ตอนที่ 402 มีน้ำใจ

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 402 มีน้ำใจ

ทว่า ต่งซื่อกลับไม่ยอมพบหน้านาง นางเป็นถึงภรรยาของประมุขไป๋เชียวนะ!

“บ่าวทราบดีว่าฮูหยินทำไปเพื่อท่านประมุข ทราบดีว่าฮูหยินอยากช่วยตระกูลไป๋จัดงานเลี้ยงในครั้งนี้เพื่อให้คนที่รอเยาะเย้ยท่านประมุขไป๋ได้เห็นว่าว่าตระกูลไป๋ให้ความสำคัญกับท่านประมุขและฮูหยินเจ้าค่ะ!”

ผูหลิ่วกำเศษกระเบื้องไว้ในมือพลางมองไปทางฟางซื่อที่ยังคงโมโหอยู่

“ทว่า ฮูหยินต้องเข้าใจว่าตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงเป็นตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองหลวง พวกเขามีกฎตระกูลของตัวเอง ไม่ใช่ว่าเราอยากเข้าพบแล้วจะได้เข้าพบง่ายๆ นะเจ้าคะ”

วันนี้ผูหลิ่วมีธุระสำคัญจึงไม่ได้ไปจวนไป๋กับฟางซื่อ เมื่อครู่ได้ยินบ่าวรับใช้รายงานก็รู้ได้ทันทีว่าฟางซื่อโมโหสิ่งใด

“บ่าวอาจกล่าวคำไม่น่าฟังนัก ทว่า มีเพียงบ่าวที่กล้าเรียนกับฮูหยินตามตรงเช่นนี้เจ้าค่ะ!”

ผูหลิ่วลุกขึ้นยืนทำความเคารพฟางซื่อจากนั้นเอ่ยขึ้น “ที่ท่านประมุขได้ดำรงตำแหน่งประมุขก็เพราะการตัดสินใจของจวิ้นจู่ ฮูหยินไม่ควรคิดทำตัวเสมอภาคกับตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงเหมือนที่อดีตประมุขคนก่อนเคยทำ แต่ควรให้การสนับสนุนตระกูลไป๋ถึงจะถูกเจ้าค่ะ”

คำกล่าวของผูหลิ่วจี้แทงใจดำฟางซื่อ

นางอยากทำตัวเหมือนเมื่อก่อน เจิ้นกั๋วอ๋องไป๋เวยถิงผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยบารมียังยอมทำตัวเสมอภาคกับพ่อสามีของนางได้เลย เหตุใดเมื่อสามีของนางดำรงตำแหน่งประมุข นางจึงไม่อาจทำตัวเสมอภาคกับตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงได้ นางถือเป็นญาติผู้ใหญ่ของไป๋ชิงเหยียนด้วยซ้ำ

“หากกล่าวตามตรง หากตระกูลไป๋ไว้หน้า…ท่านประมุขสามารถทำตัวเสมอภาคกับตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงได้ ทว่า หากตระกูลไป๋ไม่ยอมรับ พวกเราก็ไม่มีค่าอันใดทั้งสิ้นเจ้าค่ะ ท่านดูสิเจ้าค่ะ เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่หลานสาวของเจิ้นกั๋วอ๋องกลับมาครานี้ถึงกับถอดประมุขออกจากตำแหน่งเลยด้วยซ้ำนะเจ้าคะ”

ผูหลิ่วเดินไปหยุดอยู่หน้าฟางซื่อพลางกล่าวเสียงต่ำ

“เจ้าเมืองและนายอำเภอโจวล้วนทำตามความต้องการของเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่! เมื่ออยู่ต่อหน้าอำนาจ ประมุขของตระกูลไป๋ไม่ได้มีค่าอันใดเลยเจ้าค่ะ”

แม้ฟางซื่อจะโมโหกับถ้อยคำของผูหลิ่ว ทว่า ผูหลิ่วเป็นสาวใช้คนสนิทที่สุดของนาง ติดตามนางแต่งเข้าตระกูลไป๋ นางรู้ดีว่าผูหลิ่วทำไปเพราะหวังดีต่อนาง

ฟางซื่อรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ดวงตาแดงก่ำขึ้นทันที

“ผู้อื่นดำรงตำแหน่งประมุขไป๋อย่างเชิดหน้าชูตา เหตุใดพอถึงตาของพวกเราถึงต้องอยู่อย่างคนต่ำต้อยด้วย”

ผูหลิ่วถอนหายใจที่ฟางซื่อไม่เข้าใจความหวังดีของนาง ทว่า นี่คือคุณหนูผู้มีพระคุณและเติบโตมาพร้อมกับนาง นางได้แต่โน้มกายเกลี้ยกล่อมต่อ

