ตอนที่ 420 ติดนิสัยของบัณฑิตน้อย

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 420 ติดนิสัยของบัณฑิตน้อย

หยานจิงหยูไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีความสัมพันธ์ใดกับตระกูลหลินจึงกระซิบถามหลินจื่อเหยียนซึ่งคล้ายสังเกตเห็นบรรยากาศแปลก ๆ ระหว่างพี่เขยรองกับคุณชายหนิง เขาจึงกระซิบตอบหยานจิงหยูว่า “เป็นหุ้นส่วนกัน ! ส่วนใหญ่แล้วขนมในร้านหนิงจี้เป็นสูตรที่พี่รองคิดค้น ! ”

ทว่าคุณชายหนิงดูใส่ใจพี่รองเกินไปหน่อยหรือเปล่า ?

หยานจิงหยูเบิกตากว้างเพราะความทึ่ง “เช่นนี้เอง ! คนอื่นซื้อเนื้อกระต่ายแผ่นและผลไม้อบแห้งไม่ได้ แต่พี่รองของเจ้าออกไปครู่เดียวก็ได้มาแล้ว”

เพราะร้านค้าหลายแห่งจะกักตุนสินค้าที่ใกล้ขาดตลาดเอาไว้ !

หลังจากรายชื่อผู้ผ่านการทดสอบรอบเยวี่ยนซื่อประกาศออกมาแล้ว บัณฑิตที่สอบผ่านได้เป็นซิ่วไฉก็เตรียมตัวกลับบ้านเกิด บ้านใครอยู่ใกล้หน่อยก็รีบกลับไปบอกข่าวดีแก่พ่อแม่ ทำให้คนในครอบครัวตื่นเต้นดีใจไปด้วย !

หลินจื่อเหยียนกระตือรือร้นยิ่งกว่าผู้ใด เขาเร่งให้พี่รองรีบเดินทางกลับบ้าน ท่าทางดีอกดีใจของเขาคล้ายเป็นคนที่สอบได้อั้นโฉ่วอย่างไรอย่างนั้น !

หลินเว่ยเว่ยเก็บสัมภาระเอาไว้ตั้งแต่พวกเขาสอบเสร็จแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ยกสัมภาระขึ้นรถม้า เมื่อเห็นว่าน้องชายมีท่าทีกระตือรือร้นยิ่งกว่าใคร นางจึงเอ่ยอย่างเอือมระอาว่า “ดูเจ้าสิ ลองหันไปดูบัณฑิตคนอื่นบ้าง ขนาดบัณฑิตน้อยสอบได้อันดับหนึ่งยังไม่แสดงความดีใจจนออกนอกหน้าเช่นเจ้าเลย…ข้าคิดว่าปากของเจ้าอ้ากว้างจนลมไหลเข้าไปเต็มท้องแล้วกระมัง ? ”

หลินจื่อเหยียนใช้สองนิ้วกดที่มุมปากของตนไว้ “เหมือนกันที่ไหนเล่า ? อย่างพี่เขยรองเรียกว่ามีการเตรียมตัวมาอย่างดี ดั่งสำนวนที่ว่า ในใจล้วนครุ่นคิดถึงแต่ไผ่1 แต่อย่างข้าเรียกว่าเหนือความคาดหมาย ข้าจึงดีใจมากกว่าเขา…ตอนแรกข้าคิดว่าแค่สอบผ่านระดับถงเซิงก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว บัณฑิตถงเซิงอายุสิบสี่ปี เหมือนพี่เขยรองไม่มีผิด แต่คาดไม่ถึงเลยว่า…ฮ่าฮ่า ! ตอนนี้ข้าจะเป็นบัณฑิตซิ่วไฉผู้มีอายุสิบสี่ปี ! เร็วกว่าพี่เขยรองตั้งสองปี ! ไอหยา พี่รองตีหัวข้าอีกแล้ว หากตีบ่อย ๆ แล้วข้าโง่ขึ้นมา ต่อไปข้าจะสอบเป็นจู่เหริน ( สอบผ่านระดับมณฑล ) ได้อย่างไร ? ”

