ตอนที่ 452 สามพี่น้องเยี่ยมเยือนถึงบ้าน
เสียงหัวเราะแห่งความสุขบนโต๊ะอาหารหยุดลงในทันใด
คุณย่าฟางชักสีหน้าพูด “น่าผิดหวังจริงๆ พวกเขาดันมาตอนกินข้าวเสียได้!” จากนั้นจึงให้ฟางจั๋วเยวี่ยไปเปิดประตู
ฟางจั๋วเยวี่ยพาอาหวงออกจากวิลล่าอย่างไม่มีทางเลือก
เมื่อเห็นนอกประตูรั้วไม่เพียงมีแค่ฟางเว่ยกั๋วสามีภรรยาเท่านั้น ยังมีคนในครอบครัวของฟางเว่ยหมินและฟางเว่ยตั่งทั้งสองบ้านมาอีกด้วย
คนในครอบครัวของฟางเว่ยหมินกับฟางเว่ยตั่งนั้นไม่รู้ว่าพวกคุณย่าฟางผู้อาวุโสทั้งสองย้ายมาอยู่ในเมืองแล้ว
เป็นหวังเหวินฟางนั่นเองที่บังเอิญพบฟางจั๋วเยวี่ยและคุณปู่ฟางทั้งสองผู้อาวุโสที่ภัตตาคารอ้ายฉินไห่แล้ว จึงกลับไปบอกเรื่องนี้กับฟางเว่ยกั๋ว
ฟางเว่ยกั๋วถึงได้รู้ว่าพวกคุณย่าฟางผู้อาวุโสทั้งสองได้มาอยู่ในเมืองแล้ว
เขาคิดว่าพ่อแม่ของเขามาอยู่ในเมืองแล้วจะต้องอยู่ที่บ้านของฟางจั๋วหรานแน่
แต่หลังจากไปที่พื้นที่บ้านพักของโรงพยาบาลผู่จี้ที่ฟางจั๋วหรานอยู่แล้วรอบหนึ่ง ฟางเว่ยกั๋วจึงเพิ่งรู้ว่าลูกชายคนโตย้ายไปอยู่วิลล่าหลังใหญ่ที่แม่แท้ๆ ของเขาทิ้งเอาไว้ให้นานแล้ว และยังอยู่ด้วยกันกับคุณปู่ฟางสองผู้อาวุโสอีกทั้งฟางจั๋วเยวี่ยอีกด้วย
สองสามีภรรยาฟางเว่ยกั๋วรู้ว่าพ่อแม่ไม่อยากเจอพวกเขา
ถ้าผู้อาวุโสทั้งสองยังอยู่ในชนบท พวกเขายังสามารถยุ่งอยู่กับงาน ไม่ไปเยี่ยมเยียนผู้อาวุโสทั้งสองด้วยข้ออ้างว่าหนทางยาวไกลได้
แต่ตอนนี้ ทั้งสองท่านมาอยู่ในเมืองแล้ว นอกจากนี้ยังอยู่ไม่ไกลจากบ้านของพวกเขาด้วย
หากเขาสองสามีภรรยาไม่มาเยี่ยมผู้อาวุโสทั้งสองถึงบ้าน จะถูกคนประณามเอาได้
โดยเฉพาะคุณปู่ฟางที่ไม่ใช่ข้าราชการบำนาญทั่วไป แต่เป็นถึงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ปลดเกษียณ
ในที่ทำงานของเขาสองสามีภรรยานั้นต่างก็มีเจ้านายไม่ใช่น้อยๆ
ฟางเว่ยกั๋วนั้นเป็นหัวหน้าในองค์กรรัฐวิสากิจขนาดใหญ่ หากมีข่าวลือว่าอกตัญญูไม่รู้คุณพ่อแม่ออกไป จะมีผลกระทบอย่างมากต่อตำแหน่งหน้าที่ของเขา
ดังนั้นการมาเยี่ยมเยียนผู้อาวุโสถึงบ้านจึงเป็นเรื่องจำเป็น
เพื่อหลีกเลี่ยงการไม่ถูกต้อนรับจากเจ้าบ้าน ฟางเว่ยกั๋วจึงลากครอบครัวของน้องชายทั้งสองมาด้วยกัน
เมื่อนั้นครอบครัวของฟางเว่ยตั่งถึงเพิ่งรู้ว่าคุณปู่ฟางผู้อาวุโสทั้งสองมาอยู่ในเมืองแล้ว
ฟางจั๋วเยวี่ยลูบหน้าตัวเองแล้วฉีกยิ้ม เขาทักทายอาชายทั้งสองไปพลางเดินเข้าไปเปิดประตูรั้ว
หวังเหวินฟางเห็นลูกชายของตนทักทายใครไปทั่ว แต่ไม่สนใจเพียงพวกหล่อนสองสามีภรรยา ทันใดนั้นหล่อนก็ฟาดฝ่ามือลงบนตัวฟางจั๋วหรานอย่างแรงทีหนึ่ง “เจ้าลูกคนนี้ ทำไมเห็นฉันกับพ่อแกแล้วแม้แต่ทักก็ยังไม่ทักสักคำฮะ?”
