บทที่ 453 กลับบ้าน

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 453 : กลับบ้าน

บทที่ 453 : กลับบ้าน

หลินเจี๋ยอยู่ในเมืองเขตล่างมาเกือบเดือนแล้ว คุ้นเคยกับทุกคนที่นี่จนพยักหน้าทักทายได้ แต่ช่างน่าเสียดายที่หลินเจี๋ยมักจะเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนอยู่เสมอ ดังนั้นคนเหล่านี้จึงเหมือนไม่รู้จักหลินเจี๋ยตลอดเวลา

นี่เป็นครั้งแรกที่บ้านเต็นท์เก่า ๆ ของเขาถูกผู้คนกีดขวาง ปกติทุกคนที่นี่ไม่ได้ว่างกันขนาดนี้

เร้ดรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี เธอรีบเดินมาข้างหน้า และเมื่อเดินมาถึงข้างฝูงชน เธอก็ได้ยินใครสักคนตะโกนว่า

“เธอมาแล้ว!”

เร้ดชะงักเท้าโดยไม่รู้ตัว แป้งสาสีขึ้นราในมือถูกซ่อนไว้ข้างหลัง เสียงหายใจของเธอกระชั้นเล็กน้อย

สายตาคนนับไม่ถ้วนมองมาที่เร้ดและค่อย ๆ เปิดทางให้เธอ ปรากฏว่าผู้จัดการตัวสูงยืนอยู่หน้าเต็นท์หลังน้อยที่เร้ดกับหลินเจี๋ยอาศัยอาศัยอยู่

กองขยะในบ้านถูกรื้อออกมากองไว้หน้าบ้าน และเต็นท์ก็ถูกถอนออก

ผู้จัดการคือคนที่ติดตามเร้ดมาตลอด เขาถือโซ่ล่ามสุนัขผอมสูงสีดำสองตัว พวกมันเผยเขี้ยวเรียวแหลมราวกับถูกม่านหมอกสีเทาทำให้แปดเปื้อน น้ำลายยืดเป็นเส้นยาวไร้สี

เร้ดอดก้าวถอยหลังไปสองก้าวไม่ได้

ใบหน้าสีเขียวครามของผู้จัดการมีคู่ดวงตาสีทองบ้าคลั่ง และเมื่อเขาเห็นท่าทางกลัว ๆ ของเร้ด เขาก็แย้มยิ้มอย่างโหดร้าย…

เส้นหนวดที่คางของเขายุกยิกหนืดเหนียว มีเศษผักติดอยู่ที่ซอกฟันเหลืองเต็มปาก

“เร้ด ใช่ไหม?” ผู้จัดการถามเสียงพร่า

“ใช่…มีอะไรหรือเปล่าคะ?” เร้ดตอบเสียงต่ำ ศีรษะก้มลง

“ฉันจะพูดดี ๆ ด้วยแล้วกัน ดูเหมือนยายของเธอจะสอนมาดี” ผู้จัดการพูดยิ้ม ๆ และยกมือขึ้น สร้อยเส้นหนึ่งร่วงลงผ่านปลายนิ้ว

ทันทีที่เห็นสร้อยเส้นนั้น ม่านตาของเร้ดก็เหมือนจะหดเท่ารูเข็ม กลืนน้ำลายอย่างแรงสองสามที

“งั้น ยายของเธอสอนไม่ให้ขโมยของด้วยหรือเปล่า?”

“ป…เปล่านะคะ!” เร้ดตัวสั่นเทิ้มเหมือนกระต่ายน้อยหวาดกลัว เธอยกมือขึ้นส่ายอย่างแรง “ไม่ใช่การขโมย ยายของฉันเจอมันตอนกำลังทำเหมืองค่ะ”

“หือ?” ผู้จัดการแสร้งทำหน้าไม่อยากเชื่อ และกล่าวว่า “งั้นเธอไม่รู้เหรอว่าใต้ดินนี้ไม่อนุญาตให้ซุกซ่อนของส่วนตัว?”

