บทที่ 455 กาลครั้งหนึ่ง ยังมีเจ้าของร้านหลินหนึ่งคน

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 455 : กาลครั้งหนึ่ง ยังมีเจ้าของร้านหลินหนึ่งคน

บทที่ 455 : กาลครั้งหนึ่ง ยังมีเจ้าของร้านหลินหนึ่งคน

หัวใจเปรอะเลือดของผู้นำโบสถ์แห่งโรคระบาดกลิ้งลง

ผู้ศรัทธาอย่างหน้ามืดตามัวกำลังจะฆ่าตัวตาย หลินเจี๋ยถอนหายใจและควบคุมทุกคนด้วยความคิดทันที

“โดริสอยู่ไหนครับ?” หลินเจี๋ยไม่ใส่ใจสาวกเหล่านั้น และหันมาถามเหล่าเอลฟ์ซึ่งได้รับการปลดโซ่แทน

หนึ่งในเอลฟ์ชรากล่าวว่า “ประตูระหว่างแดนนิมิตและโลกแห่งความจริงเปิดออกแล้ว และท่านหญิงโดริสก็กำลังจะมาพบท่านหญิงซิลเวอร์และเจ้าของร้านหลินครับ”

หลินเจี๋ยพยักหน้า โดริสเคยพูดเอาไว้ว่าเธอจะมาหาเรา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า…เธอน่าจะพลาดแล้วล่ะ

“ไปกันเถอะครับ” หลินเจี๋ยกล่าว เหล่าเอลฟ์ลังเลเหมือนจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็คุกเข่าลงทำความเคารพหลินเจี๋ย และพยุงกันเองเดินกลับสู่เส้นทางไปเมืองเขตบน

ขณะนี้ คนเหมืองมากมายซึ่งถูกเรียกความสนใจจากเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในอุโมงค์ และมองหลินเจี๋ยจากมุมมืดอย่างหวาดกลัว

การมีอยู่ของโบสถ์แห่งโรคระบาดไม่อาจถูกเมินได้ในเขตล่างทั้งเขต กระทั่งเมืองเขตบนยังยอมรับการมีอยู่ของพวกเขาโดยปริยาย ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงเคยได้ยินเกี่ยวกับคำสอนของโบสถ์แห่งโรคระบาด

เมื่อพระเจ้า ณ ใต้บาดาลตื่นขึ้น ทุกสิ่งในโลกจะถูกทำลาย

และพวกเขาซึ่งถูกพระเจ้าทำให้แปดเปื้อนมีความเชื่อมโยงกับหลินเจี๋ยหนาแน่นกว่าใคร และพวกเขาก็มีความใกล้ชิดและเกรงขามต่อหลินเจี๋ยโดยธรรมชาติ

หลินเจี๋ยยกมือขึ้นปัดเส้นผมเปื้อนเลือดของเร้ดเบา ๆ และพลังอันไม่อาจมองเห็นก็รวมตัวกันเพื่อรักษาบาดแผล คืนชีพให้กับเธอ

แม้ว่าความเป็นความตายจะอยู่ในมือหลินเจี๋ย เขาเกือบแข็งแกร่งในทุกด้าน แต่พลังทั้งหมดนี้ยังเป็นปีศาจที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงเขาด้วย

สีหน้าของเด็กหญิงเริ่มฟื้นสีเลือด เธอไอสองสามที น้ำตาซึ่งอาจจะหลั่งสายเกินไปก่อนตายไหลออกจากดวงตาที่ปิดสนิทของเธอ จากนั้นก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นสะท้อนภาพใบหน้าเยือกเย็นของหลินเจี๋ย

“…เจ้าของร้านหลิน?” เร้ดกล่าวอย่างอ่อนแรง

นับแต่พบหลินเจี๋ย สีหน้าของเขาในความทรงจำของเธอไร้อารมณ์อยู่เสมอ ราวกับพรุ่งนี้คือวันสิ้นโลกและเขารู้เรื่องทุกอย่าง เขาทำเพียงจ้องมองทุกอย่างอย่างไร้อารมณ์เท่านั้น

แต่ตอนนี้ แววตาของหลินเจี๋ยหลับอ่อนโยนเป็นห่วง เหมือนสายตาของยายผู้มองมาทางเธอยามป่วยไข้ แต่ก็ไม่ใช่สายตาเดียวกัน

ทว่า…มือที่หลินเจี๋ยยกขึ้นปิดคอของเธออย่างหนักแน่นไม่ต่างจากมือใหญ่อันอบอุ่นจากยายของเธอในความทรงจำเลย