อาหวงเห็นฟางจั๋วเยวี่ยถูกตี จึงรีบเห่าใส่หวังเหวินฟางอย่างดุร้าย
ฟางจั๋วเยวี่ยรีบยับยั้งมันเอาไว้ จากนั้นเอ่ยเรียกขึ้นอย่างขอไปที “พ่อครับ แม่ครับ”
ฟางเว่ยกั๋วเอ่ยตำหนิ “ปู่กับย่าของแกย้ายมาอยู่ในเมืองแล้ว แกก็ไม่บอกพวกเราเลยสักคำ แล้วนี่ปู่กับย่าแกมาอยู่ในเมืองตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ฟางจั๋วเยวี่ยพูดอย่างซื่อตรง “มาอยู่สักพักแล้ว เพราะคุณปู่คุณย่าไม่อยากเจอพวกคุณสองคน ดังนั้นผมเลยไม่กล้าบอกพวกคุณ แต่สุดท้ายพวกคุณก็ยังมาอยู่ดี”
หวังเหวินฟางไม่พอใจ “แกหมายความว่าฉันกับพ่อแกและพวกอาๆ แกไม่ควรมางั้นเหรอ?”
ฟางจั๋วเยวี่ยแอบขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
เขาไม่ชอบแม่แท้ๆ ของตัวเองด้วยเหตุผลใหญ่ๆ อยู่ส่วนหนึ่ง นั่นก็คือหล่อนดัดจริตเป็นดอกบัวขาวมากเกินไป
เดิมทีเขาก็ไม่ได้พูดถึงครอบครัวคุณอาทั้งสองเลย แต่คำพูดของแม่เขากลับจงใจลากพวกคุณอาทั้งสองเข้ามาเกี่ยว นี่คิดจะสร้างความเกลียดชังให้เขาหรืออย่างไร?
ไม่มีแม่แท้ๆ ที่ไหนจะทำแบบนี้กันหรอก
ฟางจั๋วเยวี่ยตอกกลับ “ผมได้พูดถึงพวกคุณอางั้นเหรอครับ? แม่ลากพวกเขาเข้ามาเกี่ยวด้วยมีเจตนาอะไร? อีกอย่าง คนที่ไม่อยากเจอพวกคุณก็คือคุณปู่คุณย่า คุณจะมาโมโหใส่ผมทำไม?”
ครอบครัวของฟางเว่ยตั่งนั้นโกรธแค้นหวังหรงและสองสามีภรรยาฟางเว่ยกั๋วอยู่แล้ว
เมื่อได้ยินคำพูดของฟางจั๋วเยวี่ย หยางโร่วหลันจึงพูดกับหวังเหวินฟางอย่างประชดประชัน “ดั่งว่าไม่ใช่พวกเดียวกัน ย่อมไม่รวมหัวกันเสียจริง ตอนแรกหวังหรงหลานสาวของคุณหลอกใช้ถิงถิงของเรา ตอนนี้คุณก็คิดจะหลอกใช้พวกเราเป็นเครื่องมืออีก คนสกุลหวังอย่างพวกคุณนี่หน้าขาวใจทรามกันหมดเลยอย่างนั้นเหรอ?”
ฟางเว่ยตั่งตบไหล่ของฟางจั๋วเยวี่ยเบาๆ “วางใจเถอะ พวกเราไม่เข้าข้างแม่เธอหรอก”
ฟางเว่ยกั๋วขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ แล้วพูดกับหยางโร่วหลัน “คุณบอกว่าใครหน้าขาวใจทราม?”
ฟางเว่ยตั่งชิงพูดตัดหน้าภรรยาของตน “ก็เมียพี่ไง! เสียดายที่พี่เป็นถึงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ภาษาคนก็ยังฟังไม่ออกเหรอครับ?”
