บทที่ 335 วางกับดักนาง (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 335 วางกับดักนาง (1)

ทุกคนรวมถึงฮ่องเต้ ต่างพากันตกตลึงกับภาพที่เห็น

จิ้งไท่เฟยที่เมื่อครู่ยังอ่อนระโหยโรยแรงจากอาการป่วย จู่ๆ เกิดว่องไวและคว้าลูกดอกที่กำลังพุ่งตรงมาข้างหน้าได้อย่างทันท่วงทีได้อย่างไรกัน

นี่ นี่ นี่…มันเกินไปหน่อยมั้ง!

ทุกคนตกใจจนพูดไม่ออก

ว่ากันตามหลักแล้ว เซวียนผิงโหวเป็นนำกล่องที่ยิงลูกดอกมามองให้จิ้งไท่เฟยเช่นนี้ ย่อมต้องถูกลงโทษข้อลอบปองพระชนม์จิ้งไท่เฟยทันที ทว่าภาพที่จิ้งไท่เฟยคว้าลูกนั้นทำสติรับรู้ของทุกคนสั่นคลอนไปชั่วขณะ จึงไม่มีใครทันได้คิดถึงเซวียนผิงโหว

แม้แต่เซวียนผิงโหวเองตอนนี้ก็เรียกได้ว่าสติหลุดไปแล้ว

“ท่านแม่…”

ฮ่องเต้ถึงกับเสียงสั่น

พอจิ้งไท่เฟยได้สติกลับมา ร่างกายก็เริ่มโงนเงน นิ้วมือคลายออก ลูกดอกตกลงพื้นที่เงาวับสะท้อนเห็นเงาคน เสียงกระแทกดังก้องไปทั่ว

หลังจากนั้นสติสัมปชัญญะของทุกคนก็พากันตามกลับมา ก่อนดวงตาจะเบิกโพลงพร้อมกัน

แม่นมไช่รีบปิดกล่องที่อยู่ในมือจิ้งไท่เฟยลง “เซวียนผิงโหว! กล้าดียังไงที่คิดจะลอบทำร้ายจิ้งไท่เฟย! โชคดีที่จิ้งไท่เฟยทรงเกิดในตระกูลทหาร ได้ร่ำเรียนวิชาจากเหล่าป๋อเหย่ก่อนเข้าวัง! ไม่อย่างนั้นคงต้องบาดเจ็บเพราะฝืมือท่านแน่”

เหล่าป๋อเหย่ที่ว่าคือบิดาของจิ้งไท่เฟย หลังจากที่จิ้งไท่เฟยได้รับการสถาปนาเป็นพระสนม ครอบครัวของนางก็ได้รับยศเช่นนั้น บิดาของนางจึงได้เลื่อนขั้นและแต่งตั้งให้เป็นหย่งเอินป๋อ และได้รับยศนายพลระดับที่สี่

ก่อนหน้านี้ หย่งเอินป๋อเป็นแค่นายพลระดับหกเท่านั้น

หากจะกล่าวว่าตระกูลของพวกนางเป็นทหารกันมารุ่นต่อรุ่นคงจะเกินจริงไปด้วยซ้ำ แต่พอพวกเขาได้ขึ้นมาอยู่ในที่สูงแล้ว คงยากที่จะลงมา และไม่ใช่เรื่องแปลกที่เรื่องราวของพวกเขาจะมีการแต่งเสริมเติมไปบ้าง

ดังนั้น คำพูดของแม่นมไช่ที่ว่าจิ้งไท่เฟยเกิดในตระกูลทหารก็ดูจะไม่เกินจริงในสายตาของทุกคน

จวงกุ้ยเฟยได้ยินดังนั้นก็ถึงกับเบะปาก เพราะนางเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง

ไทเฮาหรือท่านอาหญิงของนางนั้นได้รับการขนานนามว่าทรงปรีชาด้านอักษร ส่วนจิ้งไท่เฟยได้รับขนานนามว่าทรงปรีชาด้านการรบ คนหนึ่งบู๊คนหนึ่งบุ๋น จึงได้ฉายาว่าสองพี่น้องแห่งแคว้นเจา

