บทที่ 337 เล่นงานนาง (1)
ทางด้านยอดฝีมือที่ถูกเสียงขลุ่ยล่อมา ใช้วิชาตัวเบามายังหลังภูเขาจำลองที่เซียวลิ่วหลังอยู่
เขาสวมหน้ากาก เผยแค่เพียงดวงตาเย็นชาเลือดเย็นเสียยิ่งกว่ามือสังหารทั่วไป
เขาโรยตัวลงมาตรงหน้าเซียวลิ่วหลังอย่างมั่นคง ก่อนพินิจมองเซียวลิ่วหลังตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า
ตอนเด็กๆ เซียวลิ่วหลังเคยเห็นองค์หญิงซิ่นหยางใช้เสียงขลุ่ยเรียกหน่วยกล้าตายของฮ่องเต้พระองค์ก่อนมาโดยใช้บทเพลงเมื่อครู่นี้
แถวนี้ไม่มีใครอื่นอยู่เลย เสียงเพลงของเขาไม่ได้ดังด้วยซ้ำ น่าจะมีเพียงหน่วยกล้าตายของฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่ได้ยิน
แรกเริ่มค่อนข้างกังวลว่าตัวเองเป่าผิดหรือไม่ แต่ดูท่าแล้วจะไม่ผิด
เพียงแต่เพราะเหตุใดจึงมีเขาแค่คนเดียวล่ะ หรือว่าคนอื่นๆ ที่เหลือไม่อยู่ในวังหลวงแล้ว
หน่วยกล้าตายของฮ่องเต้พระองค์ก่อนในความทรงจำของเขาสวมหน้ากากเช่นนี้ บนร่างมีไอสังหารน่ากลัวเช่นเดียวกัน
พวกเขาไม่สังหารคนที่อยู่นอกเหนือภารกิจ โดยเฉพาะคนที่ไร้วรยุทธ์ เว้นเสียแต่ว่าตอนกำลังทำภารกิจอยู่จะโดนขัดขวางจากอีกฝ่าย
เซียวลิ่วหลังเข้าใจ ขอแค่ตัวเองไม่กระทำการใดที่แสดงการท้าทาย อีกฝ่ายก็จะไม่มีทางลงมือกับตนแน่นอน
แววตาเขาฉงนสงสัยและสนใจใคร่รู้มาก
เซียวลิ่วหลังปล่อยให้อีกฝ่ายพินิจมองได้อย่างใจกว้าง
ทันใดนั้น คล้ายว่าเพื่อยืนยันบางอย่าง เซียวลิ่วหลังจึงเอ่ยกับเขา “รบกวนช่วยเอาใบไม้ออกจากหัวข้าได้หรือไม่”
คนผู้นั้นกลับเดินจากไปโดยไม่หันกลับมา!
เซียวลิ่วหลังถอนหายใจ
เดิมทีแอบคิดว่าโชคดีอยู่ในใจ เขาเป่าเพลงเรียกอีกฝ่ายมาหาได้ ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้อีกฝ่ายเชื่อฟังได้ ดูท่าแล้วเขาจะคิดมากเกินไป
หน่วยกล้าตายที่องค์หญิงซิ่นหยางสามารถควบคุมได้ในตอนนั้น ไม่ใช่เพราะเพลงบทนี้ แต่เพราะนางเป็นเจ้านายใหม่ที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนส่งต่อพวกเขาให้ต่างหาก
หน่วยกล้าตายคนนี้ได้ยินเพลงคงจะนึกว่าเจ้านายเดิมเรียกเขา แต่เมื่อเขาเร่งรุดมาถึงพบว่าตนไม่ใช่ฮ่องเต้พระองค์ก่อน และไม่ใช่ฝ่าบาทด้วย จึงได้หันหลังเดินหนีไป
เอาละ เขาทำได้แค่ถ่วงเวลาออกไปได้เท่านี้แหละ
กู้เจียวลากตัวคนเข้ามาในห้องมืดแสนคับแคบใกล้กับสระไท่เยี่ย เพิ่งจะโยนคนเข้าไป ยังไม่ทันใช้หมัดน้อยทรงพลังดุจหิมะของตัวเองเลย บรรยากาศน่ากลัวอันคุ้นเคยก็บีบคั้นเข้ามาหา
โอ๊ะ!
กลับมาไวถึงเพียงนี้เชียวรึ!
นางยังไม่ทันเริ่มชกเลยนะ!