พี่ชายน้องชายทั้งสองคุยกันไม่ถูกคอก็ทะเลาะกันขึ้นมา
ฟางเว่ยหมินเห็นว่าจะเดินมาถึงหน้าประตูวิลล่าแล้ว หากพวกเขาสองคนยังคงทะเลาะกันต่อไป คุณปู่คุณย่าฟางคงต้องได้ยินแน่
ดังนั้นจึงพูดเกลี้ยกล่อม “อย่าทะเลาะกันเลยน่า เดี๋ยวพ่อกับแม่ได้ยินแล้วจะโมโหขึ้นมาอีก”
เมื่อนั้นฟางเว่ยกั๋วกับฟางเว่ยตั่งจึงหยุดปาก
กลุ่มคนทั้งหมดเข้ามาในบ้าน คุณย่าฟางกวาดตามองคนในครอบของลูกชายทั้งสามรอบหนึ่ง แล้วถามอย่างเย็นชา “พวกแกมาทำอะไร?”
ฟางเว่ยกั๋ววางของขวัญในมือลงบนโต๊ะน้ำชา ก่อนเอ่ยพลางยิ้มประจบ “ก็มาเยี่ยมพ่อกับแม่ไงครับ”
คุณปู่ฟางโบกมือไปมา “เอาล่ะ ในเมื่อพวกแกก็ได้เราเจอแล้ว งั้นก็หิ้วของของตัวเองแล้วรีบไปซะ พวกเรายังต้องกินข้าวกันอีก!”
หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน ผู้อาวุโสฟางทั้งสองคงตั้งตารอให้ลูกๆ มาเยี่ยมเยียนพวกเขาอยู่บ้าง
แต่ตอนนี้ได้อยู่กับฟางจั๋วหรานหลานชายทั้งสอง และโต้วโต้วที่คอยทำให้พวกเขามีความสุขอีก ทั้งยังมีหลินม่ายที่มาทำอาหารเลิศรสให้พวกเขาอยู่ทุกวันด้วย
ทุกวันนี้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายใจไม่รู้เท่าไร จึงไม่ได้คาดหวังถึงลูกชายอกตัญญูสองสามคนนี่ไปตั้งนานแล้ว
คุณปู่ฟางไล่พวกเขากลับไปเหมือนกับไล่แมลงวันอย่างนั้น ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย
คุณย่าฟางซ้ำเติม “ไปเร็วๆ เข้า อย่ามาทำลายความอยากอาหารของฉัน!”
สามพี่น้องฟางต่างมีสีหน้าอึดอัดทำตัวไม่ถูก ไม่คิดว่าพ่อแม่จะไม่แยแสพวกเขาแล้ว
ก่อนหน้านี้เมื่อพวกเขามาเยี่ยมเยียนพ่อแม่ พ่อกับแม่ก็มักจะทำอาหารอร่อยๆ มากมายไว้ต้อนรับ แต่พวกเขากลับไม่รู้สำนึกในบุญคุณเลย
ตอนนี้พ่อแม่กลับมีท่าทางเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ทำให้พวกเขาไม่สบายใจอย่างยิ่ง
ฟางเว่ยกั๋วพูดตะกุกตะกัก “พวกเราเพิ่งมาพ่อกับแม่ก็ไล่พวกเราไป….”
คุณปู่ฟางถลึงตา “ทำไม? พวกแกมาแล้วฉันกับแม่แกต้องต้อนรับขับสู้ให้พวกแกอย่างดีด้วยหรือไง?”
คุณย่าฟางโมโหจนไปหยิบตะหลิวมาจากในห้องครัว “ถ้าพวกแกยังไม่ไป ฉันจะเอาตะหลิวฟาดพวกแกซะ!”
