บทที่ 336 จับยัดกระสอบ
พวกเขาขึ้นรถม้ามุ่งหน้ากลับไปยังตรอกปี้สุ่ย
“มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ” ก่อนจะลงจากรถม้า กู้ฉังชิงเกิดนึกสงสัยอะไรบางอย่างขึ้น
จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยถาม “เรื่องใดหรือ”
“ในเมื่อองครักษ์หลงอิ่งจงรักภักดีฮ่องเต้มาโดยตลอด เช่นนั้น พวกเขาย่อมรู้ว่าฮ่องเต้ทรงรักและเอ็นดูเจียวเจียวมากแค่ไหน เหตุใดถึงได้กล้าลอบทำร้ายเจียวเจียวด้วย”
จี้จิ่วอาวุโสอธิบาย “นี่แหละคือความต่างของทหารองครักษ์ลับทั่วไปกับองครักษ์หลงอิ่ง พวกนั้นคือเครื่องจักรสังหาร รับแต่คำสั่งมาอย่างเดียว ไม่มีหัวสมองคิดถึงเรื่องความรู้สึกว่าใครรักใครใครเป็นฝ่ายใครหรอก ในเมื่อฝ่าบาทสั่งให้พวกเขาจงรักภักดีต่อจิ้งไท่เฟย พวกเขาจึงต้องทำตามคำสั่งของจิ้งไท่เฟยแต่เพียงผู้เดียว”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง…” กู้ฉังชิงตระหนักว่าหลังจากอยู่ในค่ายทหารมานาน เขาคิดว่าเขาคุ้นเคยกับด้านการทหารแล้วเสียอีก แต่หารู้ไม่ว่าเขาเข้าใจเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น
“ข้ายังเด็กเกินไปจริงๆ ด้วย”
กู้ฉังชิงบ่นอุบอิบ
จี้จิ่วอาวุโสตบไหล่ของเขา “รู้ตอนนี้ก็ยังไม่สาย ปู่ของเจ้าน่ะเป็นคนของฝ่าบาท ย่อมรู้การมีอยู่ขององครักษ์หลงอิ่งอยู่แล้ว เพียงแต่ จังหวะนั้นมันยังมาไม่ถึง เลยยังไม่มีโอกาสได้เล่าให้เจ้าฟัง ก่อนหน้านี้ พวกนั้นแข็งแกร่งกันมาก เพียงแต่บ้างก็ล้มตาย บ้างก็บาดเจ็บ จะเหลือก็แค่ไม่กี่คนที่คอยอารักษ์ขาจิ้งไท่เฟย แม้แต่ฝ่าบาทเองก็ยังไม่รู้ถึงความน่ากลัวขององครักษ์หลงอิ่ง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองเครื่องสังหารให้แก่จิ้งไท่เฟย”
กู้ฉังชิงพยักหน้า “มิน่าล่ะ ข้าถึงเคยได้ยินเว่ยกงกงบอกว่าฝ่าบาทส่งทหารองครักษ์ไปคุ้มกันจิ้งไท่เฟยเพิ่มอีก”
จี้จิ่วอาวุโสเอ่ย “ในเมื่อมีองครักษ์หลงอิ่งอยู่แล้ว ยังต้องมีองครักษ์เพิ่มอีกรึ”
“เดี๋ยวก่อนนะ” กู้ฉังชิงนึกอะไรขึ้นได้อีกครั้ง “ฝ่าบาทเองก็เคยถูกลอบทำร้ายมิใช่หรือ เป็นไปได้ไหมว่าหนึ่งในคนพวกนั้นจะมีองครักษ์หลงอิ่งแฝงอยู่ด้วย”
“ไม่น่ากระมัง” จี้จิ่วอาวุโสส่ายหัว “พวกองครักษ์หลงอิ่งไม่มีทางลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทหรอก เพราะนี่เป็นคำสั่งแรกจากจักรพรรดิองค์ก่อน ต่อให้ฝ่าบาทสั่งให้พวกเขาฆ่าตนเอง พวกองครักษ์หลงอิ่งก็ยังต้องรับฟังคำสั่งแรกซึ่งเป็นคำสั่งของจักรพรรดิองค์ก่อนอยู่ดี ครั้งก่อนพวกคนที่ลอบทำร้ายพระองค์มาจากแคว้นเฉิน เพียงแต่ พวกนั้นไม่น่าจะรู้กำหนดการของฝ่าบาทได้ละเอียดขนาดนั้น เว้นเสียแต่มีหนอนบ่อนไส้ในวัง”