หนิวฮู่ลู่กู้เจียวเกาหัวตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย นางหิ้วกระสอบขึ้น ก่อนจะยกขาวิ่งเข้าไปในสระไท่เยี่ย
จากนั้นนางก็วิ่งเผ่นแนบหนีไปเลย
ในที่สุดบรรดานางกำนัลในสวนหลวงก็พบว่าจิ้งไท่เฟยหายตัวไป พวกนางรีบพากันตามหาจนทั่ว สุดท้ายเรื่องก็ไปถึงหูฮ่องเต้
พอฮ่องเต้รีบเสด็จมาจากห้องทรงอักษรจิ้งไท่เฟยก็ถูกหน่วยกล้าตายคนนั้นช่วยขึ้นมาจากน้ำ แล้วพากลับมาที่ห้องบรรทมของตำหนักฮว๋าชิง
“เสด็จแม่!”
ฮ่องเต้เสด็จไปตำหนักฮว๋าชิงด้วยความร้อนรน พระองค์ตรงไปยังห้องบรรทมของจิ้งไท่เฟย แต่ถูกแม่นมไช่ขวางไว้ด้านนอก “ช้าก่อนเพคะฝ่าบาท! ไท่เฟยกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่!”
ฮ่องเต้ตรัสอย่างร้อนรน “เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดจู่ๆ เสด็จแม่จึงหายตัวไปได้”
แม่นมไช่เอ่ยด้วยความเสียใจและตกใจ “คือว่า…ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก รออีกเดี๋ยวถามไท่เฟยแล้วจะมาทูลฝ่าบาทนะเพคะ!”
ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเย็น “เหตุใดเจ้าไม่รู้ ไม่ใช่ว่าเจ้าอยู่รับใช้ข้างกายเสด็จแม่ตลอดหรอกหรือ”
แม่นมไช่เอ่ยอย่างกล้ำกลืน “เดิมทีบ่าวอยู่รับใช้ข้างกายไท่เฟยเพคะ แต่จากนั้นนางกำนัลน้อยคนหนึ่งไม่ทันระวังทำน้ำแกงลวกมือ ไท่เฟยทรงเมตตาจึงให้บ่าวพานางกลับไปทายาที่ตำหนักฮว๋าชิง บ่าวไหนเลยจะคิดว่าพอบ่าวออกไปได้ไม่นานไท่เฟยก็จะตกน้ำแล้ว”
“ตกน้ำอย่างนั้นรึ” ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว
ด้านในมีเสียงร้องเจ็บปวดจากจิ้งไท่เฟย แม่นมไช่รีบเอ่ยทันที “ไท่เฟยเปียกชุ่มไปทั้งร่าง! บ่าวเข้าไปรับใช้ไท่เฟยก่อนนะเพคะ ทูลลาเพคะ”
แม่นมไช่หันหลังเดินเข้าไปในห้องบรรทมของจิ้งไท่เฟย
เพียงไม่นานหมอหลวงก็มา หมอหลวงกำลังจะคำนับให้ฮ่องเต้ แต่ฮ่องเต้โบกมืออย่างรำคาญ “ยังไม่รีบเข้าไปอีก!”
หมอหลวงตกใจจนตัวสั่น รีบหิ้วกระเป๋ายาเข้าไป
ฮ่องเต้รออยู่นอกห้องบรรทมอย่างร้อนใจเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วยาม จิ้งไท่เฟยจึงได้ตรวจเรียบร้อย
“ฝ่าบาท” แม่นมไช่ขอบตาแดงก่ำเดินออกมาเชิญฮ่องเต้เข้าไป
ฮ่องเต้รีบสาวเท้าไปยังหน้าเตียง ก่อนนั่งลงข้างเตียงมองจิ้งไท่เฟยที่นั่งอยู่บนหัวเตียง สีหน้านางซีดขาว จมูกช้ำหน้าบวม ซ้ำศีรษะยังมีผ้าบางผืนใหญ่พันเอาไว้จนรอบด้วย หัวใจพลันปวดแปลบขึ้นมา
พระองค์หันมองแม่นมไช่อย่างเย็นชา “ไหนบอกว่าตกน้ำอย่างไรเล่า เหตุใดจึงบาดเจ็บได้!”
ซ้ำยังบาดเจ็บหนักเช่นนี้ด้วย!