ฟางเว่ยหมินและฟางเว่ยตั่งวางของขวัญให้มือลง แล้วรีบพูดขึ้นไม่หยุด “พ่อครับ แม่ครับ พวกท่านอย่าเพิ่งโมโหเลย พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้ครับ” พูดจบทั้งหมดก็จากไปทันที
พวกเขาก็แค่ถูกฟางเว่ยกั๋วเรียกมาเสริมบารมี ไม่ได้ตั้งใจจะมาทำให้ผู้อาวุโสทั้งสองขุ่นเคือง
ฟางถิงไม่ค่อยอยากไปนัก หล่อนยังอยากจะพูดคุยกับหลินม่ายสักสองสามคน ไม่อย่างนั้นหล่อนเองคงไม่ตามพ่อแม่มาเยี่ยมปู่กับย่าหรอก
แต่พ่อแม่กับพี่ชายต่างก็ไปแล้ว หล่อนเองก็คงอยู่ต่อไม่ได้ ได้แต่เดินไปอย่างละล้าละลังอยู่อย่างนั้น
ครั้นครอบครัวของพวกฟางเว่ยตั่งสองพี่น้องต่างก็ไปหมดแล้ว ฟางเว่ยกั๋วสองสามีภรรยาเองก็ไม่กล้าอยู่ต่อไป จึงเตรียมที่จะจากไปเช่นกัน ทว่าคิดอยากจะพาฟางจั๋วเยวี่ยไปด้วย
แต่ให้ตายฟางจั๋วเยวี่ยก็ไม่ยอมไป ฟางเว่ยกั๋วสองสามีภรรยาจึงได้แต่จากไปอย่างคับแค้นใจ
แม้จะถูกพวกฟางเว่ยกั๋วแขกที่ไม่ได้รับเชิญมารบกวน แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลต่ออารมณ์ของทุกคน ทุกคนได้กินอาหารเย็นมื้อนี้กันอย่างเอร็ดอร่อยเต็มที่ ใบหน้าของแต่ละคนนั้นประดับด้วยรอยยิ้ม
หากแต่หวังหรงกลับยิ้มไม่ออก
หลังจากถูกกวนหย่งไล่ลงรถ หล่อนก็กลับมาที่บ้านด้วยอาการหน้านิ่วคิ้วขมวด
พ่อหรงแม่หรงและคุณย่าหวังเห็นหล่อนก็มารุมล้อมทันที ไม่มีใครถามถึงผลแพ้ชนะคดี แต่แย่งกันถามว่าหล่อนได้ขอบ้านจากกวนหย่งหัวมาแล้วหรือยัง
หวังหรงหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟา พูดด้วยอารมณ์ไม่ดีนัก “พี่กวนเขาแพ้คดี ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าจะยังซื้อบ้านให้พวกเราอีกไหม…”
พวกคุณย่าหวังทั้งสามคนค่อนข้างประหลาดใจ
โดยเฉพาะแม่หรง หล่อนพูดโพล่งขึ้นมาทันที “คุณกวนเขาแพ้คดีเหรอ? เขาแพ้คดีได้ยังไงกัน? เดิมที Unique ของนังสารเลวนั่นลอกเลียนแบบซีม่านของคุณกวนก่อน แล้วทำไมศาลถึงตัดสินให้คุณกวนแพ้คดีได้?”
หวังหรงถอนหายใจยาว แล้วบอกพวกเขาว่า ความจริงแล้วซีม่านต่างหากที่เลียนแบบ Unique
แม่หรงตกตะลึงอยู่นานถึงได้สติกลับมา พลันถาม “งั้นรู้อยู่แล้วหรือเปล่าว่าซีม่านลอกเลียนแบบ Unique?”
หวังหรงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้า
แม่หรงระเบิดออกมาทันใด “ในเมื่อแกรู้ความจริงอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ห้ามไม่ให้ฉันไปใส่ความ Unique ของนังสารเลวนั่นต่อหน้าสาธารณะกันล่ะ?”
หวังหรงพูดอย่างร้อนตัว “หนูเห็นว่าพี่กวนจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว นึกว่าจะต้องชนะอย่างแน่นอน จึงไม่ได้ห้ามไว้ ก็เพราะคิดจะให้แม่สร้างคุณงามความดีต่อหน้าพี่กวนเอาไว้ ตอนที่ชนะคดีแล้ว จะได้ช่วยให้แม่เอาผลประโยชน์จากพี่กวนมาง่ายๆ นี่นา~”
แม่หรงสองตาแข็งทื่อ พลันทรุดนั่งลงบนโซฟา ทำท่าทางราวกับโลกจะแตก พูดอย่างหวาดหวั่น “จบเห่แล้ว ไปยั่วโมโหนังนั่นเข้าแล้ว ไม่รู้ว่าหล่อนกับฟางจั๋วหรานจะจัดการกับฉันยังไง~”
พ่อหรงพูดอย่างดูแคลน “พวกเขาจะจัดการอะไรคุณได้? อย่างมากก็แค่ฟ้องร้องพวกเราฐานหมิ่นประมาท ถึงขั้นนั้นจริงๆ ให้คุณกวนช่วยจัดการให้ก็ได้ คุณใส่ร้ายป้ายสีนังสารเลวนั่นกับ Unique ของหล่อนต่อหน้าสาธารณชนก็เพื่อคุณกวนไม่ใช่หรือไง เขาคงไม่นิ่งดูดายหรอก”
เมื่อนั้นแม่หรงถึงเบาใจขึ้นมาเล็กน้อย แล้วเป็นกังวลถึงบ้านขึ้นมาอีกในทันที “ตอนนี้เหลืออีกไม่กี่วันก็จะถึงวันชาติแล้ว ถ้ายังไม่ได้บ้านมาอยู่ในมือแล้วจะทำยังไง?”
