บทที่ 334-2 เปิดโปง (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 334 เปิดโปง (2)

เซียวฮองเฮาเคารพและรักพี่ชายของตนมาก และแน่นอนว่าเซวียนผิงโหวเองก็ปฏิบัติต่อน้องสาวของเขาอย่างดี

เซียวฮองเฮาออกมารับพี่ชายที่หอชิงโยว

เซวียนผิงโหวพอได้เจอน้องสาวตัวเองก็เป็นอันต้องถวายบังคมตามกฎ “กระหม่อมถวายบังคบฮองเฮา”

เซียวฮองเฮาลังเลที่จะพูด เหลือบมองเหล่านางกำนัลและขันที แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “พวกเจ้าถอยออกไปก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยกับเซวียนผิงโหว”

“พ่ะย่ะค่ะ! เพคะ!”

พวกเขาเดินออกไป

เซียวฮองเฮากระเด้งตัวลุกขึ้นด้วยความยินดีปรีดา “ท่านพี่!”

เซวียนผิงโหวมองดูการแต่งตัวของผู้เป็นน้องด้วยสายตาประหลาด “ไฉนวันนี้เจ้าถึงได้แต่งตัวเหมือนนกแก้ว”

เซียวฮองเฮา “…”

นางสูดหายใจลึก

พลางนึกในใจ จะผ่านไปกี่ปี พี่ชายคนนี้ก็ยังปากดีไม่เคยเปลี่ยนสินะ!

จากนั้นสองพี่น้องจึงนั่งลงข้างๆ กัน

เซียวฮองเฮาเริ่มถามก่อน “ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

“ก็ดี แล้วฮองเฮาเล่า”

เซียวฮองเฮาหัวเราะหนึ่งทีก่อนเอ่ยตอบ “ข้าก็ต้องดีสิ”

ผู้เป็นพี่ใช้สายตาชำเลืองใบหน้าที่ถูกแต้มด้วยเครื่องสำอางหนาและเครื่องประดับที่ยุ่งเหยิงของน้องสาวตนเอง “เสียใจไหมที่ต้องมาอยู่ที่นี่”

“ไม่มีทาง” อย่างนางหรือจะเสียใจ ได้เป็นแม่ของแผ่นดินเชียวนะ ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าฝ่าบาทจะมีสาวงามถึงสามพันคนในวังหลัง แต่พระองค์ก็ไม่เคยทอดทิ้งนางในฐานะไทเฮา

เดิมทีเป็นความคิดของนางเองที่จะอภิเษกกับฮ่องเต้ จะว่าไปแล้วก็เรียกได้ว่าแย่งตำแหน่งของจวงกุ้ยเฟยมา

เดิมจวงกุ้ยเฟยเป็นพระสนมเอกของฝ่าบาท แต่พอหลังจากฝ่าบาทได้ขึ้นครองราชย์ ก็ได้ลดศักดิ์ของจวงกุ้ยเฟยลง แล้วอภิเษกกับนางจนนางได้มาเป็นฮองเฮาจนถึงทุกวันนี้

ด้วยเหตุผลนี้ นางและตระกูลเซียวมักจึงถูกตระกูลจวงเล่นงานอยู่ตลอด และพี่ชายของนางก็แบกรับภาระทั้งหมดไว้เพียงลำพัง

ด้วยเหตุนี้นางจึงขอบคุณและเคารพพี่ชายของนางจากหัวใจ

เซียวฮองเฮาคลี่ยิ้มพลางถาม “เหตุใดวันนี้ท่านพี่ถึงมาเยี่ยมข้าล่ะ”

เซวียนผิงโหว “ข้ามีเรื่องอยากขอให้เจ้าช่วย”

เซียวไทเฮาเอ่ย “เรื่องอันใดรึ”

