บทที่ 454 ผมจะส่งพวกคุณกลับบ้าน

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 454 : ผมจะส่งพวกคุณกลับบ้าน

บทที่ 454 : ผมจะส่งพวกคุณกลับบ้าน

เร้ดปล่อยมือหลินเจี๋ยโดยไม่ลังเล หลินเจี๋ยถูกผลักกระเด็นออกไป และก่อนที่สุนัขทั้งสองจะมาถึงตัว ไม่รู้ว่าใครใช้พลั่วตีหัวเร้ด

…แค่เพื่อแร่สามก้อน มีดชำแหละของคนเหล่านี้ก็หันใส่พวกเดียวกันในพริบตา

ศีรษะด้านหลังของเด็กหญิงเจ็บแปลบ ร่างของเธอถลาไปข้างหน้าอย่างควบคุมไม่ได้และหมดสติไป สิ่งเลวร้ายยังตามเธอมาติด ๆ สุนัขทั้งสองตะบึงปรี่เข้ามากัดคอของเธอ คมเขี้ยวอันแปดเปื้อนทะลวงเข้าไปในลำคอของเด็กหญิง

เธอร่วงลงกับพื้น อ้าปากพะงาบไร้เสียงอย่างเจ็บปวดไร้ทางสู้ โลหิตอุ่น ๆ ทะลักออกมาดุจดอกพลัมสีสด

หลินเจี๋ยค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้นและมองชีวิตที่กำลังริบหรี่ลงของเร้ด ชีวิตซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยมองว่าเล็กจ้อย

เขาปลดปล่อยพลังออกมาอย่างสมบูรณ์ และพื้นก็เริ่มสั่นไหวอย่างช้า ๆ แผ่คลื่นพลังอันแข็งแกร่งไปใต้ดิน

“โบร๋วว…!” สัญชาตญาณสัตว์ของสุนัขทั้งสองเฉียบคมกว่ามนุษย์ พวกมันปล่อยคอของเร้ดทันทีและเริ่มครางเสียงต่ำอย่างหวาดกลัวหาใดเปรียบ

ในขณะเดียวกับที่พลังถูกปลดปล่อยอย่างต่อเนื่อง หูของหลินเจี๋ยก็สะท้อนเสียงอันกังวานนับไม่ถ้วนในหมอกสีเทาซึ่งเหมือนจะร้องเพลงสรรเสริญการลืมตาตื่นของเขา หมอกสีเทาเหล่านี้ยังคงกัดกร่อนเจตจำนงมนุษย์ซึ่งเหลืออยู่เพียงน้อยนิดในตัวหลินเจี๋ยอีกด้วย

ทว่ายามนี้ สายตาของหลินเจี๋ยจับจ้องแค่เพียงเร้ด เด็กหญิงผู้วายชนม์

ร่างเปราะบางของเธอบรรจุดวงวิญญาณอันแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่หลินเจี๋ยเคยพบ

ในขณะเดียวกับที่หลินเจี๋ยยอมรับพลังของตนอีกครั้ง ร่างเทพที่ใต้เมืองเขตล่างก็เปล่งแสงโกลาหล และเริ่มเต้นดุจเป็นหัวใจดวงหนึ่ง

ผู้นำโบสถ์แห่งโรคระบาดจ้องหุบเหวอันมืดดำ ความกลัวในแววตาของเขาแพร่ลาม

“พระเจ้าคืนชีพแล้ว!” เขาคำรามลั่นชั้นใต้ดินที่สาม สองมือชูสูง

เมื่อพระเจ้าผู้นั้นคืนชีพ เขาจะทำลายทุกสิ่งอย่าง นี่คือคำสอนของโบสถ์แห่งโรคระบาด

และตอนนี้ ความตายจะมาเยือนทุกชีวิต

เขาเห็นสิ่งที่เหมือนของเหลวหนืดนับไม่ถ้วนค่อย ๆ ไหลออกมาจากชั้นสี่ซึ่งอยู่ด้านบน นั่นคือสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์บนชั้นสี่ซึ่งถูกหมอกสีเทากัดกร่อน

และหมอกสีเทาก็ยังกลืนกินจิตใจคนบนชั้นสามอีกด้วย

“ได้เวลาแล้ว!”