กู้ฉังชิงเอ่ยถาม “เช่นนั้น หนอนบ่อนไส้ที่ว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นคนของจิ้งไท่เฟย”
จี้จิ่วอาวุโสเอามือลูบหนวดตัวเองพลางครุ่นคิดอย่างหนัก “ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานอะไรที่บ่งชี้ว่ามาจากจิ้งไท่เฟย และหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เหตุผลของนางคืออะไร แล้วนางจะได้ผลประโยชน์อะไรจากการทำแบบนั้น”
กู้ฉังชิงนึก “หากเป้าหมายของนางมิใช่การลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท แต่เป็นการจงใจใส่ร้ายจวงไทเฮาล่ะ”
และเป็นความจริงที่ว่าฝ่าบาทได้ตัดสินไปแล้วว่าเรื่องลอบปลงพระชนม์ที่เกิดขึ้นจวงไทเฮาจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน
“ก็อาจเป็นไปได้” จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยหน้านิ่ง
ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เท่ากับว่าจิ้งไท่เฟยผู้นี้เป็นบุคคลอันตราย เพราะที่นางต่อกรกับจวงไทเฮานั้นไม่เพียงแต่เป็นการแก้แค้น อีกอย่างที่สำคัญก็คือการแย่งชิงตำแหน่งพระพันปี ฝ่าบาทรักนางขนาดนั้น แต่นางกลับยังทำได้ลงคอ
“หวังว่าจะไม่เป็นอย่างที่พวกเราคาดเดาก็แล้วกัน” กู้ฉังชิงเอ่ย
ฝ่าบาทเคารพจิ้งไท่เฟยมาก ถ้าไม่นับเรื่องที่ว่าฝ่าบาทไม่ได้เป็นบุตรแท้ๆ ของนาง เขาก็แทบจะเหมือนเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองอยู่แล้ว
กู้ฉังชิงรู้ซึ้งถึงความรู้สึกแบบนั้นดี เพราะกู้เฉิงหลินกับกู้เฉิงเฟิงเองก็เคยเป็นเช่นนี้กับอนุหลิงเช่นกัน
แต่ที่ไม่เหมือนกันก็คือ อนุหลิงคืออนุภรรยา น้องชายทั้งสองของเขารู้ตัวอยู่แล้วว่าพวกเขามีแม่แท้ๆ และมองว่าแม่นางเหยาคือคนที่สำคัญที่สุด
ขณะที่กรณีของฝ่าบาท ตั้งแต่เกิดก็ต้องไปอยู่กับจิ้งไท่เฟย และอยู่ในความดูแลของจิ้งไท่เฟย พอเวลาผ่านไปจนฝ่าบาทเติบใหญ่ ถึงได้รู้ว่ามารดาแท้ๆ ของเขาเป็นแค่นางกำนัลในวังเท่านั้น
ฝ่าบาทไม่ได้มีความผูกพันใดๆ กับมารดาแท้ๆ ของพระองค์
และจักรพรรดิองค์ก่อนเองก็ไม่อนุญาตให้เขาเชื่อมสัมพันธ์ใดๆ กับนางกำนัลผู้เป็นแม่บังเกิดเกล้า
หากฝ่าบาทถูกจิ้งไท่เฟยปองร้ายจริงๆ พระองค์จะหัวใจสลายเพียงใด
ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกันนั้น รถม้าก็ได้มาหยุดอยู่ที่หน้าเรือน
รถม้าหยุดลง รอบทิศเงียบสงัด
พวกได้ยินเสียงหายใจเบาๆ ดังขึ้น หันไปดูอีกทีก็พบว่ากู้เจียวกำลังนอนหลับสนิทไม่รู้เรื่อง