“กรร…” สุนัขสีดำทั้งสองส่งเสียงขู่ จ้องเร้ดอย่างหิวกระหาย

“ฉัน…” เร้ดผู้หน้าซีดอ้าปาก แต่ไม่สามารถพูดอะไรได้

สุนัขทั้งสองแทบรอจะฆ่าเร้ดไม่ไหวแล้ว พวกมันเห่าเธอ และเร้ดก็เกือบก้นจ้ำเบ้าอย่างตกใจ

“เธอคงจำบทลงโทษของการลักขโมยและซุกซ่อนของส่วนตัวได้ขึ้นใจแล้วใช่ไหม?” ผู้จัดการกล่าวด้วยรอยยิ้มร้าย และปล่อยโซ่ตรวนในมือ

ดวงตาของเร้ดเหลือกถลน และวินาทีต่อมาก็ใช้เรี่ยวแรงจากไหนไม่รู้คว้าแขนหลินเจี๋ย

“เผ่น…!!”

เธอหิวมาหลายวันแล้ว แต่ยังคงคำรามเสียงดัง คว้ามือหลินเจี๋ยวิ่งได้อยู่

สุนัขทั้งสองวิ่งไวมาก ลิ้นยาว ๆ ของมันแกว่งไปมา ร่างผอมบางจนแทบจะเป็นเส้นตรง

ดูเหมือนว่าเนื่องมาจากมลภาวะ ทุกคนในเมืองเขตล่างจึงมีสมรรถภาพร่างกายแข็งแกร่งกว่าคนในเมืองเขตบน เร้ดคว้าหลินเจี๋ยไว้มั่นและวิ่งล้ำหน้าสุนัขทั้งสองอยู่ครึ่งก้าวเสมอ

หลินเจี๋ยไม่แม้กระทั่งจะกลั้นใจ เขาวิ่งไปกับเร้ดราวกับเดินเฉย ๆ

ผู้จัดการที่ยืนมองอยู่ข้างหลังระเบิดหัวเราะ เขาเดินเข้ามาพร้อมควักอุปกรณ์สื่อสารมาพูดสองสามคำกับคนภายใน

“ฉันยังไม่อยากตาย…” เร้ดวิ่งพลางสะอื้นเบา ๆ

“ปล่อยผมสิ คุณจะวิ่งได้เร็วขึ้นนะ” หลินเจี๋ยพูดจากข้างหลังเธอ

“นายมันบื้อ วิ่งได้ไม่ไกลหรอก” เร้ดตะโกนทั้งร้องไห้

“ทีแรก คุณไม่ได้จะจับผมเป็นตัวประกันเหรอ?” หลินเจี๋ยกล่าวอย่างสุขุม “ไม่ใช่ว่าอยากแก้แค้นเมืองเขตบนเหรอ?”

เร้ดมุ่ยหน้า ดวงตาของเธอเปียกแฉะจนมองไม่เห็นทางข้างหน้าแม้แต่น้อย แต่เร้ดเดินที่นี่มานับครั้งไม่ถ้วนจนสามารถปิดตาเดินทางผ่านอุโมงค์นี้ได้สบาย ๆ แล้ว

บางทีนี่อาจจะเป็นบ้านของฉัน…ฉันไม่มีคุณสมบัติจะขึ้นไปได้เลย

ชายที่เธอจับมืออยู่ช่างโชคดีที่ได้ใช้ชีวิตในเมืองเขตบน แค่ลากมือเขาไว้ เธอก็รู้สึกเหมือนความฝันอยู่ในกำมือแล้ว

“ตอนนี้นายเป็นเพื่อนฉัน” เร้ดกระซิบ แต่การได้ยินอันเฉียบคมของหลินเจี๋ยทำให้เขาได้ยินชัดแจ๋ว เธอบอกว่า “นายมีพลังวิเศษในตัว ฉันต้องปกป้องนาย บางทีนายอาจจะเป็นแร่ที่มีค่าที่สุดในเขตล่างก็ได้”

“สักวันนึง นายจะพาฉันกลับไปบ้านเกิด”

กลับบ้าน…

สมองของหลินเจี๋ยซึ่งถูกหมอกสีเทาแช่แข็งไว้ค่อย ๆ คลายตัว ผู้คนและเรื่องราวในความทรงจำต่าง ๆ ชัดเจนขึ้นมา และอารมณ์อันรุนแรงที่สูบฉีดจากหัวใจอันด้านชาไหลเวียนไปทั่วสรรพางค์กาย