“ไม่ใช่อยู่อย่างคนต่ำต้อยเจ้าค่ะ ขอแค่ฮูหยินผูกมิตรกับต่งซื่อ ทำตามคำสั่งของต่งซื่อ ไม่ทำสิ่งใดเกินหน้าเกินตานาง เคารพนาง ไม่จำเป็นต้องทำตัวให้โดดเด่นเป็นที่สะดุดตาของทุกคนที่สุด ปล่อยตำแหน่งนั้นให้เป็นของต่งซื่อไปเจ้าค่ะ ฮูหยินไม่ต้องถึงขนาดอยู่อย่างคนต่ำต้อย เพียงแค่อดทนเพื่ออนาคตของท่านประมุขก็พอเจ้าค่ะ”

น้ำตาของฟางซื่อไหลพรากออกมาทันที นางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา

“ผูหลิ่ว ความจริงข้าเข้าใจที่เจ้ากล่าวมาทุกอย่าง แต่ข้าแค่ไม่อยากยอมรับเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่สะใภ้ที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลไปแล้วแท้ๆ กลับยังวาดมาดกระแนะกระแหนข้าอยู่ทุกวัน กล่าวเยาะเย้ยว่าฉีเหอเป็นเพียงแค่ตัวแทนประมุขเท่านั้น ข้าก็แค่อยากให้คนพวกนั้นได้เห็น…”

“ข้าทราบดีเจ้าค่ะฮูหยิน ข้าทราบดี!” ผูหลิ่วปลอบใจฟางซื่อ

“ฮูหยินไม่ต้องรีบร้อนไปเจ้าค่ะ เมื่อพบต่งซื่อในงานเลี้ยงวันพรุ่งนี้ก็นอบน้อมนางหน่อยเถิดนะเจ้าคะ”

ฟางซื่อพยักหน้าพลางเช็ดน้ำตา “ข้ารู้แล้ว”

วันที่หก เดือนห้า จวนไป๋จัดงานเลี้ยงกลางคืน

ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ดวงตะวันค่อยๆ ลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก เจ้าเมืองและนายอำเภอโจวพาครอบครัวของตัวเองมายังจวนไป๋

โคมไฟหน้าจวนไป๋สว่างไสว ภายในจวนยิ่งสว่างมากกว่า

เมื่อเดินเข้าไปในประตูสีแดงเคลือบน้ำมันของจวนไป๋ ผ่านผนังที่เต็มไปด้วยภาพจิตรกรรม ทุกๆ สิบก้าวจะเห็นโคมไฟนกกระเรียนซึ่งทำจากทองสำริดประดับเรียงรายอยู่ตลอดทางเดิน ช่างดูลึกลับและหรูหรายิ่งนัก

เมื่อครอบครัวของนายอำเภอโจวเดินเข้าไปด้านในเห็นเสาแกะสลักต้นใหญ่ต่างพากันตกตะลึงทันที พวกเขารู้ว่าตระกูลไป๋มั่งคั่งร่ำรวย แต่ไม่คิดว่าจะมั่งคั่งถึงเพียงนี้ แค่เขากวาดตาสำรวจคร่าวๆ ก็รู้ได้ทันทีว่าของใช้ในจวนไป๋แห่งนี้น่าจะมีอายุตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์

นี่คือความหรูหราของตระกูลสูงศักดิ์ที่เจริญรุ่งเรืองนับร้อยปีที่แท้จริง

นอกจากครอบครัวของประมุขไป๋และครอบครัวของผู้เฒ่าห้าที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลไปแล้ว คนในตระกูลคนอื่นๆ ไม่เคยมีผู้ใดเคยมาเยือนที่จวนบรรพบุรุษไป๋

เนื่องจากผู้คนมาถึงเร็ว เมื่อท้องฟ้าเพิ่งครึ้มลง ตระกูลไป๋จึงเริ่มเปิดงานเลี้ยงทันที

ต่งซื่อและบรรดาท่านอาสะใภ้ของไป๋ชิงเหยียนไม่ได้ออกมาร่วมงาน ไป๋ชิงเหยียนนั่งอยู่บนที่นั่งของประมุขเพียงคนเดียว บรรดาคนที่ตั้งใจมาประจบต่งซื่อต่างรู้สึกผิดหวังไปตามๆ กัน

“ตระกูลไป๋อยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ไม่อาจจัดงานรื่นเริงได้ วันนี้จึงไม่มีดนตรีบรรเลง มีเพียงอาหารมื้อง่ายๆ เท่านั้น…” ไป๋ชิงเหยียนยกถ้วยชาขึ้น “ต้อนรับไม่พร้อมสรรพ ข้าขอคาราวะด้วยชาแทนเหล้า หวังว่าท่านเจ้าเมืองและนายอำเภอโจวจะไม่ถือสา”

