ตอนที่ 401 เตือน

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 401 เตือน

น้ำเสียงของต่งซื่อราบเรียบ ไม่ได้เห็นฟางซื่ออยู่ในสายตา เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนทานขาหมูหมดแล้ว นางจึงคีบเครื่องเคียงขึ้นชื่อของซั่วหยางใส่จานให้ไป๋ชิงเหยียนอีก “หากท่านแม่เรียกนางมาถามเรื่องของผู้คนในหมู่บ้านนี้ นางจะเหิมเกริม วางมาดภรรยาของประมุขเป็นตัวแทนจัดงานเลี้ยงครั้งนี้เองทันทีเจ้าค่ะ”

ต่งซื่อเม้มปากแน่น กล่าวกับไป๋ชิงเหยียนยิ้มๆ “แม่ว่า ฟางซื่ออาจได้คืบจะเอาศอก ลอบเขียนบัตรเชิญส่งไปให้ทุกคนเองโดยที่พวกเราไม่รู้เสียด้วยซ้ำ”

เรื่องภายในเรือนหลัง ต่งซื่อถือเป็นยอดฝีมือ ไม่ว่ามีเล่ห์เหลี่ยมอันใด เมื่ออยู่ต่อหน้าต่งซื่อล้วนไม่มีผลทั้งสิ้น

“แม้ฟางซื่อจะไม่ดีนัก ทว่า บุตรชายของนางไม่เลวเลยเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้าทานโจ๊กในชาม

“ดังนั้นเจ้าไม่ได้มอบตำแหน่งประมุขไป๋ให้บิดาของไป๋ชิงผิง แต่มอบให้เขาอย่างนั้นหรือ” ต่งซื่อมองดูบุตรสาวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“ในเมื่อพวกเราย้ายกลับมาอยู่ซั่วหยางแล้ว ผู้ที่ดำรงตำแหน่งประมุขไป๋จะมีความสามารถหรือไม่ ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือต้องเชื่อฟังเจ้าค่ะ”

ไป๋ชิงเหยียนไม่อยากจัดการขั้นเด็ดขาด อย่างน้อยก็ให้อดีตประมุขไป๋ได้เห็นว่าเมื่อเขาถูกออกจากตำแหน่ง ผู้ที่สืบทอดตำแหน่งต่อคือบุตรชายของเขาเอง เช่นนี้เขาจะได้ไม่คิดสู้จนตัวตายไปพร้อมกับนาง

“ท่านแม่ไม่ต้องใส่ใจฟางซื่อหรอกเจ้าค่ะ ไม่ต้องส่งคนตอบกลับนาง นางย่อมเข้าใจเจตนาของตระกูลไป๋เราแน่ บัดนี้ตำแหน่งประมุขของสามีนางยังไม่มั่นคง นางไม่มีทางก่อเรื่องขึ้นตอนนี้หรอกเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว

เมื่อไป๋ฉีเหอที่นั่งอ่านตำราโบราณอยู่ในห้องตำราฟังบุตรชายเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนไป๋ให้ฟังจนจบ ก็เริ่มครุ่นคิดอย่างจริงจังว่าจะช่วยไป๋ชิงเหยียนจัดการเรื่องนี้เช่นไรดี

“ทายาทที่อายุครบสิบสี่ปีของตระกูลบรรพบุรุษก็สามารถเข้าร่วมได้ ถือว่าเป็นแบบอย่างให้ชาวบ้านได้เห็น ให้ชาวบ้านในซั่วหยางรับรู้ว่าตระกูลบรรพบุรุษไป๋สำนึกผิด พร้อมแก้ตัวและทำตามคำสั่งสอนของบรรพบุรุษจริงๆ” ไป๋ฉีเหอกล่าว

ก่อนหน้านี้คำกล่าวของบิดาของไป๋ฉีเหอคือคำประกาศิต บัดนี้ไป๋ฉีเหอได้ดำรงตำแหน่งประมุขเป็นการชั่วคราว เขาก็อยากทำสิ่งใดเพื่อชดเชยให้ชาวบ้านที่ซั่วหยางบ้าง เขาไม่ได้โลภอยากครอบครองตำแหน่งนี้แต่อย่างใด

ไป๋ฉีเหอหวังว่าเมื่อเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่กลับมาจัดการกับบรรพบุรุษตระกูลไป๋ ทุกคนในตระกูลจะสำนึกผิดและพร้อมเปลี่ยนแปลงตัวเองจริงๆ