หลินเว่ยเว่ยวางเบาะไว้บนรถม้าแล้วมองค้อนน้องชาย “พอได้แล้ว ! สอบได้ซิ่วไฉยังแสดงความดีอกดีใจออกมาถึงเพียงนี้ ถ้าสอบได้จู่เหรินหรือจิ้นซื่อ ( สอบหน้าพระที่นั่งผ่าน ) ขึ้นมา เจ้าจะไม่ดีอกดีใจจนลืมชื่อแซ่ของตนเลยหรือ ? ถ้ามีคนอย่างเจ้าเข้ารับตำแหน่งขุนนาง คงยากจะเป็นขุนนางตงฉิน ! ”

หลินจื่อเหยียนเถียงกลับ “พี่รอง ข้าก็แค่ดีใจ มันคือความรู้สึกทางใจไม่ใช่หรือ ! เหตุใดท่านต้องพูดว่าข้าจะเป็นขุนนางตงฉินไม่ได้ ? ”

หลินเว่ยเว่ยดึงเจียงโม่หานที่กำลังยกสัมภาระขึ้นรถม้าแล้วใช้มือจับคางของเขาพลางพูดว่า “ให้เจ้าดูเป็นตัวอย่าง สิ่งใดที่เรียกว่ามียศถาบรรดาศักดิ์และความร่ำรวยแล้วไม่ควรทำตัวเหลวไหล ตกอับยากจนเพียงใดอุดมการณ์ไม่แปรเปลี่ยน เผชิญอำนาจข่มขู่ก็ไม่ยอมสยบ แบบนี้ถึงจะเป็นว่าที่ขุนนางผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ! ”

หลินจื่อเหยียนเบิกตากว้างขณะมองนาง “พี่รอง ท่านเฉลียวฉลาดยิ่งนัก คำเปรียบเปรยของท่านมีเหตุผลยิ่งกว่าในตำราเสียอีก ! ข้าได้รับการสั่งสอนแล้ว ! ” กล่าวจบเขาก็โค้งคารวะหลินเว่ยเว่ย

หลินเว่ยเว่ยถือโอกาสนี้ลูบใบหน้าของบัณฑิตน้อยเพื่อเป็นการลวนลาม ยามผละมือจากใบหน้าแสนหล่อเหลาของเขาแล้วก็เดินอ้อมไปจัดของด้านหลังรถม้าต่อ “ข้ารู้ตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัว จะคิดอย่างมีเหตุผลได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? อาจเพราะติดนิสัยของบัณฑิตน้อยแล้วกระมัง ? ”

เจียงโม่หานชำเลืองมองนางพลางเลิกคิ้วสูง หลินเว่ยเว่ยจึงหันไปยิ้มประจบ !

เมิ่งจิ่งหงและหลิ่วจงเทียนก็ขึ้นรถม้าของครอบครัว แม้ทั้งสองจะสอบไม่ผ่านระดับเยวี่ยนซื่อแต่ก็เป็นบัณฑิตถงเซิงแล้ว ถือเป็นข่าวดีสำหรับครอบครัวเช่นกัน

หลังอำลาหยานจิงหยูแล้วพวกเขาก็ออกเดินทางพร้อมกันเพื่อมุ่งหน้าสู่เขตเริ่นอัน เมื่อถึงเขตเริ่นอันแล้ว เหล่าบัณฑิตซิ่วไฉทั้งสามได้นำของขวัญแทนคำขอบคุณไปมอบให้อาจารย์ของตน

รอบนี้สำนักศึกษาเหวินหยวนมีลูกศิษย์สอบได้บัณฑิตซิ่วไฉถึง 4 คน ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ใหญ่ซานหรือบรรดาอาจารย์ในสำนักศึกษาล้วนดีใจในความสำเร็จของลูกศิษย์ เดิมทีเจียงโม่หานและเฝิงชิวฟานต่างก็เป็นผู้มีความโดดเด่นในสำนักศึกษาและเป็นผู้ที่ทุกคนคาดเอาไว้ว่าต้องสอบผ่านแน่นอน

แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าหนอนหนังสือที่รู้จักแต่การท่องตำราอย่างเผิงหยูเหยี่ยนที่เมื่อปีกลายสอบไม่ติดถงเซิงและเด็กน้อยอายุสิบสี่ปี ทั้งสองไม่เพียงสอบผ่านถงเซิงเท่านั้น ทว่ายังสอบได้บัณฑิตซิ่วไฉอีกด้วย !

