผชิญกับความขัดแย้งในครอบครัวที่จนปัญญาจะแก้ไขได้ ฉะนั้นตลอดชีวิตของคนเรา ท้ายที่สุดแล้วยังคงต้องเดินต่อไปด้วยตนเองเท่านั้น
“มูเฉิน ฉันก็แค่ยังทำใจไม่ได้” หลานเสี่ยวถางถอนหายใจ
สือมูเฉินหันกลับไปโอบกอดหลานเสี่ยวถาง : “ฉันเข้าใจ เพราะว่าฉันก็ทำใจไม่ได้เช่นกัน แต่สถานการณ์ของหวันหว่านนั้นเป็นกรณีพิเศษ ก็หวังว่าเมื่อผ่านการใช้ชีวิตแบบนั้นมาแล้ว จะได้ปลูกฝังนิสัยที่แข็งแกร่งเด็ดเดี่ยวให้เธอ เช่นนี้เราถึงจะหมดห่วงได้”
เขาก้มลงไปปัดผมที่กระจายอยู่บนแก้มของหลานเสี่ยวถาง : “ถึงอย่างไรเราก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่า คู่ชีวิตในอนาคตของเธอ จะสามารถปฏิบัติต่อกันเป็นอย่างดีเหมือนกับคู่เรา”
หลานเสี่ยวถางเบิกตากว้างขึ้นทันที : “มูเฉิน ฉันเข้าใจแล้ว”
ใช่ เธอเข้าใจแล้ว
ในตอนนั้นที่เธอพบเจอกับผู้ชายแย่ๆ ยังเคยคิดที่จะให้สือเพ่ยหลินกับเฉินจื่อโร่วพังพินาศย่อยยับไปด้วยกันเลย
แต่ถ้าไม่ได้เจอกับสือมูเฉิน บางทีเธออาจจะยังไม่สามารถถอนตัวออกจากโคลนตมตรงนั้นได้
พวกเขาสามารถให้การสนับสนุนที่ดีที่สุดกับหวันหว่านได้ แต่ไม่สามารถรับประกันได้ว่าในอนาคตเธอจะได้เจอกับคนที่รักเธอจริงๆ
ไม่ใช่ว่าในหนังสือมีประโยคคำพูดแบบนี้หรอกเหรอ——
ขอแค่มีใครสักคนที่คอยอยู่เป็นเพื่อนคุณในยามลำบาก แต่ถ้าไม่มี ก็ขอให้คุณกลายเป็นดวงตะวันของตัวคุณเอง
ถึงแม้ว่าบางเวลาจะโหดร้ายบ้างจะต้องทุกข์ระทมใจบ้าง แต่นี่คือชีวิตจริง
ดังนั้น สือมูเฉินกับหลานเสี่ยวถางจึงพาสือจิ่งเหยียนมาอยู่เป็นเพื่อนหวันหว่านที่เพอร์เซลล์เป็นเวลาหนึ่งเดือน หลังจากที่พาสาวน้อยไปทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่ด้วยตนเองแล้ว ก็จำใจที่จะต้องจากกัน
ในคืนนั้น สาวน้อยมองออกไปด้านนอกที่จู่ๆก็มีหิมะเริ่มโปรยปรายลงมา ด้วยเหตุนี้จึงกลับไปที่ห้องของตนเอง แล้ววาดภาพภาพหนึ่ง
ถึงแม้ว่าภาพนั้นจะมีแค่ตัวเธอเองเท่านั้นที่มองออก
วันต่อมา โอหยางจวิ้นก็มาหาแต่เช้า
“หวันหว่าน อาจวิ้นจะพาคุณไปโรงเรียนอนุบาลนะ” โอหยางจวิ้นพูดจบ ก็ก้มลงไปจะอุ้มเธอขึ้นมา
แต่พ่อกับแม่บอกไว้ว่า เธอโตแล้ว ต้องเรียนรู้ที่จะยืนด้วยตัวเองได้แล้ว
เพราะเหตุนี้ หวันหว่านจึงส่ายหัว ยื่นมือออกไป แสดงให้เห็นว่าเธอเดินเองได้
โอหยางจวิ้นก้มหน้ามองเธอที่ทำท่าทางดื้อรั้นแต่ไม่สามารถพูดออกมาได้ ไม่รู้ทำไม หัวใจของเขาถึงได้รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาเล็กน้อย
มือใหญ่ๆของเขาปกคลุมทั้งฝ่ามือของเธอ จูงมือเธอขึ้นรถไปด้วยกัน
เนื่องจากหิมะตกไว้ ด้านนอกจึงปกคลุมไปด้วยสีขาวสะอาดตา
หวันหว่านชอบหิมะมาก เธอมองไปยังของที่เหมือนบัตเตอร์เค้กที่เธอชอบทาน ก็ดีอกดีใจอย่างมาก
เพียงแต่ ถ้าพ่อกับแม่อยู่ด้วย ก็จะยิ่งดี เธอคิดในใจ
ไม่นาน เธอก็มาถึงโรงเรียนอนุบาล
เพราะโอหยางจวิ้นได้แจ้งกับทางโรงเรียนไว้ก่อนแล้ว ดังนั้น พอบรรดาคุณครูเห็นหวันหว่าน ก็ยิ้มแย้มแล้วเข้ามาทักทายเธอ: “คุณหวันหว่านสวัสดีค่ะ!”