เร้ดผู้มึนงงสัมผัสได้ถึงมือที่ลูบหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยน ราวกับเป็นมืออันเปี่ยมรักซึ่งรักษาได้ทุกอาการเจ็บปวด

หลินเจี๋ยและคุณยายต่างกลายเป็นความทรงจำที่อบอุ่นที่สุดในขณะนี้ของเร้ด

“ฉันตายแล้วเหรอ? เจ้าของร้านหลิน?” เธอถามเสียงแหบ

หลินเจี๋ยปลดคิ้วที่ขมวดอยู่ พูดยิ้ม ๆ ว่า “เปล่า ผมคืนชีพให้คุณแล้วล่ะ”

“…ปรากฏว่านายคืนชีพคนได้จริง ๆ ด้วย” เร้ดยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างฝืน ๆ

“เพราะผมเป็นพระเจ้าไง” หลินเจี๋ยพูดอย่างจริงจัง

เร้ดตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงส่ายหน้าบอก “นายเหมือนยายฉันเลย นายปฏิบัติกับฉันเป็นเด็ก และรักฉันเหมือนกัน”

“จากนี้ไป คุณไม่ใช่เด็กแล้วครับ” หลินเจี๋ยยิ้มอย่างอบอุ่นพลางพยุงเธอขึ้น เด็กหญิงตัวแข็งไปแล้วและเกือบล้มคะมำ แต่หลินเจี๋ยพยุงเธอไว้อีกครั้ง

เร้ดมองไปยังผู้คนรอบ ๆ ซึ่งขวางทางเธออยู่ ก้าวเท้าเข้าไปสองก้าวและมองทุกคนอย่างงุนงง

หลินเจี๋ยจับมือเร้ด ดึงเธอไปยืนตรงหน้าสมาชิกทุกคนจากโบสถ์แห่งโรคระบาด และกล่าวขึ้นกะทันหันว่า “ผู้นำของพวกคุณตายแล้ว”

“จากนี้ไป เร้ดจะเป็นผู้นำของโบสถ์แห่งโรคระบาดแห่งใหม่”

เหมือนที่หอการค้าแอชแข่งขันกับบริษัทโรลล์ หลังจากเส้นทางระหว่างเมืองเขตบนและเมืองเขตล่างเปิดออก โบสถ์แห่งโรคระบาดและศาสนาแห่งตะวันต้องอยู่ด้วยกันให้ได้…ไม่เช่นนั้น สักวันหนึ่งศาสนาแห่งตะวันก็จะกลายเป็นโบสถ์แห่งจุดสูงสุดแห่งต่อไป

ทุกคนมองหน้ากันไปมาอย่างไม่อยากเชื่อ แต่ผู้นำก็นอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้น และคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาก็เป็นพระเจ้าที่แท้จริง ดังนั้นพวกเขาจึงอดเหลือเชื่อไม่ได้

“ฉัน…” เร้ดอ้าปากหวอ พยายามพูดบางอย่าง

หลินเจี๋ยไม่รอให้ใครมีปฏิกิริยา และไม่รอให้เร้ดพูด เขาดึงเธอเดินไปเบื้องหน้า สู่บ่อน้ำที่พวกเขาแอบย่องสู่ชั้นล่างเป็นครั้งแรกซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยหมอกสีเทา

หลินเจี๋ยหันไปกล่าวกับเร้ดว่า “แม้แต่เด็ก สักวันก็ต้องเติบโต ผู้ใหญ่ทุกคนไม่ใช่คนเลวครับ และเพราะมีผู้ใหญ่แย่ ๆ มากมายนี่แหละ เร้ดเลยต้องเป็นผู้ใหญ่ที่ดี คุณสามารถทำให้คนอื่น ๆ ดีขึ้นได้ครับ”

เร้ดเบิกตากว้างมองหลินเจี๋ยผู้แย้มยิ้ม

“เพราะคนเราต้องเติบโตขึ้นเสมอ มันไม่ใช่ทางเลือกครับ เหมือนที่ผมต้องกลับสู่บ้านเกิดนั่นแหละ”

“เจ้าของร้านหลินไม่อยากกลับบ้านเกิดเหรอ?” เร้ดตระหนักแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติกับหลินเจี๋ย จึงคว้ามือเขาไว้และถามอย่างตื่นตัว