กู้เจียวหลับสนิทท่ามอากาศที่ร้อนอบอ้าวทำให้พวงแก้มของกู้เจียวขึ้นสีแดงระเรื่อที่กำลังแนบอยู่บนหมอน
บุรุษทั้งสองหัวเราะอย่างอดไม่ได้
เจ้าเด็กนี่ พอบอกว่าไม่ให้ไปจับตัวก็ถึงกับหลับประชดไม่ฟังกันเลยหรือ
ข้าไปก่อนนะ
จี้จิ่วอาวุโสบอกผ่านสายตาโดยไม่ส่งเสียง
กู้ฉังชิงพยักหน้าให้เขา ก่อนจะโค้งตัวลงเพื่อทำความเคารพ
พวกเขาไม่กล้าปลุกกู้เจียวตื่น
กู้ฉังชิงที่อยู่ในรถม้าก็คว้าพัดขึ้นมาพัดให้กับกู้เจียว
พอเริ่มมีลมอ่อนๆ พัดเข้ามา คิ้วที่ขมวดของกู้เจียวก็เริ่มคลายลง
แม่นางเหยาที่กำลังเก็บผักที่สวนหน้าเรือ พอได้เห็นภาพนี้ของสองพี่น้อง ก็ยิ้มออกมาผ่านทางสายตาพลางเอามือลูบท้องตัวเอง
และแล้วกู้เจียวก็หลับยาวจนเสี่ยวจิ้งคงกลับมาถึงเรือน
ต่อให้กู้เจียวอยากนอนต่อก็คงยาก เพราะเจ้าตัวเล็กชอบทำเสียงดังเป็นอาจิณ
ยังดีที่กู้เจียวได้หลับเต็มอิ่ม
ส่วนกู้ฉังชิงต้องกลับก่อนเพราะมีงานที่ค่าย
ช่วงพลบค่ำ เซียวลิ่วหลังก็เดินทางกลับถึงที่เรือน
ก่อนกลับมาที่เรือน เขาไปที่เรือนของจี้จิ่วอาวุโสมาก่อนเพื่อพูดคุยปรึกษาเรื่องบางเรื่อง และเมื่อเขากลับถึงบ้าน ก็พบว่ากู้เจียวกำลังนั่งอย่างกระสับกระส่ายอยู่ในห้อง
นางหลับไปทั้งบ่าย ว่าตามตรงแล้วควรจะพอทำให้มีแรงขึ้นมาบ้าง
แต่กลับกัน สภาพของนางดูอ่อนเพลียและหายใจถี่ราวกับตาเฒ่าจ้าวผู้ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของพวกเขา
เซียวลิ่วหลังพอเห็นดังนั้นก็อดยิ้มมุมปากมิได้
หลังจากกินข้าวเสร็จ กู้เจียวก็กลับไปที่ห้องด้วยสภาพไร้วิญญาณ
เซียวลิ่วหลังเดินตามไป ก่อนจะเคาะประตู “ข้าเอง”
“เข้ามาสิ” กู้เจียวตอบรับ
เซียวลิ่วหลังเดินเข้าไปในห้อง
กู้เจียวคิดว่าเขาจะเอาถั่วเขียวต้มมาให้อีก แม้นางจะไม่หิว แต่ก็ยอมลุกไปนั่งที่โต๊ะแต่โดยดี
ที่ไหนได้ เขาไม่ได้เอาถั่วเขียวต้มมาให้แต่อย่างใด แต่เดินเข้ามานั่งใกล้ๆ พร้อมกับจ้องหน้านิ่งๆ
กู้เจียวสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล
“จะทำอะไรรึ” กู้เจียวเงยหน้าสบตากับเซียวลิ่วหลังพร้อมเอ่ยถาม
“ไหนเจ้าบอกว่าอยากจับคนยัดเข้ากระสอบมิใช่รึ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถามพร้อมกับส่งสายตาประกายพร้อมรอยยิ้มอันแปลกประหลาดให้คนตรงหน้า
“หือ” กู้เจียวถึงกับหูผึ่ง! ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วทำท่าเคร่งขรึม “ข้าไม่ใช่คนแบบนั้นซักหน่อย”
เขาเกือบจะเชื่อแล้วว่านางไม่ใช่คนแบบนั้นจริงๆ
เซียวลิ่วหลังยังคงหัวเราะ ก่อนจะเอ่ยถาม “เช่นนั้น…ไปหาท่านย่าที่วังกันไหม”
กู้เจียวได้ยินดังนั้นก็รีบยืดตัวตรง “อันนี้…ต้องไปอยู่แล้วสิ!”
