ตอนที่ 299 ข่าวลือไร้มูล (1)
คราวนี้ น่าจะได้ผล หลี่ฉางโซ่วมองไปที่ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งที่ลงมาหยุดอยู่ที่ริมทะเลสาบ เช่นเดียวกับปรมาจารย์ใหญ่เจียงหลินเอ๋อร์ที่ออกมาจากกระท่อมมุงจาก จากนั้นเขาก็ก้มหน้าลงมองเม็ดโอสถเพลิงหัวใจในมือของเขา…
ช่างมันเถิด ตอนนี้มันไม่จำเป็นแล้ว อะไรที่มากเกินไปย่อมไม่เป็นผลดี
จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็นำถุงโอสถออกแล้วมายืนเอามือไพล่ไว้ด้านหลัง อยู่หน้าหอโอสถ
บัดนี้ พวกเขาทั้งสองนั่งอยู่ใต้ต้นหลิวที่คุ้นเคยตรงริมทะเลสาบ
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่งคำสั่งบางอย่างไปให้หลิงเอ๋อร์
ไม่นานหลังจากนั้น หลิงเอ๋อร์ก็ขี่เมฆไปที่ทะเลสาบ แล้วร่อนลงที่หน้ากระท่อมมุงจากของท่านอาจารย์ก่อนจะปลุกนักพรตเต๋าฉีหยวนที่อาจกำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ในกระท่อม และเล่าเรื่องสองสามเรื่องให้ท่านอาจารย์…จากนั้น นักพรตเต๋าชราฉีหยวนก็มองไปที่ใต้ต้นไม้แล้วตกตะลึง
“พวกเขาก้าวหน้ารวดเร็วอะไรเช่นนี้?” หลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์ล้วนพูดไม่ออก
จากนั้น ฉีหยวนก็ยิ้มน้อยๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์และความคิดคำนึงโหยหาถึงอดีต
เขามองไปที่ท่านอาจารย์ของเขา เจียงหลินเอ๋อร์ ราวกับกำลังมอง… หญิงชราที่อยู่คนเดียวมาหลายพันปี และในที่สุดก็กำลังจะแต่งงานในวันนี้ เขายินดียิ่งนักและไม่อยากปล่อยนางไป “ท่านอาจารย์ พวกเรารีบไปกันเถิดเจ้าค่ะ” หลิงเอ๋อร์ทำหน้าบูดบึ้งพลางกล่าวในขณะที่ฉีหยวนยิ้มออกมาทันทีในขณะที่ลูบเคราพลางพยักหน้ารับ
หลังจากนั้น ทั้งอาจารย์และศิษย์ ก็มุ่งหน้าไปที่ต้นหลิวริมทะเลสาบแล้วโค้งคำนับให้เจียงหลินเอ๋อร์และ ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง
ฉีหยวนกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ลุง ศิษย์เพิ่งอยากฝึกฝนเต๋าแห่งการหลอมโอสถ จึงจะไปอยู่ในหอโอสถสักพักขอรับ”
ทันใดนั้น เจียงหลินเอ๋อร์ก็เข้าใจบางอย่างและแสร้งตอบรับอย่าง แต่ใบหูของนางก็แดงก่ำไปหมดแล้ว ในขณะนั้น หลิงเอ๋อร์ก็หยิบยันต์หยกออกมายื่นให้เจียงหลินเอ๋อร์อย่างนอบน้อม
หลิงเอ๋อร์กล่าวเบาๆ ว่า “ท่านปรมาจารย์ใหญ่ นี่คือค่ายกลแยกตัวรอบ ๆ บ้านของท่านที่ศิษย์พี่และอาจารย์อาจิ่วจิ่วร่วมกันสร้างขึ้นมาเจ้าค่ะ”
“อืม เข้าใจแล้ว” มือเล็กๆ ของเจียงหลินเอ๋อร์สั่นเล็กน้อยขณะรับยันต์หยกนั้นมา
ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งกล่าวอย่างอบอุ่นอยู่ข้างๆ เจียงหลินเอ๋อร์ว่า “เสี่ยวหยวน ข้ามีวิธีการหลอมโอสถบางอย่าง เจ้าต้องการหรือไม่”
“ไม่เป็นไรขอรับ ข้ายังไม่จำเป็นต้องใช้มัน” ฉีหยวนรีบกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ศิษย์แค่อยากสัมผัสความแปลกใหม่บ้าง เช่นนั้น ศิษย์จะขอไปเดี๋ยวนี้เลย” กล่าวจบ ฉีหยวนและหลิงเอ๋อร์ก็โค้งคำนับให้อีกครั้งก่อนจะขี่เมฆไปทางหอโอสถ
บัดนั้น ภายในรัศมีสิบลี้โดยรอบทะเลสาบ ก็เหลือเพียงเจียงหลินเอ๋อร์ และปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งอยู่ตามลำพังเท่านั้น…
พวกเขาต่างมองหน้ากันอย่างแสนเสน่หา ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “หลินเอ๋อร์ ข้าเพิ่งศึกษาวิธีการฝึกบำเพ็ญอย่างหนึ่ง”
“อืม” เจียงหลินเอ๋อร์ก้มศีรษะลงและกล่าวว่า “วิธีการฝึกแบบใดกัน?”