หลินเจี๋ยยิ้มและกล่าวอย่างสุขุม “ผมไม่อยากครับ ถึงแม้ผมจะใช้ชีวิต ‘ที่นั่น’ นานกว่า ‘ที่นี่’ มาก…แต่คำกล่าวว่าบ้านเกิดมันสำคัญต่อตัวตนของคน ๆ หนึ่งจริง ๆ”

จากโลกสู่นอร์ซิน ช่วงชีวิตสามสิบปีอันแสนสั้น เมื่อเทียบกับกาลเวลาอันไร้จุดจบก็เป็นเพียงน้ำหยดเดียวในมหาสมุทรเท่านั้น…

หลินเจี๋ยมองบ่อน้ำที่เต็มไปด้วยหมอกสีเทาและพูดต่อ “คุณทำให้ผมเข้าใจเรื่องต่าง ๆ เยอะมากเลย เช่นความฝันเกี่ยวกับมนุษย์อย่างพวกคุณ”

เมื่อคิดว่าเขาอาจจะกลับมาไม่ได้ หลินเจี๋ยจึงเล่าทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเองให้เร้ดฟังทั้งหมด

รวมถึงเรื่องที่ถ้าเขากลับไปใช้ร่างเทพ เขาอาจจะไม่ใช่หลินเจี๋ยอีกต่อไปแล้วก็ได้

“ผมคือพระเจ้านั่น ผมฆ่าพ่อแม่ของผมในต่างโลก และเพื่อน ๆ ของเขา…เพราะหนังสือของผม สัญชาตญาณโดยไม่รู้ตัวของผม ผมทำให้คนมากมายนับไม่ถ้วนต้องเสียชีวิต และเพราะมีร่างของผมอยู่ ทั้งเมืองเขตล่างจึงถูกทำให้แปดเปื้อน”

“ผมไม่ชอบเรื่องนี้เลย แต่พวกมันคือความจริง” หลินเจี๋ยถอนหายใจกล่าว “ถ้าผมยอมรับตัวตนในฐานะเทพ ผมจะแบกรับความผิดที่ผมทำลงไปอย่างไรล่ะ?”

“สิ่งเหล่านี้ทำให้การโทษตัวเองในฐานะบุคคลบังคับผม เปลี่ยนมันเป็นเสียงอีกเสียงในใจ บอกผมว่าผมเป็นพระเจ้า ผมไม่ต้องเห็นอกเห็นใจทุกคนก็ได้ ผมควบคุมความเป็นความตายและทุกอย่างได้ ได้ในสิ่งที่อยากได้ทั้งหมด…”

“คำพูดเหล่านี้ทำให้ผมหยุดโทษตัวเอง แต่ก็ทำให้ผมค่อย ๆ แตกต่างออกไปจากตัวตนที่ผมชอบ”

หลินเจี๋ยกล่าวด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ จากนั้นจึงย่อตัวลงลูบหัวเธอ “ขอโทษนะที่ต้องบอกเรื่องนี้กับคุณ ผมไม่ได้ทำเหมือนคุณเป็นเด็กนะ”

“…ฉันไม่ใช่เด็กแล้ว เหมือนที่นายพูดแหละเจ้าของร้านหลิน” เร้ดขัดจังหวะหลินเจี๋ยกะทันหัน และกอดอกพูด “แต่ฉันเป็นเด็กหรือเปล่า ฉันก็พอรู้นะ”

เร้ดยกมือขึ้นประคองใบหน้าของหลินเจี๋ย ดันหน้าผากของเธอชนกับเขา หลับตาลงเบา ๆ และกล่าวว่า “เพราะฉันรู้ว่า…”

“เจ้าของร้านหลินคือผู้กอบกู้”

ดวงตาสีดำดุจน้ำนิ่งในบ่อของหลินเจี๋ยทอประกายขึ้นทันที

“นายคือผู้กอบกู้ในหนังสือที่ฉันเคยได้ยิน”

“เพราะการเสียสละของนาย ฉันจึงมีโอกาสได้ทำความฝันให้สำเร็จ” เร้ดพูด น้ำตาที่เพิ่งเริ่มแห้งไหลออกมาอีกครั้ง กล่าวต่อว่า

“เพราะนาย พอนายกลายเป็นวิญญาณของเทพปีศาจที่ไร้สติ เขาจะหยุดการสร้างมลภาวะ”

“นายคือเจ้าของร้านหลิน ไม่ใช่เทพปีศาจ นายเป็นผู้กอบกู้ต่างหาก”