“ใส่นี่สิ” เซียวหลิวหลังยื่นเครื่องแบบขันทีให้กู้เจียว
หลังจากที่เขาออกไป กู้เจียวก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและสวมหมวก
ประตูถูกเปิดออก และขันทีน้อยจอมทะเล้นก็เดินออกมา
เซียวลิ่วหลังพอได้เห็นก็แทบจะตั้งสติไม่ทัน
เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าหญิงสาวในชุดขันทีจะทั้งงามและน่ารักได้ขนาดนี้ ดวงตาคู่โตกะพริบเป็นประกาย ใบหน้าเล็ก เท่าฝ่ามืออันบอบบาง แม้กระทั่งปานแดงบนหน้าของนาง ทุกอย่างช่างดูน่ารักไปหมด
ถ้าขันทีน้อยในวังเป็นแบบนี้หมด คงไม่ต้องมีสนมหรือนางในแล้วกระมัง
“สวยไหม” กู้เจียวถาม
“ก็ดี” เซียวลิ่วหลังทำเสียงเย็นชาใส่ “รีบไปกันเถอะ”
ทั้งสองคนก้าวเท้าขึ้นรถม้า
ด้วยความที่วันนี้หนานเซียงออกตัวไปรับกู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นที่สำนักชิงเหอ หลิวเฉวียนสารถีประจำเรือนก็เลยว่าง แต่ตอนนี้เขาไม่ว่างแล้ว เพราะต้องพาเซียวลิ่วหลังและกู้เจียวไปส่งที่วัง
กู้เจียวนั่งในรถม้าอย่างเชื่อฟัง เหยียดขาตรง เหยียดนิ้วเท้าเล็กๆ ออก เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดีแค่ไหน
เมื่อรถม้ามาถึงประตูวัง เซียวลิ่วหลังก็ได้เแสดงป้ายผ่านทางของตำหนักเหรินโซ่วออกมา
มีใครอยู่ในรถม้าอีกไหม” ทหารยามเอ่ยถามอย่างสุภาพ
เซียวลิ่วหลังยกม่านขึ้นและให้ทหารยามตรวจรถอย่างเปิดเผย
“เขาคือขันทีของตำหนักเหรินโซ่ว” เซียวลิ่วหลังเอ่ยนิ่งๆ
“ขอรับ เชิญเซียวซิวจ้วนเข้าด้านในขอรับ” ทหารยามปล่อยให้รถม้าของเขาเข้าไป
รถม้าเคลื่อนผ่านตำหนักหลวง พอใกล้ถึงวังหลังก็มิอาจเข้าไปได้ลึกกว่านี้แล้ว
เซียวลิ่วหลังเอ่ยกับหลิวเฉวียน “เอาละ จอดตรงนี้เลย หลิวเฉวียนกลับไปก่อนเถิด เดี๋ยวพวกเรากลับกันเอง”
หลิวเฉวียน “ข้ารอพวกเจ้าได้!” หลิวเฉวียนตอบ
เซียวลิ่วหลัง “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวท่านย่าให้คนไปส่งพวกเราเอง”
“นั่นสินะ” หลิวเฉวียนหัวเราะหนึ่งที “เช่นนั้นข้าไปก่อนล่ะ!”
หลังจากหลิวเฉวียนออกไปแล้ว เซียวลิ่วหลังกับกู้เจียวก็มุ่งหน้าไปทางตำหนักฮว๋าชิง
ในฤดูร้อน กลางวันยาวนานและกลางคืนสั้น ขณะนี้ดึกแล้ว แต่แสงสนธยายังคงมีให้เห็นอยู่
จิ้งไท่เฟยมีนิสัยชอบเดินเล่นหลังอาหารเพื่อย่อยอาหาร หลังอาหารเย็น นางจึงไปที่สวนกับนมไช่และนางกำนัลคนอื่นๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเช้าส่งผลกระทบต่อนางในระดับหนึ่ง ทำให้สีหน้าของนางไม่ค่อยสู้ดีนัก
แม่นมไช่ต้องคอยพยุงร่างของจิ้งไท่เฟย อีกทั้งนางกำนัลที่เดินตามหลังมาก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