เนื่องจากหนังสือ ‘นิมิตโกลาหล’ ซึ่งหลินเจี๋ยให้มา การกวาดล้างอย่างจริงจังจึงเกิดขึ้นในโบสถ์แห่งโรคระบาด และตอนนี้พวกเขาก็เหลือคนอยู่ไม่มากนัก

ผู้นำโบสถ์แห่งโรคระบาดหยิบอุปกรณ์สื่อสารซึ่งมีเพียงผู้จัดการระดับสูงทั่วเขตล่างเท่านั้นจึงจะมีได้ออกมากดหมายเลขไส้ศึกระดับสูงซึ่งกลับมาจากเมืองเขตบน

“พระเจ้ากำลังจะตื่นขึ้นแล้ว ทุกแผนพังหมด!” ผู้นำตะโกนเสียงแหบ “มันเร็วเกินไป เขาตื่นไวเกินไป!”

แน่นอน แผนของพวกเขาคือการกลับสู่เมืองเขตบนและฆ่าล้างทุกสิ่งซึ่งกดขี่พวกเขาเป็นทาส

เพราะเจตจำนงแห่งพระเจ้าคือการทำลายล้างทุกสิ่งหลังลืมตาตื่น ดังนั้นพวกเขาจึงต้องล้างแค้นเสียก่อน

แน่นอน จะมีคนสติดี ๆ สักกี่คนที่เชื่อว่าพระเจ้าจะทำลายทุกสิ่ง ต่อให้พวกเขาเชื่อมั่น ถึงตอนนั้นพวกเขาก็ต้องเผชิญความตายอยู่ดี

“ช่างมันเถอะ เราจะยึดเมืองเขตบนวันนี้แหละ!” ผู้นำโบสถ์แห่งโรคระบาดคำราม เส้นหนวดที่คางของเขาดีดไปมาอย่างรุนแรง

สมาชิกทุกคนจากตระกูลไอริสใกล้ดินแดนแห่งความมืดถูกจับตัวไว้ และตอนนี้พวกเขาก็ถูกรีดเลือดเพื่อเป่าแตรแห่งการทำลายล้างในการโจมตีเมืองเขตบน

หลังจากผู้นำโบสถ์แห่งโรคระบาดกล่าวจบ เอลฟ์จากตระกูลไอริสที่ถูกคุมขังก็ถูกสมาชิกโบสถ์แห่งโรคระบาดลากตัวออกไป ไม่ว่าจะเยาว์วัยหรือแก่ชรา ร่างของพวกเขาล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยบาดแผล ทุกคนต่างถูกทรมานอย่างโหดร้าย

ชั้นหก…

หลินเจี๋ยลุกขึ้นจากพื้นอย่างยากลำบากและค่อย ๆ เดินไปหาเร้ด หลังจากได้กลิ่นอำนาจอันแข็งแกร่งจนไม่น่าเชื่อนี้ สุนัขร้ายทั้งสองก็หนีหางจุกตูด แต่ก่อนที่จะทันก้าวพ้นได้สองก้าว พวกมันก็เข้าไปในหมอกสีเทา ร่างแตกเบ่งบานจากภายในสู่ภายนอก กลายเป็นบุปผาซากศพ

มนุษย์ไวต่อความอันตรายน้อยกว่าสัตว์มาก

ผู้ชมรอบ ๆ เร้ดเมื่อครู่เห็นสุนัขทั้งสองหนี ได้ยินเสียงครางของพวกมัน และรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่พวกเขาไม่ได้รู้เลยว่าความไม่สบายใจเกี่ยวกับหลินเจี๋ยมาจากตรงไหน

ความเย็นเสียดกระดูกไต่ไล่บนหลังของเขา หลินเจี๋ยค่อย ๆ ถอดฮู้ดออก ปลดการปรับเปลี่ยนจิตใจ และเผยใบหน้าซึ่งเขาใช้ในเมืองเขตบน

ใบหน้าซึ่งเคยแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนไร้อารมณ์ใด ๆ เหลือเพียงดวงตาอันมืดมนดุจหุบเหว

ทันทีที่พวกเขาเห็นหลินเจี๋ย พวกเขาก็เต็มไปด้วยความกลัวอันไม่อาจอธิบาย กรีดร้องและเผ่นหนีอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็พบว่าในอุโมงค์เต็มไปด้วยหมอกสีเทาเสียแล้ว

หมอกสีเทา…สัญลักษณ์ของพระจ้าสำหรับทั่วเมืองเขตล่าง!