เหอะ น่าขันสิ้นดี คนอย่างนางน่ะหรือจะเทียบชั้นกับท่านอาหญิงของนางได้

จวงกุ้ยเฟยหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาป้องหน้าของตนเองแล้วหัวเราะ “ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ความคล่องแคล่วว่องไวของพระองค์ทรงมิเคยเปลี่ยนเลยนะเพคะ”

“คือ…” แม่นมไช่พยายามจะอ้าปากแย้ง

ทันใดนั้นจิ้งไท่เฟยหัวเราะขึ้น “แต่ก่อนตอนอยู่ในวังก็ห่างหายจากการฝึกซ้อม พอย้ายไปอยู่สำนักชี ข้าก็ฝึกอยู่เสมอ ดีกว่าไม่มีอะไรทำ แค่กแค่ก …”

จิ้งไท่เฟยเอ่ยพลางเอามือป้องปาก “ร่างกายของข้าไม่ค่อยสู้ดีนัก เลยไม่ค่อยได้ฝึกเท่าใด”

ฮ่องเต้เอ่ยเสียงสั่น “ไม่เคย…ได้ยินท่านแม่พูดถึงเลย”

พวกเขาเคยมีเวลาที่ลำบากร่วมกันในวัง

นั่นคือช่วงที่หลังจากจวงไทเฮาถูกให้เข้าไปอยู่ในวังเย็น ทั้งสามแม่ลูกสูญเสียการปกป้องและถูกกลั่นแกล้งมากมาย

ครั้งหนึ่ง เขาจำได้ว่ามีสนมที่ระดับชั้นต่ำกว่าท่านแม่ที่ชื่อเจาอี๋เคยทำร้ายพวกเขาด้วยการปล่อยสุนัขดุร้ายออกมาทำร้ายท่านแม่และองค์หญิงหนิงอัน

ท่านแม่ใช้ร่างของตัวเองกำบังให้หนิงอัน ทำให้ทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บ

“ในเมื่อท่านมีวรยุทธ์ เหตุใดถึง…” ฮ่องเต้หยุดพูดกลางคัน เพราะนึกขึ้นได้ว่าคำถามของเขาอาจแสดงให้เห็นว่าเขากำลังไม่เชื่อใจจิ้งไท่เฟย

“ฝ่าบาททรงสงสัยเรื่องในครั้งนั้นใช่หรือไม่ เจาอี๋เป็นคนของหลิ่วกุ้ยเฟย ข้าเคยรอดจากเงื้อมมือนางได้ครั้งหนึ่ง แต่ข้าไม่สามารถหลุดรอดได้ตลอดไปหรอก ในเมื่อนางจงใจจะเล่นงานข้าไม่ปล่อย ข้าจึงต้องยอมให้นางเล่นงานข้านางถึงจะยอมพัก เพียงแต่ เพราะเรื่องนี้หนิงอันเลยต้องมารับเคราะห์ไปด้วย แต่ถ้าไม่ทำเช่นนั้น ป่านนี้เราสามคนแม่ลูกคงไม่ได้มีวันนี้หรอก” จิ้งไท่เฟยยิ้มอย่างขมขื่นพลางอธิบายให้ฮ่องเต้ได้ฟัง

แม่นมไช่พูดเสริมต่อ “เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนั้นทำให้ไท่เฟยทรงบาดเจ็บที่ขา ไท่เฟยไม่ต้องการให้องค์หญิงและฝ่าบาทเป็นกังวล ดังนั้นไท่เฟยจึงเก็บเป็นความลับ หลังจากนั้นเมื่อใดก็ตามที่มีเมฆครึ้มและฝนตก ขาของไท่เฟยจะรู้สึกเหมือนเข็มทิ่มอยู่ตลอดเวลา และรุนแรงมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้แต่ในวันที่แดดจ้า ไท่เฟยก็จะล้มป่วยเป็นบางครั้ง นั่นเป็นเหตุผลที่ไท่เฟยเดินๆ อยู่ก็ชอบเซล้มตลอดเวลา”