ถ้อยคำของไป๋ชิงเหยียนหมายความว่านางไม่ได้เห็นคนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋เป็นคนนอก บรรดาคนในตระกูลบรรพบุรุษต่างโล่งใจไปตามๆ กัน

สิ้นเสียงของไป๋ชิงเหยียน บ่าวรับใช้ทยอยถือกาน้ำชาและอาหารไปวางตรงหน้าแขกทุกคนในงานอย่างรู้หน้าที่และกระฉับกระเฉง

นายอำเภอโจวมองดูขนมหลากหลายชนิดที่ทำอย่างพิถีพิถันตรงหน้า มันประณีตเสียจนน่าตะลึง แม้แต่ภาชนะที่ใส่ขนมก็คงเป็นของตกทอดมาตั้งแต่ราชวงศ์ก่อนๆ

ที่น่าทึ่งไปกว่านั้นก็คือไป๋ชิงเหยียนมีเครื่องจานชามเหล่านี้ครบชุดมากมายเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าตระกูลไป๋ร่ำรวยสักเพียงใด

ตระกูลไป๋กำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ไม่ว่าผู้ใหญ่ในครอบครัวจะอนุญาตให้พวกนางรับประทานเนื้อสัตว์ได้ ทว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าคนภายนอก ห้ามแตะต้องเนื้อสัตว์เด็ดขาด ดังนั้นอาหารที่จัดขึ้นโต๊ะในวันนี้ล้วนเป็นมังสวิรัติ

งานเลี้ยงไม่ได้ครื้นเครงอย่างที่ฟางซื่อคิดไว้

ไม่มีดนตรีบรรเลงก็ทำให้บรรยากาศเงียบเหงาอยู่แล้ว เจ้าของงานอย่างไป๋ชิงเหยียนยังนั่งรับประทานอาหารอย่างสงบนิ่ง มีมารยาท ตั้งใจไม่สนทนาระหว่างรับประทานอาหาร คนอื่นที่เหลือจึงไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ

ฟางซื่อเข้าใจในทันที นี่มันงานเลี้ยงต้อนรับที่ใดกัน จงใจวางมาดข่มขู่กันชัดๆ

ไป๋ชิงเหยียนรับประทานอาหารเสร็จจึงบ้วนปากตามที่ทำปกติ หญิงสาวสั่งให้คนเก็บอาหารบนโต๊ะให้เรียบร้อย จากนั้นนำผลไม้มาแทน แสดงให้เห็นว่าเป็นมื้ออาหารเรียบง่ายจริงๆ

ต่อให้เป็นเช่นนี้ ทว่า ในสายตาของคนซั่วหยาง ตระกูลไป๋ถือว่าให้เกียรติพวกเขามากแล้ว

“ไม่ทราบว่าประมุขไป๋เตรียมการเรื่องการฝึกทหารไปถึงไหนแล้ว”

ไป๋ชิงเหยียนวางถ้วยชาลง เอ่ยถามเสียงจริงจัง

ไป๋ฉีเหอรีบลุกขึ้นยืนทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน “บัดนี้รวบรวมคนจากในตระกูลบรรพบุรุษและครอบครัวที่ทำนาในที่ดินเราได้พอสมควรแล้วขอรับ ยังมีชาวบ้านอีกจำนวนไม่น้อยที่มาเข้าร่วมเพราะเงิน ทว่า ตอนนี้ปรึกษากันเรื่องสนามฝึกขอรับ”

“สนามฝึกของทางการน่าจะเพียงพอนะขอรับ!” นายอำเภอโจวรีบกล่าวขึ้น จากนั้นหันไปทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน

“ก่อนจวิ้นจู่จะเดินทางมาถึง ท่านเจ้าเมืองสั่งให้ลูกน้องสร้างสนามฝึกซ้อมแล้วขอรับ ไม่เกินสามวันน่าจะใช้ได้ขอรับ!”

เจ้าเมืองนึกไม่ถึงว่านายอำเภอโจวจะยกความดีนี้ให้เขา ทว่า เขาไม่ได้เป็นคนออกคำสั่งนี้ เขาจะรับความดีนี้ไว้ไม่ได้ เจ้าเมืองรีบลุกขึ้นยืนทันที

“ข้าแค่เปรยกับนายอำเภอโจวว่าสนามฝึกซ้อมอาจไม่พอใช้ ไม่ได้สั่งให้เขาสร้างขึ้น นายอำเภอโจวช่างมีน้ำใจยิ่งนัก”