ซิ่วไฉสี่คนนั้นไม่ผิดหรอก เพราะลูกศิษย์อีกคนของสำนักศึกษาเหวินหยวนที่สอบได้บัณฑิตซิ่วไฉก็คือเฝิงชิวฟาน นับตั้งแต่ที่เขาไปร่วมงานหมั้นหมายของเจียงโม่หานและรับเงินที่เจียงโม่หานคืนให้แล้ว เฝิงชิวฟานก็แทบไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย

ทั้งสองล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์แห่งสำนักศึกษา ทว่าเจียงโม่หานเรียนรู้ได้เร็วกว่า ฐานะทางบ้านยากจนกว่าและมีนิสัยรักสันโดษ ส่วนเฝิงชิวฟานทำกิจการขูดรีดคนรวยมาช่วยเหลือผู้ยากไร้จึงได้รับการต้อนรับจากเหล่าบัณฑิตเป็นอย่างดี

หลังจากมีชีวิตมาหนึ่งชาติแล้ว เจียงโม่หานก็รู้จักนิสัยใจคอของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ชาติก่อนในยามที่เจียงโม่หานตกอับนั้น เฝิงชิวฟานได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ แต่ไม่ใช่เพราะสงสาร เนื่องจากต้องการจี้หยกในมือของเขาต่างหาก และเฝิงชิวฟานรู้ว่าด้วยนิสัยของเขาย่อมไม่มีทางรับความช่วยเหลือจากผู้อื่นโดยไม่ตอบแทน…

และก็เป็นตามที่กล่าวมา ตอนนั้นเฝิงชิวฟานได้รับจี้หยกไปแล้วก็เพลิดเพลินในความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งที่ควรจะเป็นของเจียงโม่หาน ในขณะที่เจ้าของจี้หยกตัวจริงต้องก้าวเดินอย่างยากลำบากอยู่บนคมดาบ…

ในชาตินี้ ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีเพราะหลินเว่ยเว่ย ภาพจำของเขาที่เคยบ้านแตกสาแหรกขาด บิดามารดาล้มหายตายจากและยากจนข้นแค้นได้เลือนหายไปแล้ว ในทางตรงกันข้ามคือมีครอบครัวที่เต็มไปด้วยความสุข ความมั่งคั่งและมีจิตวิญญาณอันสูงส่ง สิ่งเหล่านี้คือภาพจำอย่างแท้จริงของเขาในปัจจุบัน

เมื่อเทียบกับเจียงโม่หานแล้ว เฝิงชิวฟานหน้าตาไม่ดีเท่า ความรู้ก็สู้ไม่ได้ แม้แต่ความรู้สึกว่าครอบครัวของตนมีฐานะเหนือกว่ายังเลือนหายไป เช่นนั้นเขาจะมีหน้ามาพบเจียงโม่หานได้อีกหรือ ? แม้จะไปสอบที่เมืองจงโจวเช่นกัน เขาก็ไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าพวกเจียงโม่หานเลย

หลังประกาศรายชื่อผู้สอบผ่านแล้ว เฝิงชิวฟานสอบได้อันดับที่ยี่สิบเอ็ดจึงทำได้แค่มองเจียงโม่หานที่ได้อันดับหนึ่งจากระยะไกล มีหรือที่จะกล้าเสนอหน้ามาพบเจียงโม่หานให้ตนรู้สึกต่ำต้อย ?

เมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เป็นไปตามที่หวัง ยิ่งเขาอยากหลบเลี่ยงมากเท่าไรก็หลบไม่พ้น เฝิงชิวฟานที่ซื้อของขวัญมาขอบคุณอาจารย์เช่นกันจึงได้พบเจียงโม่หานที่บ้านของอาจารย์ใหญ่ซาน

เฝิงชิวฟานเห็นว่ายามนี้เจียงโม่หานมีบุคลิกสง่างาม ตัวสูงโปร่งราวกับต้นหยกเล่นลม เขาจึงขบกรามแน่นแล้วรีบผ่อนคลายโทสะ จากนั้นบนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยนพลางกล่าวว่า “ขอแสดงความยินดีกับศิษย์น้องเจียงที่สอบได้อั้นโฉ่ว ! ”

“ขอบคุณ ! ขอแสดงความยินดีกับท่านเช่นกัน ! ” เจียงโม่หานเป็นคนพูดน้อยมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว พอเห็นรอยยิ้มจอมปลอมของเฝิงชิวฟานก็ยิ่งไม่อยากพูดมากเข้าไปใหญ่

อาจารย์ใหญ่ซานรับของขวัญแทนคำขอบคุณจากลูกศิษย์ทั้งสี่คนแล้วจึงแสดงความยินดีกับพวกเขาด้วยรอยยิ้ม สุดท้ายก็ได้เอ่ยกับเจียงโม่หานและเฝิงชิวฟานว่า “อาจารย์ใหญ่แห่งสำนักศึกษาซานหลานคือบัณฑิตร่วมชั้นเรียนของอาจารย์เอง หากพวกเจ้าต้องการจริง ๆ อาจารย์ก็สามารถฝากพวกเจ้าเข้าเรียนที่สำนักศึกษาซานหลานได้…”

‘สำนักศึกษาซานหลาน’ เป็นหนึ่งในสำนักศึกษาดีที่สุดแห่งเมืองจงโจว เป็นสถานศึกษาที่บัณฑิตทั้งหลายใฝ่ฝันว่าจะได้เข้าเรียน เฝิงชิวฟานก็ปรารถนาจะได้เข้าเรียนที่นั่นจึงรีบเอ่ยขอบคุณอาจารย์ใหญ่ซาน

เจียงโม่หานเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “ปีก่อนศิษย์ได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะและยังรักษาไม่หายขาด ศิษย์ยังต้องคอยกินยารักษาจากท่านหมอเหลียง…คงทำได้เพียงขอบคุณสำหรับความเมตตาของอาจารย์ใหญ่ซานขอรับ ! ”

อาจารย์ใหญ่ซานได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้เซ้าซี้อีกและสนทนาต่ออีกเล็กน้อย เฝิงชิวฟานได้ยินคำพูดของเจียงโม่หานจึงเหลือบมองปราดหนึ่ง ‘พูดแบบนี้จงใจทำให้คนอื่นโมโหใช่หรือไม่ ? อาการป่วยยังไม่หายดีแต่สอบได้อั้นโฉ่ว ถ้าไม่ป่วยก็จะไม่กลายเป็นเทพเจ้าลอยขึ้นสรวงสวรรค์เลยหรือ ! ’

หลังออกมาจากบ้านของอาจารย์ใหญ่ซานแล้ว หลินจื่อเหยียนจึงถามเจียงโม่หานว่า “พี่เขยรอง การได้เรียนที่สำนักศึกษาซานหลานถือเป็นโอกาสดีไม่ใช่หรือ ? เหตุใดท่านจึงปฏิเสธ ? ”

หรือว่าอาการป่วยตรงหลังศีรษะของพี่เขยรองจะยังไม่หายดี ? ไม่น่าใช่ เพราะตลอดหลายเดือนมานี้ก็ไม่เห็นว่าในบ้านของศิษย์พี่เจียงจะมีกลิ่นยาลอยอบอวลออกมาเลย หรือ…ศิษย์พี่เจียงกังวลว่าหากเข้าเรียนที่ตัวเมืองจงโจวแล้วจะไม่มีโอกาสได้ชิมอาหารฝีมือของพี่รองอีก ? เอ่อ…เหตุใดศิษย์พี่เจียงจึงกลายเป็นคนที่เห็นเรื่องกินสำคัญกว่าอนาคตเสียได้ ?

[i]
1 ในใจล้วนครุ่นคิดถึงแต่ไผ่ เป็นสำนวนที่หยิบยกมาจากบทกวีของซูตงพอ มีความหมายว่า ก่อนจะทำการใดต้องมีการตระเตรียมความพร้อม เมื่อวางแผนดีแล้วก็จะประสบความสำเร็จ