คนที่มีวิชาใช่ว่าจะไม่เจ็บตัวเลย ดูอย่างเซวียนผิงโหวเป็นตัวอย่าง เขาเองก็มีอาการบาดเจ็บที่เอวจากการต่อสู้เช่นกัน

ความสงสัยในแววตาของฮ่องเต้หายไป เขาขยับไปใกล้ๆ จิ้งไท่เฟยอย่างรู้สึกผิด “ข้าเข้าใจผิดไป”

ฮ่องเต้ยื่นมือเข้าไปกุมมือของจิ้งไท่เฟยเพื่อให้นางสงบจิตสงบใจลง

ฮ่องเต้ที่เมื่อครู่เพิ่งจะส่งสายตาชื่นชมจิ้งกุ้ยเฟย พอตอนนี้พลันกลายเปลี่ยนเป็นความเย็นชาทน

จวงกุ้ยเฟยรู้ดีว่าตนพูดเกินไป ก่อนจะถวายบังคมขอขมา “หม่อมฉัน… เมื่อครู่หม่อมฉันต้องการสื่อว่าโชคดีที่พระองค์ทรงไม่ยอมแพ้การฝึกฝน มิเช่นนั้นวันนี้อาจเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้นได้เพคะ”

เหอะ ฝึกวิทยายุทธ์อย่างนั้นรึ ทำไมถึงไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนเลยนะ

พอเห็นแม่นมไช่กำลังเตรียมชาให้จิ้งไท่เฟย ฮ่องเต้ก็อาสาเข้าไปช่วย

“ข้าทำเอง!” ฮ่องเต้รับถ้วยชาจากแม่นมจะยื่นให้จิ้งไท่เฟยด้วยตัวเอง ตอนนี้จิ้งไท่เฟยเริ่มใจเย็นลงบ้างแล้ว จากนั้นฮ่องเต้ก็หันความสนใจกลับไปที่เซวียนผิงโหว

“เซวียนผิงโหว นี่มันเกิดอะไรขึ้น!” ฮ่องเต้เอ่ยถามเสียงแข็ง

เซวียนผิงโหวตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น! ตาเฒ่าจี้จิ่วเอ๊ย หาเรื่องมาให้ชัดๆ !

“ทูลฝ่าบาท กล่องนี้กระหม่อมได้มาจากฮั่วจี้จิ่วอีกทีหนึ่งขอรับ กระหม่อมไม่เคยเปิดมันมาก่อน จึงไม่ทราบว่าในนั้นบรรจุอาวุธร้ายแรงอยู่ขอรับ”

แม้เซวียนผิงโหวจะทำตัวน่ารังเกียจแค่ไหน แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านแน่ๆ

แน่นอนว่า เขาเองก็คาดไม่ถึงว่าจี้จิ่วจะขุดหลุมฝังเขาขนาดนี้!

เพราะอะไรกันนะ!

“ไปตามฮั่วเสวียนมา!” ฮ่องเต้มีคำสั่ง

“พ่ะย่ะค่ะ!” เว่ยกงกงน้อมรับ

จากนั้นก็ส่งขันทีไปที่กั๋วจื่อเจียนเพื่อตามฮั่วจี้จิ่วให้มาที่ตำหนักหวาชิงโดยด่วน

เซียวฮองเฮาและจวงกุ้ยก็อยู่ที่นี่เช่นกันเพื่อรอดูสถานการณ์

จี้จิ่วอาวุโสเดินเข้าไปในตำหนักหวาชิงด้วยสีหน้าไร้ซึ่งกังวล แต่พอเดินเข้าแล้วได้ประสานตากับคนมากมาย เขาก็เริ่มรู้สึกประหม่าเล็กน้อย “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท ฮองเฮา ไท่เฟย และจวงกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ”

ส่วนกล่องเจ้าปัญหานั้นถูกนำมาวางไว้ที่โต๊ะข้างๆ พระที่นั่งของฝ่าบาทแล้ว

ฮ่องเต้โบกมือปัดแบบขอไปที “ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง ข้าไม่ได้เรียกเจ้ามาที่นี่เพื่อให้เจ้ามาแสดงความเคารพนะ!”