“เข้าไปข้างในกันเถิด ไม่สะดวกจะเปิดเผยภายนอก”
“ดะ-ได้…”
เจียงหลินเอ๋อร์กล่าวเสียงเบาหวิวราวกับยุง ด้วยความ นางลุกขึ้นยืนอย่างงุนงงขณะเริ่มนำทางไปที่กระท่อมมุงจากของนาง
เมื่อปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งก้าวเข้าไปในกระท่อมมุงจาก เจียงหลินเอ๋อร์ก็เปิดใช้งานค่ายกลตามจุดต่างๆ ในกระท่อมทันที และใช้พลังเซียนของนางวางข่ายอาคมเอาไว้อีกหลายชั้น
เขาดูรีบเร่ง กระสับกระส่ายเล็กน้อย
หลี่ฉางโซ่วยิ้มอย่างสงบ ข่ายอาคมเล็กๆ เช่นนี้ ทำอันใดเขาได้เล่า?
เกิดอันใดขึ้น เขาได้ตัดขอบเขตเต๋าไป และยังเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญตัวน้อยที่อยู่ห่างจากเซียนเทียนสมบูรณ์แบบไปเพียงไม่กี่ก้าว
เขาแผ่ขยายสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาออกไปและตระหนักว่ามีข่ายอาคมที่แข็งแกร่งขึ้น ปรากฏขึ้นภายในข่ายอาคม ดูเหมือนว่าจะเป็นปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งได้วางเอาไว้ ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วนิ่งอึ้งไปทันที
เดิมทีเขาก็ไม่อยากสอดรู้สอดเห็นความเป็นส่วนตัวของผู้คน แค่เพียงอยากดูว่าสิ่งต่างๆ จะพัฒนาไปอย่างไรบ้าง ใช่แล้ว เขาอยากดูว่าพวกเขาไปผิดทางหรือไม่ ทว่าในเมื่อพวกเขาไม่อยากให้ดู เขาก็จะไม่ดู
เมื่อเห็นท่านอาจารย์และหลิงเอ๋อร์บินกำลังบินอยู่เหนือเมฆ หลี่ฉางโซ่วก็หันกลับมาเริ่มจัดวางค่ายกล
หลี่ฉางโซ่วหยิบโต๊ะที่ทำขึ้นเป็นพิเศษออกมา ตรงกลางของโต๊ะเป็นโพรง และวางหม้อเหล็ก หม้อเหล็กถูกแบ่งออกเป็นสี่ช่องด้วย
หลี่ฉางโซ่วหยิบโต๊ะที่ทำขึ้นเป็นพิเศษออกมา ตรงกลางโต๊ะเป็นโพรงว่างและมีหม้อเหล็กถูกวางอยู่ในนั้น ในหม้อนี้ มีแผ่นเหล็กสองแผ่นมาวางกั้นเพื่อแบ่งส่วนออกเป็นสี่ส่วน
นี่เป็นเครื่องมือเวทที่เขาคิดค้นขึ้นเอง โต๊ะหม้อไฟจื้อต้ง ปฏิบัติการได้ด้วยตัวเองเต็มรูปแบบ!