เซวียนผิงโหวอธิบายต่อ “เพื่อนเก่าของข้าขอให้ข้านำของบางอย่างไปให้จิ้งไท่เฟย มันเป็นของที่มีค่ามาก ดังนั้น ข้าจึงต้องวานให้เจ้าช่วย”

เซียวฮองเฮายิ้มก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้าก็นึกว่าเรื่องใหญ่อะไรเสียอีก ไม่เห็นจะยากเลย ข้ากำลังจะไปตำหนักหวาชิงเพื่อคารวะจิ้งไท่เฟยอยู่พอดี เจ้าก็ไปด้วยกันกับข้าสิ”

“ได้สิ” เซวียนผิงโหวพยักหน้า

สองพี่น้องเซียวจึงมุ่งหน้าไปยังตำหนักฮว๋าชิง

นับตั้งแต่จิ้งไท่เฟยย้ายมาที่นี่ ตำหนักฮว๋าชิงก็มีชีวิตชีวามากขึ้น นางสนมทุกคนในวังที่มีสิทธิ์ทุกคนต่างพากันมาเคารพจิ้งไท่เฟย บางคนก็มาก็เพราะชื่นชมจิ้งไท่เฟยจริงๆ บ้างก็มาเพื่อหาโอกาสได้เจอกับฝ่าบาท

ฝ่าบาทเห็นจิ้งไท่เฟยเปรียบเสมือนมารดาแท้ๆ ดังนั้นเซียวฮองเฮาจึงมองจิ้งไท่เฟยแบบนั้นเช่นกัน

แต่ในครั้งนี้ สิ่งที่ไม่มีใครคาดถึงก็คือ จวงกุ้ยเฟยดันปรากฏตัวที่ตำหนักหวาชิงแห่งนี้ด้วย

พระสนมที่มีอำนาจที่สุดในวังสองระองค์ได้มาพบปะกันในตำหนักฮว๋าชิงแห่งนี้ ต่างฝ่ายต่างมีคนสนิทนางกำนัลและขันทีของตัวเอง ยิ่งทำให้บรรยากาศตึงเครียดยิ่งนัก

พอวันนี้มีเซวียนผิงโหวผู้ซึ่งอยู่ข้างน้องสาวมาร่วมด้วย ยิ่งทำให้เซียวฮองเฮาแลดูมีอำนาจและบารมีมากขึ้นไปอีก

“เซวียนผิงโหว” จวงกุ้ยเฟยยิ้มและเอ่ยทักทาย

“ถวายบังคมกุ้ยเฟย” เซวียนผิงโหวยกมือถวายบังคม

ท่าทีของเซวียนผิงโหวที่แข็งกระด้างเสมอต้นเสมอปลายแม้แต่กับฮ่องเต้ทำเอาจวงกุ้ยเฟยไม่อยากจะปฏิสัมพันธ์อะไรกับเขาต่อ ก่อนจะหันหน้าไปทางเซียวฮองเฮาแล้วเอ่ยทัก “วันนี้เซียวฮองเฮามาเยี่ยมเยียนจิ้งไท่เฟยหรือเพคะ”

“แล้วจวงกุ้ยเฟยล่ะ” เซียวฮองเฮาเอ่ยถามเสียงเรียบ

จวงกุ้ยเฟยยิ้มให้ก่อนจะเอ่ยตอบ “สองสามวันก่อน หนิงอ๋องได้ทำการปราบโจรภูเขากลุ่มหนึ่ง ผู้คนในหมู่บ้านรู้สึกซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณของหนิงอ๋องและได้ทำขนมขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับหนิงอ๋องเพื่อนำไปถวายแก่ฮ่องเต้ ตอนนี้หนิงอ๋องยังคงอยู่ที่ภูเขาเพื่อจัดการกับเรื่องราวต่างๆ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงวานให้ทหารส่งมันกลับมาและวานให้ข้านำมามอบให้”

หนิงอ๋อง หนิงอ๋อง

เห็นๆ กันอยู่ว่าบุตรของตนต่างหากที่ได้เป็นองค์รัชทายาทที่แท้จริง แต่หนิงอ๋องกลับได้รับมอบหมายงานสำคัญจากฝ่าบาทมาโดยตลอด!