“เข้าไปนั่งในศาลาก่อน” จิ้งไท่เฟยเอ่ยกับแม่นมไช่
“เพคะ” แม่นมไช่จูงจิ้งไท่เฟยขึ้นบันไดศาลาแล้วนั่งลงบนเก้าหิน ก่อนจะสั่งให้นางกำนัลไปหยิบเครื่องดื่ม “ไปหยิบกาน้ำชาดอกไม้มาที”
“เพคะ!” นางกำนัลรีบออกไปตามคำสั่ง
สายลมยามเย็นพัดโชย ต้นหลิวพลิ้วไหว ทั้งสวนเต็มไปด้วยความเงียบสงบ
นางกำนัลตัวน้อยนำชารินใส่ถ้วยและยื่นให้จิ้งไท่เฟยด้วยมือทั้งสองข้าง
แม่นมไช่ยื่นมือหยิบถ้วยขึ้นมา พอได้สัมผัสกับถ้วยชาก็ถึงกับแล้วอ้าปากค้าง และตะเบ็งเสียงแข็ง “บังอาจ! เจ้าจะลวกลิ้นไท่เฟยหรือไร! ”
“ข้าฉันมิบังอาจเจ้าค่ะ!” นางกำนัลตัวน้อยตกใจจนเข่าทรุด จนชาในถ้วยเกิดพลาดเหวี่ยงออกและกระเซ็นไปทั่วมือของนางจนหลังมือเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที
จิ้งไท่เฟยเอ่ยกับแม่นมไช่เบาๆ “ช่างเถอะ นางไม่ได้ตั้งใจ นางยังเด็ก เจ้าแค่สอนนางมากกว่านี้ก็พอ ส่วนเจ้า ลุกขึ้นได้แล้ว”
“ขอบพระทัยจิ้งไท่เฟยเป็นอย่างยิ่งเพคะ! ” นางกำนัลตัวน้อยรู้สึกขอบคุณและลุกขึ้นยืนอย่างหวาดกลัวตัวสั่น
“วางลงเถอะ” จิ้งไท่เฟยเอ่ยพลางมองไปที่ถ้วยชาในมือของนางกำนัล
“เพคะ!” นางกำนัลตัวน้อยวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ
“ไหนข้าขอดูมือของเจ้าซิ” จิ้งไท่เฟยเอ่ยกับนางกำนัล
นางกำนัลหดมือไพล่หลัง “หม่อมฉันมิบังอาจให้ท่านทรงเห็นภาพที่ไม่เหมาะสมเจ้าค่ะ!”
“ยื่นมาให้ข้าดูหน่อย” จิ้งไท่เฟยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเมตตา
“…เจ้าค่ะ” นางกำนัลก้มศีรษะลงและยื่นมือออกมาอย่างกระวนกระวาย
จิ้งไท่เฟยมององไปที่หลังมือของนางแล้วเอ่ย “โดนลวกจนผิวแดงไปหมด เจ้ากลับไปพักก่อนเถอะ อย่าลืมทาขี้ผึ้งด้วยล่ะ” จิ้งไท่เฟยชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอะไรต่อ “อ้อ ข้าเกือบลืมไปว่านี่ไม่ใช่สำนักแม่ชี พวกเจ้าไม่น่าจะมีขี้ผึ้งติดตัวไว้สินะ แม่นมไช่ช่วยพานางไปที่ห้องของข้าและหยิบขวดขี้ผึ้งสำหรับทาแผลน้ำร้อนลวกที”
แม่นมไช่ยิ้มให้ “จิ้งไท่เฟยช่าเมตตาแท้เพคะ”
“ขอบพระทัยเป็นอย่างยิ่งเพคะ” นางกำนัลคุกเข่าแล้วก้มหัวขอขมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สตรีในราชสำนักและขันทีที่เห็นฉากนี้ต่างพากันรู้สึกว่าจิ้งไท่เฟยนั้นช่างเป็นพระสนมที่ใจดีจริงๆ พระองค์ทั้งทรงกินอาหารมังสวิรัติและท่องพระพุทธเจ้ามาหลายปีราวกับพระโพธิสัตว์ ไม่แปลกที่พวกเขาจะรู้สึกว่าจิ้งไท่เฟยนั้นเข้าถึงง่ายกว่าจวงไทเฮา
ถ้าเป็นที่ตำหนักเหรินโซ่วละก็ พวกเขาไม่รู้ว่าวันไหนจะต้องถูกตัดหัวทิ้งหากเผลอทำให้ไทเฮาทรงกริ้วเข้า