พวกเขาทั้งครอบครัวโอ้อวดกับเพื่อนพ้องญาติพี่น้องไว้ตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว ว่ากวนหย่งหัวจะซื้อบ้านให้พวกเขา
ถึงตอนนั้นถ้าไม่ได้ซื้อบ้านให้พวกเขา ญาติพี่น้องพวกนั้นจะต้องนินทาหัวเราะเยาะพวกเขาลับหลังแน่!
เมื่อทุกคนได้ยินคำถามนี้ ต่างก็หมดหนทาง
แม่หรงด่าทอต่อว่าหลินม่ายด้วยความหงุดหงิด
ถ้าหากไม่ใช่เพราะหลินม่ายชนะคดี ตอนนี้กวนหย่งหัวก็คงซื้อบ้านให้พวกเขาแล้ว
พ่อหรงขมวดคิ้ว พ่นควันบุหรี่ แล้วพูดกับแม่หรงด้วยความรำคาญ “คุณเอาแต่ด่าอยู่ในบ้านแล้วจะมีประโยชน์อะไร? นังสารเลวนั่นก็ไม่สะทกสะท้านหรอก ยังมีชีวิตสุขสบายอยู่ดี!”
เมื่อนั้นแม่หรงถึงหยุดปากด่าหลินม่ายด้วยความโกรธเกรี้ยว แล้วหันไปพูดกับหวังหรง “เสื้อผ้าของนังนั่นขายดิบขายดี ก็เพราะราคาต่ำกับกิจกรรมลดราคาไม่ใช่เหรอ? แกให้คุณกวนลดราคาลงบ้างสิ ไม่ต้องลดมากนักหรอก ขอแค่ถูกกว่าเสื้อผ้าของนังสารเลวนั่นนิดหน่อยก็ได้แล้ว แล้วก็ทำกิจกรรมส่งเสริมการขายด้วย ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะเอาชนะ Unique ไม่ได้!”
หวังหรงถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า “ก็ยังเอาชนะไม่ได้จริงๆ นังนั่นกักตุนสินค้าเอาไว้มากมายก่อนที่ผ้าจะขึ้นราคา ต่อให้มันจะขายในราคาที่ต่ำกว่าเรา ก็ยังได้กำไรอยู่เป็นเท่าตัว แต่ของพี่กวนนั้นไม่เหมือนกัน เสื้อผ้าของเขาแม้จะขายแพง แต่ก็ได้กำไรแค่ประมาณสามสิบเปอร์เซ็นเท่านั้น ถึงจะลดราคาและจัดโปรโมชั่น ก็ยังสู้นังสารเลวนั่นไม่ได้อยู่ดี”
แม่หรงกระวนกระวายเล็กน้อย “งั้นจะทำยังไงล่ะ? หรือว่าจะนั่งมอง Unique ของนังนั่นมันเหยียบซีม่านของคุณกวนไว้ใต้ฝ่าเท้าอยู่เฉยๆ กัน?”
ในตอนนั้นเองพ่อหรงก็พูดขึ้น “ผมมีวิธีการดีๆ อยู่อย่างหนึ่ง ที่สามารถฆ่าเสื้อผ้า Unique ให้ตายได้ในทันที!”
สองแม่ลูกหวังหรงพลันถามด้วยความตื่นเต้นอย่างพร้อมเพรียง “วิธีดีๆ อะไรล่ะ?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ต้องหยุดกตัญญูเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองก่อนนะ
มีวิธีอะไรเหรอ? ไม่ใช่ว่ายกหินทับเท้าตัวเองอีกนะ ม่ายจื่อไปไกลเกินกว่าจะมาตกม้าตายด้วยแผนการของครอบครัวนี้แล้ว
ไหหม่า(海馬)