ป่านนี้ชื่อเสียงของหนิงอ๋องคงได้รับความนิยมจากประชาชนมากกว่าองค์รัชทายาทแล้วด้วยซ้ำ!

เซียวฮองเฮาเริ่มกำหมัดแน่น

“พวกเราเข้าไปด้านในกันเถอะ” เซวียนผิงโหวเอ่ย

เซียวฮองเฮากลอกตามองบนใส่จวงกุ้ยเฟย ก่อนจะเดินเข้าไปในตำหนักพร้อมกับเซวียนผิงโหว

จวงกุ้ยเฟยโค้งคำนับอย่างขอไปที

จนกระทั่งเซียวฮองเฮาและเซวียนผิงโหวเข้าไปในตำหนักของจิ้งไท่เฟย สีหน้าของจวงกุ้ยเฟยก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นชา

นางกำนัลที่ยืนอยู่ด้านหลังจวงกุ้ยเฟยบ่นอุบอิบอย่างเหลืออด “อะไรกันนักหนา ถ้าไม่ใช่เพราะฝ่าบาททรงไม่ลงรอยกับจวงไทเฮา ป่านนี้ตำแหน่งฮองเฮาคงเป็นของท่านไปตั้งนานแล้ว!”

จวงกุ้ยเฟยพูดประชดประชัน “ได้เป็นฮองเฮาจะมีประโยชน์อะไร ให้กำเนิดลูกชายที่โง่เขลาออกมาถึงสองคน ใช้งานอะไรไม่ได้เลยซักอย่าง!”

จากนั้นจวงกุ้ยเฟยก็เดินเข้าไปในตำหนักฮว๋าชิง วันนี้นางมาที่นี่เพื่อส่งขนมให้ฮ่องเต้ เป็นของพื้นบ้านไม่ได้พิเศษแต่อย่างใด อีกทั้งอาจไม่ถูกสุขอนามัย ซึ่งพระองค์ก็ไม่ได้รับปากเสียทีเดียวว่าจะเสวยมัน

ให้ทรงได้รับรู้ถึงน้ำใจของประชาชนที่มีต่อหนิงอ๋องก็เพียงพอแล้ว

ไม่ว่าหนิงอ๋องจะได้ปฏิบัติงานราษฎร์งานหลวงมากเพียง เขาก็จะบอกประชาชนอย่างแน่วแน่ว่าเขาได้รับราชโองการจากบิดาของเขา และไม่ใช่เขาที่ปกป้องประชาชน แต่เป็นบิดาของเขา ฮ่องเต้แห่งแคว้นเจา

มีบุตรชายแสนดีขนาดนี้ มีหรือที่ฝ่าบาทจะไม่เอ็นดู

ฮ่องเต้มีความสุขมากที่ได้เห็นขนมนั่น และตามคาด ทรงไม่ได้เสวยมันจริงๆ แต่ทรงชื่นชมหนิงอ๋องยกใหญ่

“จวงกุ้ยเฟยอบรมเลี้ยงดูเขามาอย่างดี” ฮ่องเต้ทรงปลาบปลื้มยิ่งนัก เมื่อทรงนึกถึงบางสิ่ง พระองค์ก็ทรงถอนหายใจอีกครั้ง “หากองค์รัชทายาททรงมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดได้ครึ่งหนึ่งของพี่ชาย เราก็คงไม่กังวล”

จวงไทเฮาเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ถ้าไท่จื่อไม่ทรงรังเกียจ พี่ชายของเขายินดีอย่างยิ่งที่จะพาเขาออกไปฝึกฝน”