“ท่านพ่อกล่าวถูกต้องแล้วขอรับ” ไป๋ชิงผิงพยักหน้า

สายตาของไป๋ฉีเหอหยุดอยู่ที่บุตรชายผู้สุขุมของตน ต่างกล่าวกันว่าบุตรชายคนโตรับผิดชอบหน้าที่ดูแลตระกูล บุตรคนรองเล่นสนุกไปวันๆ ทว่า ไป๋ฉีอวิ๋นผู้เป็นพี่ชายของเขาถูกท่านพ่อท่านแม่ตามใจจนเสียนิสัย บุตรชายคนโตของเขาก็ถูกท่านพ่อท่านท่านแม่และภรรยาตามใจจนเสียคนเช่นเดียวกัน กลับกลายเป็นบุตรชายคนรองที่ทำตัวสมกับเป็นทายาทของตระกูลไป๋

ใบหน้าของไป๋ฉีเหอปรากฎรอยยิ้มขึ้นน้อยๆ “แม้เจ้าจะเป็นบุตรคนรอง ทว่า สุขุมกว่าพี่ชายของเจ้ามาก พ่อวางใจในตัวเจ้ายิ่งนัก จวิ้นจู่ให้ความสำคัญกับเจ้า เจ้าจงตั้งใจทำเรื่องนี้แทนจวิ้นจู่ให้ดี บัดนี้ตระกูลบรรพบุรุษไป๋ของเราต้องอาศัยบารมีของจวิ้นจู่ ทว่า พ่อไม่ได้บอกให้เจ้าไปประจบประแจงจวิ้นจู่ เจ้าจงจำไว้เพียงว่าบัดนี้จวิ้นจู่คือเสาหลักของตระกูลไป๋ ต้องช่วยเหลือนางอย่างเต็มที่ อย่าเลียนแบบท่านปู่ของเจ้าที่เห็นแก่ผลประโยชน์เล็กๆ ตรงหน้า ไม่คำนึงถึงหนทางข้างหน้าเด็ดขาด!”

ตระกูลสูงศักดิ์ที่เจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริงให้ความสำคัญกับการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไป๋ฉีเหอรู้เรื่องนี้ดี กระทั่งยอมยกตัวอย่างความผิดของบิดาตัวเองมาใช้สั่งสอนและตักเตือนบุตรชาย

ไป๋ฉีเหอไม่มีบิดาซึ่งเป็นประมุขคอยควบคุม อีกทั้งได้ดำรงตำแหน่งประมุขเอง จากที่เคยนอนไม่หลับติดต่อกันหลายวัน บัดนี้เขาค่อยๆ กลับมาแข็งแรงสดใสอีกครั้งแล้ว

“ท่านพ่อวางใจได้ขอรับ ข้าเข้าใจดีขอรับ” ไป๋ชิงผิงกล่าวเสียงหนักแน่น

หลังจากที่ฟางซื่อส่งคนไปถามที่จวนไป๋ในวันนั้น ผ่านไปสองวันแล้วก็ยังไม่ได้รับคำตอบ บัดนี้นางรู้สึกกระวนกระวายใจมาก

จวบจนเช้าวันต่อมา จวนไป๋ส่งบัตรเชิญมาให้ไป๋ฉีเหอ ฟางซื่อทนต่อไปไม่ไหว นางสอบถามหญิงชราที่มาส่งบัตรเชิญว่านำคำของนางไปแจ้งให้ต่งซื่อทราบแล้วหรือไม่

หญิงชราตอบอย่างหนักแน่นว่าเรียนให้ทราบแล้ว ทว่า นางไม่รู้ว่าต่งซื่อจะรับรู้เรื่องนี้หรือไม่

ฟางซื่อเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นให้คนเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้นางเพื่อเดินทางไปยังจวนไป๋

ผู้ใดจะคิดว่าเมื่อไปถึงหน้าจวนไป๋ ฟางซื่อได้รับรายงานจากบ่าวของจวนไป๋ว่า “วันนี้ฮูหยินของพวกข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย อีกทั้งวุ่นวายอยู่กับการเตรียมงานเลี้ยง ไม่มีเวลาพบแขก หวังว่าท่านจะไม่ถือสาเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นจวิ้นจู่เล่า จวิ้นจู่ว่างหรือไม่” สาวใช้ข้างกายของฟางซื่อเอ่ยถาม

ฟางซื่อรีบกระตุกแขนเสื้อของสาวใช้ พบหน้าต่งซื่อไม่ได้ นับประสาอันใดกับจวิ้นจู่ จะทำให้ตัวเองขายหน้าไปถึงเมื่อใดกัน