จี้จิ่วอาวุโสเลิกคิ้ว พลางนึกดูเหมือนฝ่าบาทจะกริ้วกว่าปกติ

จากนั้นฮ่องเต้ก็คว้ากล่องนั้นขึ้นมาแล้วโยนไปทางจี้จิ่วอาวุโส “นี่มันอะไร! เจ้ารู้หรือไม่!”

กล่องตกลงสู่พื้นและเปิดอ้าออก และลูกดอกที่ส่องประกายอยู่ข้างในก็กลิ้งออกมาชนกับเท้าของจี้จิ่วอาวุโสพอดี

เขาหยิบกล่องนั้นขึ้นมาพร้อมกับแสดงสีหน้าประหลาด

“ว่าอย่างไรเล่า เจ้ารู้หรือไม่” ฮ่องเต้เอ่ยถามพลางหันไปมองเซวียนผิงโหว

เซวียนผิงโหวจึงรีบตะโกนใส่จี้จิ่วอาวุโส “เจ้าแซ่ฮั่ว อย่าแกล้งโง่หน่อยเลย เมื่อคืนเจ้าให้กล่องนี้กับข้า บอกให้ข้าส่งต่อให้จิ้งไท่เฟยแทนเจ้ามิใช่หรือ”

เป็นข้อห้ามสำหรับข้าราชบริพารและพระสนมที่จะให้และรับของเป็นการส่วนตัว แต่จี้จิ่วนั้นเป็นคนที่ดูเผินๆ แทบไม่มีมลทินอะไรเลย ทุกคนจึงอยากรู้เจตนาของเขา

จี้จิ่วอาวุโสตอบกลับด้วยใบหน้าที่ไร้เดียงสา “ถูกต้อง ข้าให้กล่องนี้กับเจ้า แล้วของในกล่องล่ะไปไหนแล้ว”

ฮ่องเต้เอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ในกล่องนั้นก็คือลูกดอกยังไงล่ะ!”

จี้จิ่วอาวุโสทำหน้าไม่รู้เรื่องและหันไปทางฮ่องเต้ “เป็นไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมใส่เงินยี่สิบตำลึงไว้ในนั้นแท้ๆ !” จากนั้นเขาหันไปทางจิ้งไท่เฟย “จิ้งไท่เฟยจำได้หรือไม่ว่าหลายปีก่อน กระหม่อมไปที่สำนักชีเพื่อถวายเครื่องหอม ในเวลานั้น มีผู้แสวงบุญมากมาย และมีขโมยปะปน ทำให้เงินของกระหม่อมถูกขโมยไป วันนั้นไท่เฟยบังเอิญผ่านมาแถวนั้น แล้วให้กระหม่อมยืมเงินค่าน้ำมันทำบุญวัด กระหม่อมเคยให้คำมั่นสัญญาว่ากระหม่อมจะคืนเงินให้ไท่เฟยให้จงได้พ่ะย่ะค่ะ!”

เรื่องนี้ผ่านมานานมากแล้วจริงๆ จิ้งไท่เฟยพยายามระลึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความไม่มั่นใจ “ตอนนั้นข้าให้เจ้ายืมเงินเพื่อคิดเป็นค่าตุ้ยเหลียนมิใช่หรือ ดังนั้นเงินนี้ข้าไม่นับว่าเจ้าเป็นหนี้ข้านะ”

จี้จิ่วอาสุโวเอ่ยเสียงหนักแน่น “ไท่เฟยทรงซื้อตุ้ยเหลี่ยนที่กระหม่อมเขียนขึ้นเพื่อบรรเทาความจำเป็นเร่งด่วนของกระหม่อม อีกทั้งทรงเกรงพระทัยว่ากระหม่อมจะไม่สบายใจ แต่กระหม่อมยืนกรานแล้วว่าจะต้องคืนเงินให้ไท่เฟยให้ได้พ่ะย่ะค่ะ”

แน่นอนว่าจิ้งไท่เฟยจำรายละเอียดตรงนี้ไม่ได้แล้ว

ใครจะจำลูกหนี้ได้นานหลายปีขนาดนั้นเล่า