นางไม่ได้ยกยอองค์รัชทายาทเกินไปหรือดูแคลนลูกชายของตนเอง แต่สนับสนุนให้พี่น้องช่วยกันส่งเสริมกันและกัน ซึ่งทำให้ฮ่องเต้พอใจมาก

“ได้เวลาออกไปฝึกแล้ว เราจะหาโอกาสให้ทั้งสองได้อยู่ด้วยกัน” ฮ่องเต้หยุดขณะก่อนจะเอ่ยถาม “เราไม่เห็นเยียนเอ๋อร์กับซินเอ๋อร์มาพักหนึ่งแล้ว วันหลังเจ้าให้พวกนางมาเราเฝ้าพร้อมกันทีเดียว”

ฉินเยียนและฉินซินเป็นองค์หญิงน้อยสองคนของหนิงอ๋อง ซึ่งเกิดจากนางสนม คนหนึ่งอายุสามขวบและอีกคนอายุสองปี

“เพคะ” จวงกุ้ยเฟยยิ้มน้อมรับ

ฮ่องเต้วางสมุดบันทึกลง “ในเมื่อเจ้ามาที่นี่ เช่นนั้นก็ไปหาจิ้งไท่เฟยด้วยกันกับเราสิ”

แต่จวงกุ้ยเฟยกลับปฏิเสธ

ณ หอชิวหวา เซียวฮองเฮาและเซวียนผิงโหวได้กล่าวทักทายจิ้งไท่เฟยเป็นที่เรียบร้อย

เซียวฮองเฮานั่งข้างจิ้งไท่เฟย และเมื่อนางเห็นฮ่องเต้กำลังพาจวงกุ้ยเฟยเดินมาทางนี้ด้วยใบหน้าที่สดชื่น สีหน้าของเซียวฮองเฮาก็เริ่มไม่สู้ดีนัก

“ถวายบังคมจิ้งไท่เฟยเพคะ” จวงกุ้ยเฟยเอ่ย

“เจ้า มาที่นี่ด้วยเหตุใด” ฮ่องเต้หันไปทางเซวียนผิงโหว

เซวียนผิงโหวเอ่ย “มีคนวานให้กระหม่อมมอบของให้แก่จิ้งไท่เฟยขอรับ”

เขาเอ่ยพลางล้วงบุผ้าไหมใบน้อยออกมาจากแขนเสื้อ

แม่นมไช่เดินเข้ามารับกล่องนั้นไปก่อนจะมอบให้จิ้งไท่เฟยด้วยสองมือประคอง

จิ้งไท่เฟยยังคงป่วยหนัก สีหน้าของนางก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก นางหยิบผ้าปิดปากและไอสองครั้ง ก่อนจะหยิบกล่องขึ้นมา

“สหายเก่าคนไหนรึ” จิ้งไท่เฟยเอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

เซวียนผิงโหว “สหายผู้นั้นบอกว่าหากท่านเปิดกล่อง ท่านก็จะรู้เอง”

นางจึงพยักหน้ารับคำและลองเปิดกล่อง

เซวียนผิงโหวเป็นคนสนิทของฮ่องเต้ เขาไว้ใจได้

แต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็คือ ทันทีที่เปิดกล่อง จู่ๆ กลับมีลูกดอกพุ่งออกมา!

สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปในทันที

เซวียนผิงโหวเองก็ตกใจเช่นกัน เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าในกล่องจะมีอาวุธซ่อนอยู่

จิ้งไท่เฟยแก่มากแล้วนะ แย่ละ ไม่รอดแน่!

แต่ที่น่าตะลึงยิ่งกว่า คือจิ้งไท่เฟยกลับใช้มือคว้าลูกดอกที่กำลังพุ่งแสกหน้าเข้ามาได้อย่างทันท่วงที!!

ทุกคนจ้องมองที่จิ้งไท่เฟยด้วยความตกตะลึง

ในภายตำหนักใหญ่ก็พลันเงียบสงัดในทันใด