หม้อเหล็กนั้นมีกฎห้ามสำหรับการให้ความร้อนในระดับคงที่ ซึ่งใช้พลังเวทควบคุมขนาดไฟ ปรับความร้อนได้
นอกจากนั้น ยังมีข่ายอาคมป้องกันขนาดเล็กที่ป้องกันน้ำกระเซ็นเล็กน้อย กฎห้ามขจัดกลิ่น และอื่นๆ
เมื่อจัดโต๊ะและเก้าอี้แล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ส่งข้อความเสียงไปขอให้สงหลิงลี่สังหารสัตว์วิญญาณที่เหมาะสำหรับการปิ้งย่างสักสองสามตัว
จากนั้นเขาก็หยิบสมุนไพรวิญญาณและผักวิญญาณที่เตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้ออกมา แล้วเทน้ำแร่อมตะลงในหม้อเพื่อเริ่มเตรียมฐานทำน้ำแกง
ที่นั่นกำลังรื่นเริงสนุกสนาน ที่นี่ก็ต้องครึกครื้นมีชีวิตชีวา แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เท่างานอภิเษกที่จัดขึ้นในวังมังกรอย่างโอ่อ่าตระการตาและไม่มีคนมาแสดงความยินดีมากมายเท่าโลกมนุษย์ แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนเป็นงานแต่งงาน… เมื่อท่านอาจารย์และหลิงเอ๋อร์มาถึง หม้อไฟส่วนใหญ่ก็พร้อมแล้ว
หลิงเอ๋อร์กล่าวอย่างเบิกบานใจว่า “ศิษย์พี่ ท่านทำอะไรใหม่หรือเจ้าคะ”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “นี่เรียกว่า… หม้อไฟ ข้ายังต้องเตรียมเครื่องปรุงบางอย่าง หลิงเอ๋อร์ เจ้าไปเชิญอาจารย์อาจิ่วจิ่วที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์มา ช่วงนี้ นางเบื่อมากๆ มาสักพักแล้ว เช่นนั้น ก็ขอให้วันนี้เป็นวันดี เราจะถือว่ามันเป็นงานเฉลิมฉลองเพื่อแสดงความยินดีให้ท่านปรมาจารย์ใหญ่และปรมาจารย์ลุงใหญ่
“เจ้าค่ะ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”
หลิงเอ๋อร์หันหลังกลับแล้วขี่เมฆบินไป จากนั้น ฉีหยวนก็สะบัดแขนเสื้อและกล่าวยิ้มๆ ว่า “ฉางโซ่ว แล้วเจ้ามีอะไรให้อาจารย์ช่วยได้บ้าง” หลี่ฉางโซ่วรีบกล่าวว่า “ท่านอาจารย์โปรดนั่งดูเถิด ข้าจะปล่อยให้ท่านทำได้อย่างไรขอรับ”
นักพรตเต๋าชราฉีหยวนยิ้มและส่ายศีรษะ แล้วไปพักผ่อนที่เก้าอี้นั่งเล่นด้านนอกประตู
ไม่นานหลังจากนั้น สงหลิงลี่ก็สังหารสัตว์วิญญาณสองสามตัวอย่างรวดเร็ว นางหั่นพวกมันเป็นชิ้นๆ ก่อนจะแบกเนื้อสัตว์วิญญาณสดๆ หลายสิบกิโลกรัมและตรงไปถึงหอโอสถอย่างตื่นเต้น
หลังจากนั้นไม่นาน หลิงเอ๋อร์และจิ่วจิ่วก็เข้ามาพร้อมๆ กันโดยนั่งมาบนน้ำเต้าขนาดใหญ่
แต่ทั้งศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่หญิงทั้งหลายของจิ่วจิ่วก็มาถึงพร้อมกับนางด้วย…
บัดนี้ เหล่าเซียนจิ่วก็มากินดื่มที่ยอดเขาหยกน้อยในขณะที่พวกเขากำลังฝึกฝนศาสตร์แปดรูปลักษณ์[1]
หลี่ฉางโซ่วหยิบโต๊ะหม้อไฟออกมาราวกับว่าเขากำลังเล่นปาหี่ หลังจากโค้งคำนับให้แล้ว เขาก็จัดให้จิ่วอู จิ่วซือ จิ่วเอ้อร์และคนอื่นๆ อีกหกคนนั่งอยู่ที่โต๊ะข้างๆ ในขณะนั้น หอโอสถก็ดูแน่นขนัดขึ้นมาทันที แต่ก็คึกคักมีชีวิตชีวายิ่ง
บัดนี้ บรรดาญาติมิตรของคู่บ่าวสาวทั้งสองคนในกระท่อมมุงจาก ได้มารวมตัวกันที่นี่ ถือได้ว่ามาเป็นสักขีพยานให้กับช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ครั้งนี้…
จิ่วอูดึงแขนของหลี่ฉางโซ่วและขยิบตาให้เขา
จากนั้นเขาก็ถามหลี่ฉางโซ่วเสียงเบาว่า “จัดการเรียบร้อยแล้ว? หรือตอนนี้กำลังจัดการอยู่?”