เธอยิ้มกับพวกเขาอย่างสง่างาม โบกไม้โบกมือ สะพายกระเป๋าใบน้อยของตัวเอง แล้วเดินเข้าไปในโรงเรียนอนุบาลพร้อมกับโอหยางจวิ้น
โอหยางจวิ้นเห็นเธอเข้าประจำที่นั่งแล้ว จากนั้นจึงนั่งลงยองๆ แล้วกล่าวกับเธอว่า: “หวันหว่าน ที่โรงเรียนอนุบาลนี้คือสุดสัปดาห์จึงจะสามารถรับกลับบ้านได้นะ ดังนั้น ช่วงหลายวันนี้ที่หวันหว่านอยู่โรงเรียนต้องเชื่อฟังคุณครู แล้วก็เล่นด้วยกันกับเพื่อน รอถึงสุดสัปดาห์ อาจวิ้นถึงจะมารับคุณนะ!”
เธอพยักหน้า จู่ๆก็นึกอะไรขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ จึงยื่นมือน้อยๆของตัวเองออกมา
นิ้วก้อยที่ยกขึ้น มองดูแล้วช่างละเอียดหมดจด เมื่อโอหยางจวิ้นถูกหวันหว่านเกี่ยวก้อย จึงรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่อ่อนโยนบนนิ้วก้อย เหมือนกับว่ากำลังจะละลาย
เขากล่าวกับเธออย่างอ่อนโยนว่า: “โอเค พวกเราเกี่ยวก้อยสัญญากันแล้ว! เจอกันบ่ายวันศุกร์นะ!”
หลังจากโอหยางจวิ้นออกไปแล้ว ในสายตาของหวันหว่าน ก็กลายเป็นคนแปลกหน้าในทันที
ถึงแม้ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ พ่อกับแม่มักจะพาเธอเข้ามาทำความคุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมอยู่บ่อยๆ แต่เวลานี้ หวันหว่านก็รู้สึกไม่คุ้นเคยและโดดเดี่ยวเล็กน้อย
เพียงแต่ พอเธอกำลังก้มหน้าลง เพื่อจะหาของที่ทำให้อุ่นใจที่เธอพกติดตัวมาด้วย จู่ๆเด็กผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆก็พูดกับเธอว่า: “hi ฉันชื่อเฉียวซือ สวัสดี คุณชื่ออะไรเหรอ?”
เพราะตั้งแต่เด็กคนรับใช้ก็ใช้ภาษาอังกฤษ ดังนั้น หวันหว่านจึงฟังภาษาอังกฤษเข้าใจทั้งหมด แต่เธอพูดไม่ได้ จึงทำได้เพียงหยิบการ์ดใบเล็กที่หลานเสี่ยวถางเตรียมไว้ให้เธอก่อนหน้านี้ออกมา
เฉียวซือเห็นแล้ว จึงรับไปอ่าน ด้านบนมีตัวอักษรสองสามตัว ‘wanwan’
เขาก็อ่านไม่ค่อยออก ดูเหมือนว่าจะคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงพอที่จะสะกดพยางค์ออก
หวันหว่านได้ยินเสียงโดยภาพรวมว่าถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ จึงยิ้มให้เขาเล็กน้อย แล้วพยักหน้า
ดูเหมือนว่าเด็กผู้ชายที่ค่อนข้างโตกว่าเธอจะถูกรอยยิ้มของเธอทำให้หวั่นไหวเล็กน้อย จึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปเกาศีรษะ ยิ้มให้เธออย่างเขินอายแล้วกล่าวว่า: “ทำไมคุณถึงไม่พูดล่ะ?”
หวันหว่านยังไม่ค่อยเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เพียงแต่ยังคงรู้สึกอยู่บ้างว่าตนเองไม่เหมือนกับคนอื่น เธอจึงชี้ไปที่ลำคอของตนเอง จากนั้นก็โบกไม้โบกมือ
เฉียวซือไม่ได้คิดมาก แต่ตบเบาๆที่หน้าอกแล้วพูดว่า: “ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจทุกอย่าง!”