“แต่บ้านของผมไม่ได้อยู่ที่นี่นะ” หลินเจี๋ยเรียกเสียงกลับมาได้ในที่สุด ราวกับหัวใจลอยไปอยู่โลก และความทรงจำอันแสนสั้นเกี่ยวกับนอร์ซินกำลังต่อสู้กับความทรงจำนับหมื่น ๆ ปีในฐานะดวงดาวหลงทิศ “บางที บ้านของผมอาจจะอยู่ที่ก้นบึ้งลึกสุดนั่น”

“นั่นคือที่ที่ผมเกิด”

เรื่องที่เขากินคณะโบราณคดี กินแม่ของเขา และในที่สุดพ่อของเขาซึ่งบาดเจ็บระยะยาวก็พาไปที่โลกถูกเขียนไว้ในสมุดบันทึกอย่างชัดเจน

เพราะเขา…คนมากมายจึงถูกทำลายชีวิต!

หากเขายอมรับ ‘ตัวตน’ ในฐานะมนุษย์นี้ จะเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อคนเหล่านั้นได้ไหมนะ?

“ไม่ใช่ที่นั่น!” เร้ดหันหัว เธอไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ หลินเจี๋ยจึงบอกว่าชั้นลึกสุดใต้ดินคือบ้านเกิดของเขา แต่หลินเจี๋ยไม่มีทางมาจากที่นั่นแน่

จากการอยู่กับหลินเจี๋ยมาหนึ่งเดือน แม้ว่าเขาจะทื่อ ๆ เฉยเมยเหมือนก้อนหินตลอดก็เถอะ แต่เขาก็สนับสนุนความฝันอันน่าเหลือเชื่อของเธอ

เขาปลอบเธอตอนยายของเธอตาย ช่วยเหลือเธอจากชั้นสี่และสาม

นี่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเมืองเขตล่าง

ไม่มีครอบครัว มิตรภาพหรือความรักในเมืองเขตล่าง…มีเพียงความเฉยชาของเครื่องมือ

การมีหลินเจี๋ยอยู่คือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดสำหรับเร้ด

“นั่นไม่ใช่บ้านเกิดนาย บ้านเกิดนายคือที่เดียวกับฉัน นายคือนาย คือเจ้าของร้านหลิน…” เร้ดยกยิ้มทั้งน้ำตา

“ฉันอยากกลับบ้านเกิดของฉันจริง ๆ…” เร้ดพูดปนสะอื้น “ฉันไปร้านหนังสือของเจ้าของร้านหลินได้ไหม? ฉันแข็งแรงมาก ขุดแร่ให้นายได้นะ…”

เสียงตามสายแหบ ๆ เกือบทะลวงแก้วหูขัดจังหวะคำพูดของเร้ด และลำโพงนับโหลที่แขวนอยู่ในอุโมงค์ก็ตะโกนขึ้นมาพร้อมกัน

“เร้ดในอุโมงค์ที่สามสิบสอง ฝ่าฝืนกฎระดับแรกและกำลังหลบหนี ใครที่จับเธอได้จะได้รับยกเว้นแร่ล้ำค่าสามก้อน”

เสียงตามสายตะโกนลั่นซ้ำไปมา ดวงตาของเร้ดเบิกกว้างเมื่อได้ยินดังนั้น ฝีเท้าของเธอพลันช้าลงมาก และเหล่าคนงานถือพลั่วต่างเบนความสนใจมาที่เธอราวกับจะยืนยันว่าใช่เธอจริง ๆ หรือเปล่า

ก่อนที่หลินเจี๋ยจะทันตั้งตัวติด จู่ ๆ พลั่วยักษ์อันหนึ่งก็ฟาดใส่หลังเร้ด

เร้ดร้องอย่างเจ็บปวด

“แกคือเร้ดใช่ไหม?” ชายผมขาวคนหนึ่งถือพลั่วด้วยมือสั่น ๆ “ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ อะไรสีแดง ๆ ก็ต้องตายอยู่ดี”

เร้ดถูกตีร่วงลงกับพื้น และสุนัขที่เห่าก็กระโจนใส่เธอ การกระทำของชายคนนี้ทำให้ทุกคนพุ่งไปหาเร้ดและผลักตัวหลินเจี๋ยออกไป