หลินเจี๋ยมองเร้ด มองใบหน้าสีแดงและดวงตากระจ่างใสของเธอ จู่ ๆ เขาก็ดูจะเข้าใจบางอย่าง

“คุณพูดถูก ผมไม่เข้าใจกระทั่งเรื่องง่าย ๆ แบบนี้เลย” หลินเจี๋ยพูดยิ้ม ๆ “เร้ด จำไว้นะครับ…ครั้งหนึ่ง ยังมีเจ้าของร้านหลินหนึ่งคนซึ่งชอบขายหนังสือ เขาเป็นคนใจดีและชอบช่วยเหลือคน…ดังนั้นคนมากมายเลยชอบเขา”

เร้ดพยักหน้าหงึกหงัก และในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าหลินเจี๋ยที่เธอกำลังสัมผัสกำลังค่อย ๆ โปร่งใส เธอละมืออย่างกระวนกระวาย แต่ก็พบว่าหลินเจี๋ยกลายเป็นหมอกสีเทาไปโดยสมบูรณ์แล้ว…

“เจ้าของร้านหลิน!”

เธอตะโกน แต่หมอกสีเทาซึ่งปกคลุมทั่วพื้นกลับเริ่มค่อย ๆ หดตัวอย่างช้า ๆ และมุดหายเข้าไปในบ่อตรงหน้าเร้ด

หมอกสีเทาซึ่งอยู่ในเมืองเขตล่างมาหลายพันปีสลายไปในที่สุด

บรรยากาศเป็นเหมือนฟ้าหลังฝน สายลมหยุดพัดพริ้ว และการแปดเปื้อนก็หยุดลง

หนังด้านหยาบเหมือนจระเข้บนร่างของเร้ดค่อย ๆ ร่อนร่วง และเส้นหนวดที่คางของเธอก็เริ่มค่อย ๆ หดหายเข้าไปในผิว ค่อย ๆ ปรากฏรูปลักษณ์ของเด็กหญิงตัวอวบอ้วนผู้มีผมสีแดงและผิวขาวอมชมพู

ดวงตาของเร้ดมองไปยังผู้คนรอบ ๆ ซึ่งเมื่อเห็นว่าการปนเปื้อนของพวกเขาเริ่มหยุดลงเช่นกัน พวกเขาก็ยินดีและเฉลิมฉลองชีวิตใหม่ของพวกตน

แต่เร้ดไม่รู้ว่าเธอหน้าตาเป็นอย่างไร และไม่รู้สึกดีใจเหมือนกัน เธอทำเพียงมองหลินเจี๋ยซึ่งอยู่ในหุบเหวด้วยน้ำตาคลอเบ้า

ครั้งหนึ่ง มีผู้กอบกู้ผู้หนึ่งซึ่งเปลี่ยนแปลงทุกอย่างและก้าวลงสู่ขุมนรก

หลินเจี๋ยผู้มาถึงพื้นปรากฏร่างจากหมอกสีเทา ชุดคลุมสีดำกองลงที่พื้นราวชุดคลุมผู้แสวงบุญ กลิ่นเลือดคละคลุ้มแตะปลายจมูก และมองไปยังรังเทพปีศาจอันสร้างจากเลือดเนื้อปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ

ในราชวังที่สร้างจากเลือดเนื้อ มีบัลลังก์เปื้อนเลือดตั้งอยู่ที่ใจกลาง

มันคือบัลลังก์ซึ่งเตรียมไว้ให้เขามานับสิบ ๆ ล้านปี

“เจ้าของร้านหลิน!!!” เสียงหนึ่งอันคุ้นเคยดังมาจากเหนือหัว และเร้ดผู้ปลดการแปดเปื้อน กลับสู่รูปลักษณ์เด็กหญิงก็ขานเรียกชื่อของเขา…

“เจ้าของร้านหลิน! นายไม่ใช่เทพปีศาจนะ นายเป็นผู้กอบกู้ของฉัน และของทุกคนด้วย!!”

เธอตะโกนจนกระทั่งเสียงแหบหาย ไม่อาจเปล่งเสียงใด ๆ ได้อีก

หลินเจี๋ยฟังเสียงของเธอพลางเดินช้า ๆ ไปสู่บัลลังก์ราวกับผู้สัญจรซึ่งได้กลับบ้านหลังจากห่างหายมาหลายปี และเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘หากฉันไม่ลงนรก ใครเล่าจะลงนรก’

เขานั่งลงและจมสู่ห้วงนิทราอันสงบสุข…