ด้วยเหตุนี้ เด็กทั้งสอง จึงกลายเป็นเพื่อนกันอย่างรวดเร็ว
ในทันใดหวันหว่านก็รู้สึกว่า ในฤดูกาลที่หิมะตกนี้ ดูเหมือนว่า ชีวิตในโรงเรียนอนุบาลของเธอจะไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น
เวลาผ่านไปแต่ละวันๆ เธอก็ค่อยๆปรับตัวกับชีวิตในโรงเรียนอนุบาล
ที่พิเศษคือ ตอนเย็น คุณครูยังให้บรรดาเพื่อนๆเล่านิทานทีละคน
ถึงแม้ว่าเธอจะเล่าไม่ได้ แต่ก็ฟังได้
เมื่อเธอได้ยินสิ่งที่สนใจ ก็จะยิ้มจนตาหยี
เพียงแต่ ช่วงเวลานั้น จู่ๆเธอก็หวังว่าตนเองจะสามารถพูดได้ สามารถนำนิทานของตนเอง เล่าให้เพื่อนคนอื่นๆฟังได้
ในที่สุดเวลาก็ดำเนินมาถึงวันศุกร์ เป็นวันที่บรรดาเด็กๆถูกรับกลับบ้าน
บ่ายสี่โมงครึ่ง คุณครูก็ให้นักเรียนเข้าแถวตามชั้นเรียน แล้วเดินไปยังหน้าประตูโรงเรียนทีละแถวๆ
หวันหว่านเป็นเด็กเตรียมอนุบาล ดังนั้นจึงออกมาก่อน
พอเธอก้าวออกจากประตูโรงเรียนภายใต้การนำของคุณครู ก็เห็นโอหยางจวิ้นยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน
เขารูปร่างสูงใหญ่ อีกทั้งยังหนุ่มมาก ดูแล้วสะดุดตากว่าผู้ปกครองคนอื่นๆอย่างมาก
เวลานั้น ภายในใจของหวันหว่านก็รู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมาทันที ด้วยเหตุนี้ รอยยิ้มมุมปากจึงกว้างกว่าปกติมาก
เขาเห็นเธอแล้ว จึงรีบก้าวเท้าเข้ามา ยื่นแขนออกไป แล้วโน้มตัวไปอุ้มเธอขึ้นมา
ครั้งนี้ หวันหว่านไม่ยืนกรานที่จะยืนด้วยตัวเอง แต่กลับคล้องคอของโอหยางจวิ้นอย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงอุ้มเธอขึ้นมา ให้เธอนั่งที่ข้อพับแขนของเขา ทั้งตัวอิงอยู่ในอ้อมกอดของเขา ยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า: “หวันหว่าน เข้าเรียนโรงเรียนอนุบาลสนุกไหม?”
เธอพยักหน้า
แต่เธอกล่าวเสริมในใจว่า เพียงแต่คิดถึงพ่อกับแม่ แล้วก็คุณอาจวิ้นด้วย
เขาพาเธอไปกล่าวลาคุณครู แล้วขึ้นรถไปด้วยกัน: “หวันหว่าน อยากทานอาหารร้านนั้นที่เมื่อก่อนอาจวิ้นเคยพาคุณไปทานไหม?”
หวันหว่านคิดๆแล้ว ก็ดูเหมือนว่า เธอกำลังน้ำลายไหลจริงๆ
ด้วยเหตุนี้ โอหยางจวิ้นจึงพาเธอไปทานที่ร้านอาหารนั้น ตอนออกมา หวันหว่านลูบท้องกลมๆของตัวเอง จากนั้น ก็มองไปยังท้องน้อยที่ราบเรียบของโอหยางจวิ้น อย่างงุนงงเล็กน้อย
ทำไม คุณอาจวิ้นทานเยอะขนาดนั้นแล้ว ท้องถึงไม่ใหญ่นะ?
ด้วยเหตุ เธอจึงยื่นมือน้อยๆออกไป คลำท้องของโอหยางจวิ้นอย่างแปลกใจ อยากจะดูว่าเขาเอาอาหารไปเก็บเอาไว้ที่ไหน
เขาก้มหน้ามองไปยังมือน้อยๆที่อยู่บนท้องของตนเอง รู้สึกเพียงว่าหัวใจกำลังเบ่งบาน โอหยางจวิ้นพูดด้วยเสียงเบาๆว่า: “หวันหว่าน ผู้ใหญ่กับเด็กไม่เหมือนกันนะ รอให้คุณโตแล้ว พอทานข้าวเสร็จ ก็จะมองไม่ออกแล้ว”
เธอคิดทันทีว่า รอให้เธอโตขึ้น แล้วมาทานอาหารที่นี่กับเขาอีกครั้ง เธอจะทานให้เยอะๆ จากนั้น ก็มาเทียบกันดูว่าใครจะมองไม่ออก