แม่นมไช่พานางกำนัลออกไปจากตรงงั้น
ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงที่จิ้งไท่เฟยนั่งอยู่ เซียวลิ่วหลังกำลังพูดกับกู้เจียว “ข้ารู้สึกไม่สบายท้อง ขอไปห้องน้ำก่อน เจ้ารอข้าที่นี่นะ… อ้อ เดี๋ยวก่อน เจ้าไม่ต้องรอข้าหรอก เจ้าไปที่ตำหนักเหรินโซ่วก่อนเลย เสร็จแล้วเดี๋ยวตามไป”
กู้เจียวหันไปมองจิ้งไท่เฟย สลับกับหันมาทางเซียวลิ่วหลัง ก่อนจะพยักหน้าให้เขา
เซียวลิ่วหลังทั้งเม้มปากและยิ้มมุมปาก “เช่นนั้นข้าไปก่อนล่ะ”
กู้เจียวส่งสายตาให้เขาประมาณว่าให้รีบไปโดยเร็ว
เซียวลิ่วหลังที่ถูกภรรยาไล่ “…”
เซียวลิ่วหลังเดินไปทางห้องน้ำก็จริง แต่เขาไม่ได้จะเข้าไปที่ห้องน้ำจริงๆ
เขาเดินไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ และมาหยุดอยู่ตรงบริเวณที่เขาแน่ใจแล้วว่าจะไม่มีใครผ่านไปมา จากหยิบขลุ่ยไม้ไผ่ออกมาจากแขนเสื้อของเขา
เขารู้เรื่องที่มีคนลอบสังหารกู้เจียวรวมถึงเรื่องทีเกิดขึ้นที่ตำหนักฮว๋าชิงจากจี้จิ่วอาวุโสแล้ว และรู้ว่าจิ้งไท่เฟยมีองครักษ์หลงอิ่งของฮ่องเต้คอยคุ้มกันอยู่ข้างๆ
มีบางอย่างที่แม้แต่ฮ่องเต้และจี้จิ่วอาวุโสเองก็ยังไม่รู้ นั่นก็คือจักรพรรดิองค์ก่อนก็ได้ส่งต่อองครักษ์หลงอิ่งให้คอยคุ้มกันองค์หญิงซิ่นหยางด้วยเช่นกัน
เซียวลิ่วหลังทำสมาธิให้มั่น ก่อนจะลงมือเป่าขลุ่ยไม้
ทันใดนั้น ร่างสีดำพร้อมกับดาบยาวที่กำลังยืนพิงต้นไม้และหลับตาเพื่อพักผ่อนก็ได้ลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงขลุ่ย เขากำดาบยาวไว้ในมือด้วยสีหน้าแน่วแน่ ก่อนจะพุ่งตัวไปตามเสียงขลุ่ย!
ที่ศาลา มีเพียงจิ้งไท่เฟยและขันทีนางในเพียงไม่กี่คน
“พวกเราไปเด็ดดอกไม้สวยๆ มาให้จิ้งไท่เฟยดีไหม” หนึ่งในนางในเอ่ยขึ้น
“ก็ดีนะ”
จิ้งไท่เฟยพยักหน้า “พวกเจ้าไปกันเถอะ รีบไปรีบกลับล่ะ ฟ้าจะมืดแล้ว”
“เจ้าค่ะ!”
นางในและขันทีสี่คนเดินลงบันใดแล้วมุ่งหน้าไปยังสวนดอกไม้
พื้นที่รอบๆ บริเวณสวนดอกไม้นั้น มีทหารคอยคุ้มกันอยู่
ฉึบ!
ทหารคนแรกหายไป
ฉึบ!
ตามมาด้วยทหารคนที่สอง
ฉึบฉึบฉึบ!
ตอนนี้ไม่เหลือทหารแม้แต่คนเดียว!
จิ้งไท่เฟยสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ครั้นจะหันไปมอง แต่รู้ตัวอีกทีก็มีถุงกระสอบใหญ่ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของนาง!
จิ้งไท่เฟยที่ไหวตัวทันจึงรีบดีดเข็มพิษใส่ไปทางกู้เจียว!
บ้าจริง!
นางงูพิษ!
โชคดีที่กู้เจียวเตรียมพร้อมอย่างดีจึงหลบได้ทัน ก่อนจะคว้ากระบอกเข็มแล้วเล็งเข้าไปที่ต้นขาและแขนของอีกฝ่าย!
จิ้งไท่เฟยยังไม่ทันจะเอ่ยอะไร ก็ล้มลงไปด้วยฤทธิ์ของยาพิษ