กล่าวได้กระทั่งว่ามันคือแขนขาของพระเจ้าผู้หลับใหลซึ่งแผ่ออกจากราชวังใต้ดิน ล่องลอยดุจภูตผี และยังเป็นที่มาของการแปดเปื้อนทั้งมวล

ใบหน้าอัปลักษณ์ของชายซึ่งตีพลั่วใส่ศีรษะด้านหลังของเร้ดบิดเบี้ยว เขาล้มก้นจ้ำเบ้ากับพื้น คลานหนีพลางกรีดร้อง

“…ทำไมคุณถึงอยากฆ่าเธอล่ะ?” หลินเจี๋ยถาม

ชายคนนั้นตกใจกลัวจนแข้งขาสั่น เรี่ยวแรงดูจะหดกลับเข้าไปในกาย ทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนเหมือนมีชีวิต ประท้วงโอดครวญอย่างเจ็บปวดทั่วทุกอณูราวกับว่าร่างใกล้จะถูกฉีกกระชาก

“ผ…ผมต้องการอาหาร…แร่แลกอาหารได้” ชายคนนั้นพูดอย่างยากลำบาก และจากนั้นก็คุกเข่ากับพื้นและโขกหัวอย่างไม่อาจเลี่ยง คนรอบ ๆ เขาเลียนแบบการกระทำและโขกหัวตามทันทีจนเลือดไหลนอง

“ถ้าไม่มีอาหาร…เราก็จะอดตาย…ถูกลากไปเป็นทาสในเหมืองข้างใต้นั่น…ผมไม่ต้องการแบบนั้น ผมไม่ต้องการ! คนจากโบสถ์แห่งโรคระบาดบอกว่าถ้าใช้แร่บูชาพระเจ้า พระเจ้าจะอวยพรเรา จะให้อาหารแก่เรา…”

หลินเจี๋ยไร้อารมณ์

พระเจ้า? พระเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่

หลินเจี๋ยย่อตัวลงอุ้มร่างน้อย ๆ ของเร้ดอย่างอ่อนโยน ดวงตาสีแดงเข้มของเธอไร้ชีวิตอย่างสมบูรณ์ แต่ยังคงถือถุงแป้งสาลีขึ้นราไว้แน่น

เธอตายสนิท แต่ความตายไม่ใช่จุดจบ

เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากอุโมงค์ หลังจากหลินเจี๋ยรับพลังและเชื่อมต่อกับร่างที่ใต้ดินแล้ว หมอกสีเทานับไม่ถ้วนก็ผุดขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้บุคคลระดับสูงทั้งหมดในเมืองเขตล่างแตกตื่น

เนื่องจากศึกในซอย 67 เส้นทางมายังเมืองเขตล่างของบริษัทโรลล์และสมาคมแห่งสัจธรรมจึงถูกปิดลง เจ้าหน้าที่ระดับสูงผู้เชิดหน้าชูคอเยี่ยงพยัคฆ์ต่างลุกลี้ลุกลน ด้วยกลัวว่าจะถูกเมืองเขตบนทอดทิ้ง ดังนั้นพวกเขาจึงหันไปร่วมมือกับโบสถ์แห่งโรคระบาดในเมืองเขตล่างแทน

พวกเขาต้องการใช้เอลฟ์ดำเพื่อกลับสู่บ้านเกิดจากเมืองเขตล่าง

ทว่าตอนนี้กลับมีเรื่องราวใหญ่โตจากแค่การลงโทษประหารเด็กผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่ง

“คุณเป็นใคร?” ผู้บริหารระดับสูงซึ่งนำขบวนมาเห็นหลินเจี๋ยอุ้มเด็กหญิงอยู่ จึงถามคำถามเดิม ๆ ออกมา

“คนที่จะส่งพวกคุณกลับบ้านเกิด” หลินเจี๋ยแย้มยิ้มอ่อนโยนเหมือนก่อน และจึงพูดต่อ “ไม่สิ กลับบ้านเก่าต่างหาก”

หมอกสีเทาซึ่งแพร่ขยายดูราวกับเป็นลิ่วล้อตัวใหญ่ยักษ์ ภายใต้รอยยิ้มของหลินเจี๋ย ผู้บริหารระดับสูงเหล่านั้นดูราวกับถูกสัตว์ประหลาดสีเทาตนหนึ่งฉีกเป็นชิ้น ๆ และกลืนหายไป