นี่มันบาดแผลทั้งหมดเสียที่ไหน แค่เศษเสี้ยวเดียวเท่านั้น
แม้ว่ากู้เจียวจะไม่ทันได้ลงมือ แต่ระหว่างทางที่ลากนางเข้าไปในห้องมืดอันคับแคบนั่น ศีรษะจิ้งไท่เฟยโขกกับบันไดเจ็ดแปดหน ก้นกระแทกพื้นหินอ่อนอีกร้อยแปดสิบที กระสอบเสียดสีจนทะลุหมดแล้ว กางเกงก็ถูไถจนเป็นรูเลยด้วยซ้ำ! แผลถลอกปอกเปิกไปหมด
หัวเข่ากระแทกไปสามครั้ง แขนก็ชนไปห้าครั้ง บั้นเอวสูงวัยถูกกระแทกหลายสิบหน…
นางอายุอานามมากแล้วเจ็บหนักขนาดนี้ หากมิใช่ว่ามีวรยุทธ์คงได้ตายแน่แล้ว
ทว่าต่อให้มีวรยุทธ์ก็ยังบาดเจ็บเสียหนักเช่นนี้อยู่ดี
นางขยับตัวไม่ได้เลยสักนิด ทั่วร่างเจ็บระบมไปหมด
แม่นมไช่โผตัวเข้าไปใกล้พลางคุกเข่าลง เอ่ยอย่างสะอึกสะอื้น “บะ…บ่าวก็นึกว่าแค่ตกน้ำเฉยๆ…บ่าว…”
จิ้งไท่เฟยเอ่ยอย่างอ่อนแรง “ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแม่นมไช่ ฝ่าบาทอย่าเคืองนางเลย”
ยามนี้ความอ่อนแรงของนางไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำอีกแล้ว
นางอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจริงๆ แทบจะล้มลงได้ตลอดเวลา
“พวกเจ้าออกไปก่อนไป” จิ้งไท่เฟยบอกกับแม่นมไช่และนางกำนัลภายในห้องนอน
พวกแม่นมไช่มองฮ่องเต้กันด้วยความกระวนกระวาย กลัวว่าพระองค์จะลงโทษพวกตน ฮ่องเต้โบกมืออย่างเย็นชา ทุกคนจึงพากันออกไปอย่างโล่งใจ
“เหตุใดครานี้นางกำนัลจึงไร้ประโยชน์เช่นนี้” ฮ่องเต้กัดฟันบ่น
จิ้งไท่เฟยยกแขนที่ปวดร้าวเหมือนจะขาดจากกันขึ้นวางบนหลังมือฮ่องเต้แผ่วเบา ก่อนส่ายหน้าเอ่ย “พวกนางไม่เกี่ยวด้วย อีกฝ่ายแข็งแกร่งมากต่างหาก”
ฮ่องเต้ถาม “พวกหน่วยกล้าตายกับองครักษ์ลับที่เราทิ้งไว้ให้เสด็จแม่ล่ะ”
จิ้งไท่เฟยเอ่ยตอบ “หน่วยกล้าตายถูกล่อไปที่อื่น องครักษ์ลับก็ถูกเล่นงานจนสลบไป”
“นั่นเป็นถึงยอดฝีมือของวังหลวงเชียวนะ!” ฮ่องเต้ตกใจ “ใครกันที่เก่งกาจได้ถึงเพียงนี้”
จิ้งไท่เฟยส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนั้นข้ารู้สึกว่ามันแปลกๆ แต่ข้ายังไม่ทันเห็นหน้าตาของอีกฝ่าย ก็ถูก…อีกฝ่ายทำร้ายแล้ว” นางกระดากปากที่จะพูดว่าถูกเอากระสอบคุมหัว น่าขายหน้านัก “คนผู้นั้นพาข้าไปแถวๆ สระไท่เยี่ย หากไม่ได้หน่วยกล้าตายที่รีบกลับมาขู่ขวัญให้คนผู้นั้นหนีไป ข้าอาจจะตายแล้วก็ได้ ซ้ำคนผู้นั้นยังรู้จักโยนข้าลงน้ำเสียด้วย บีบให้หน่วยกล้าตายจำต้องลงน้ำมาช่วยข้า แบบนั้นแล้วเขาจึงหนีเอาตัวรอดไปได้”
“ช่างชั่วร้ายนัก…ชั่วร้ายนัก!” ฮ่องเต้กำหมัดแน่น โมโหเสียจนตัวสั่น