หลี่ฉางโซ่วเพียงยิ้มโดยไม่เอ่ยอะไร
บอกตามตรงว่า เขาไม่กล้าด่วนสรุปว่า ทั้งสองคนนั้นกำลังทำอะไรกันหลังประตูที่ปิดอยู่นั้น…
แม้ว่าโดยทั่วไปแล้ว พวกเขาทั้งสองน่าจะร่วมกันทำในบางสิ่งที่อธิบายไม่ได้
ทว่าท่านปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งก็ปฏิบัติตามคู่มือรู้แจ้งในการฝึกบำเพ็ญเซียนได้ บางทีสถานการณ์ในยามนี้ อาจ… จะพัฒนาไปจนไม่แน่นอน
จิ่วผิง ศิษย์คนที่สามของปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง ซึ่งมาที่ยอดเขาหยกน้อยเป็นครั้งแรก นางเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญสตรีงดงามที่แผ่กลิ่นอายแห่งความกล้าหาญ นางเป็นเซียนเสิ่นขั้นสูงสุดซึ่งใกล้จะทะลวงเข้าสู่เซียนเทียน
จิ่วผิงยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าเฒ่าอูอย่าสงสัยเลย เมื่อท่านอาจารย์เปิดใช้งานค่ายกลแล้ว ย่อมต้องสำเร็จแน่”
จิ่วอูถอนหายใจ “ท่านย่อมรู้นิสัยอาจารย์ของเรา… พี่สาม พี่ก็รู้เหมือนกัน”
จิ่วซือขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวเสียงเบาว่า “ข้ากังวลจริงๆ ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์จะเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่ว่าต้องทำอย่างไร เฮ้อ หากเพียงแต่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวภายในนั้นก็คงจะดี ”
จู่ๆ จิ่วลู่เอ๋อร์กะพริบตาและกล่าวว่า “แต่เราไม่อาจ… ไปแอบฟังที่มุมห้อง…”
ทันใดนั้น ดวงตาของพวกเขาก็เปล่งแสงสว่างวาบขึ้นมาทันที
“แค่กๆ” หลี่ฉางโซ่วเตือนพวกเขาว่า “ท่านอาจารย์ลุง อาจารย์ป้า ระดับฐานพลังของท่านปรมาจารย์ลุงใหญ่หว่างฉิงนั้น สุดหยั่งรู้ได้ พวกเราไม่น่าจะแอบย่องเข้าไปใกล้พวกเขาโดยไม่ทำให้พวกเขารู้ตัวได้ และ… นั่น รังแต่จะทำให้พวกเขาตกใจเท่านั้น”
“ข้ามีวิธี!”
จิ่วจิ่วลุกขึ้นยืนเท้าเอวและกล่าวต่อว่า “ข้าทิ้งหอยสังข์ส่งเสียงไว้ในห้องของอาจารย์อาเจียงหลินเอ๋อร์! เดิมทีข้าเพียงอยากรู้ว่าอาจารย์อาท่านนี้จะมีจุดอ่อนใดหรือไม่เพื่อเตรียมรับมือกับนางได้ แต่ไม่คิดว่าเหอะๆ …จะบังเอิญมีประโยชน์เช่นนี้!”
ขณะกล่าว จิ่วจิ่วก็ดึงหอยสังข์หยกขาวขนาดเท่ากำปั้นออกมาจากแขนเสื้อของนาง
จากนั้น นางก็ยกมือขึ้นสัมผัสหอยสังข์ในมือเพื่อเปิดใช้กฎห้ามของมันโดยไม่รอให้พวกเขาได้ทันพูดอะไร
……………………………………………………..
[1] มาจากคัมภีร์โบราณอี้จิงกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลง ฟ้า ดิน น้ำ ไฟ ลม สายฟ้า ภูเขา ทะเลสาบ การครองตนที่ต้องประสานความสมดุล โดยการปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับวิถีแห่งฟ้าดิน ถูกปรับใช้ในการทำนาย เป็นแม่แบบในการดูฮวงจุ้ย