โบสถ์แห่งภัยพิบัติซึ่งรีดเลือดจากเอลฟ์ตระกูลไอริสยกไม้กางเขนขึ้นสูง เดินไปหาผู้คนซึ่งอ่อนแรงของเมืองเขตล่าง และเอาแต่ปราศรัยถ้อยคำเกี่ยวกับการโจมตีโต้ตอบเมืองเขตบนดังลั่น

และวินาทีต่อมา เขาก็เห็นร่างของผู้บริหารระดับสูงที่ถูกฉีกทึ้งกลืนกิน จากนั้นสีหน้าของเขาก็ชะงักค้างไปวินาทีหนึ่ง…

และชายผู้ควบคุมทุกสิ่งกำลังอุ้มเด็กหญิงสีแดงไว้ในอ้อมแขน

ผู้นำโบสถ์แห่งโรคระบาดจำหลินเจี๋ยได้ตั้งแต่แรกเห็น แค่อิงตามภาพเหมือนของพระเจ้าใน ‘นิมิตโกลาหล’ ก็ทำให้เขามีความรู้สึกว่ารู้ตัวตนของหลินเจี๋ยนับแต่แรกพบ

“ท่าน…”

ผู้นำโบสถ์แห่งโรคระบาดอ้าปาก ความกลัวและไม่อยากเชื่อทำให้เขาพูดไม่ออกอยู่นาน

หลินเจี๋ยหันกลับมาเห็นเหล่าเอลฟ์ผู้ถูกรังแก และโบสถ์แห่งโรคระบาดที่ดูราวสัตว์ร้าย

“เจ้าของร้านหลิน!!” เอลฟ์ที่ถูกล่ามโซ่กักขังตนหนึ่งตะโกนขึ้นกะทันหัน “ท่านหญิงโดริสพูดถูก คุณมาช่วยเราหรือเปล่าครับ?”

“ใช่ครับ” หลินเจี๋ยเอียงคอคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้า “ซิลเวอร์ดูจะเคยพูดก่อนหน้านี้ถึงความขุ่นเคืองระหว่างดินแดนแห่งความมืดและตระกูลไอริส…ดูเหมือนว่าเอลฟ์ดำพวกนั้นจะอยากทวงคืนทุกสิ่งที่ตัวเองเคยเสียไปนะครับ”

หลินเจี๋ยโบกมือ และโซ่ก็ขาดดังเคร้ง

ผู้นำโบสถ์แห่งโรคระบาดมองทาสถูกปลดปล่อย ความเชื่อในใจของเขาส่ายไปมายุ่งเหยิง…

พระเจ้าจุติแล้ว และจะทำลายทุกสิ่ง

รวมถึงตัวเขาเองด้วย

พระเจ้าไม่ได้อยู่ข้างเขา งั้น…แผนทำลายเมืองเขตบนก็จบลง และตอนนี้ ทุกคนกำลังจะตาย!

เขายกมือขึ้นกล่าวกับหลินเจี๋ยว่า “ผมเชื่อในท่านครับ”

จากนั้น เขาก็ทะลวงมือเข้าใส่อกตนเอง ห้านิ้วคว้านหัวใจที่ยังเต้นอยู่ของตนเองออกมาให้หลินเจี๋ยดู แล้วจึงร่วงลงสู่พื้นอย่างไร้สติ

หลินเจี๋ยขมวดคิ้ว ก้าวถอยหลังจากเลือดบนพื้น

“บ้า…”

กองเนื้อบนพื้น…เอ้ย ร่างของเขาก็ไม่ได้ดูดีมาก กล่าวสั้น ๆ ก็คือการปนเปื้อนร่างกายของพวกเขาที่ชั้นสามได้ครอบงำจิตวิญญาณของพวกเขาไปหมดแล้ว

เมื่อเห็นผู้นำโบสถ์ทำเช่นนี้ คนอื่น ๆ จึงพากันมองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก เตรียมตัวเตรียมใจควักหัวใจตัวเอง และกระทั่งเตรียมบังคับผู้อื่นให้สาบานตนอย่างภักดี

หลินเจี๋ยไม่ได้มาที่นี่เพื่อดูการแสดงกายกรรม แต่ใช้ความคิดเล็กน้อยควบคุมความคิดของทุกคนทันที