บ่าวรับใช้ที่มารายงานไม่ได้มีสีหน้าดูถูกแต่อย่างใด ยังคงมีท่าทีนอบน้อมเช่นเดิม

“สองวันก่อนข้าให้คนมาแจ้งฮูหยินว่าหากต้องการให้ข้าช่วยเหลือเรื่องการจัดเตรียมงานเลี้ยงให้บอกข้าได้ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ควรช่วยเหลือกัน ทว่า ข้าไม่ได้รับการตอบกลับจากฮูหยิน ไม่ทราบว่าฮูหยินทราบเรื่องนี้หรือไม่” ฟางซื่อกล่าวยิ้มๆ

บ่าวรับใช้เอ่ยตอบยิ้มๆ “จวนไป๋มีกฎระเบียบของจวนไป๋ บ่าวไม่ควรสอดรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้ มิเช่นนั้นจะถูกลงโทษด้วยการโบยเจ้าค่ะ ท่านอย่าทำให้บ่าวลำบากใจเลยนะเจ้าคะ”

ฟางซื่อฝืนฉีกยิ้มออกมา หันไปทางสาวใช้ของตัวเอง

สาวใช้รีบยื่นถุงเงินส่งให้ บ่าวรับใช้ของจวนไป๋หน้าถอดสีพลางปฏิเสธทันที “ฮูหยิน กฎของจวนไป๋เคร่งครัดนัก หากรับถุงเงินของท่าน ข้าจะถูกผู้ดูแลขายออกจากจวนเจ้าค่ะ”

ฟางซื่อกำผ้าเช็ดหน้าแน่น จวนไป๋เหนียวแน่นถึงเพียงนี้เชียวหรือ

ฟางซื่อกลับไปยังเรือนของตัวเองอย่างเสียเที่ยว เขวี้ยงชุดชาลงพื้นด้วยความโมโห

หลายปีมานี้เพราะพ่อสามีของนางคือประมุขของตระกูลไป๋ ฟางซื่อไม่เคยถูกหยามหน้าเช่นนี้มาก่อน บัดนี้สามีของนางคือประมุข ต่งซื่อยังไม่ไว้หน้านางถึงเพียงนี้เชียวหรือ!

แม้นางจะรู้ว่าตอนนี้ตระกูลบรรพบุรุษต้องอาศัยบารมีของตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวง ทว่า นางเห็นการกระทำของแม่สามีและพี่สะใภ้ใหญ่จนเคยชิน นางคิดว่าตอนนี้โชคกลายเป็นของนางแล้ว นางควรจะได้ทำสิ่งใดตามใจหวังบ้าง ทว่า ไม่คิดเลยว่าจะกลายเป็นเช่นนี้

สามีของตนจะกลายเป็นประมุขของตระกูลแล้ว นางยังต้องประจบเอาใจผู้อื่นอีกหรืออย่างไรกัน

“ฮูหยินอย่าอาละวาดเลยนะเจ้าคะ หากท่านประมุขทราบเรื่องนี้เข้าต้องโมโหแน่นอนเจ้าค่ะ” ผูหลิ่วสาวใช้ข้างกายของฟางซื่อเดินเข้ามาเก็บกวาดเศษกระเบื้องที่แตกบนพื้นพลางกล่าวขึ้น “เมื่อวานท่านประมุขกำชับฮูหยินแล้วว่าให้ปฏิบัติตัวกับคนของตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงอย่างสำรวม หากท่านประมุขทราบว่าฮูหยินกลับมาจากจวนไป๋แล้วอาละวาดเช่นนี้ ท่านต้องโกรธแน่เจ้าค่ะ”

ฟางซื่อขยำผ้าเช็ดหน้าในมืออย่างแค้นเคือง “ข้ายอมแบกหน้าไปยังจวนไป๋ก็เพื่อให้ผู้อื่นเห็นว่าตระกูลไป๋ปฏิบัติต่อเราแตกต่างจากผู้อื่น เช่นนี้จะได้ไม่มีผู้ใดกล้าแย่งชิงตำแหน่งประมุขกับเขา!”

นึกถึงไป๋ฉีอวิ๋นซึ่งถูกขับไล่ออกจากตระกูลไป๋แล้ววางมาดพี่ใหญ่ใส่นาง กล่าวว่าแม้ไป๋ฉีเหอจะรักษาการในตำแหน่งประมุขแทนที่ประมุขคนก่อน ทว่า ไม่มีทางลืมตาอ้าปากได้ ทำได้เพียงยืมจมูกของตระกูลไป๋หายใจเท่านั้น ฟางซื่อก็เดือดดาลขึ้นมาทันที!

ยิ่งผู้อื่นมองพวกนางเช่นนี้ นางก็ยิ่งอยากทำให้ทุกคนเห็นว่าตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงต้องอาศัยนางจึงจะจัดงานเลี้ยงในครั้งนี้ได้อย่างราบรื่น