บทที่ 456 ยินดีต้อนรับ (ตอนจบ)

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 456 : ยินดีต้อนรับ (ตอนจบ)

บทที่ 456 : ยินดีต้อนรับ (ตอนจบ)

ฝนตกค่อนข้างหนัก ให้ความรู้สึกเหมือนหินแตก ๆ ถูกโยนลงมาจากฟ้า ร่วงตุ้บลงกับพื้นกระจายเป็นวงกว้าง และยังชะล้างกลิ่นคาวเลือดให้สลายหายไป

ในบางแง่มุม ฝนนี้ช่วยชีวิตเบลดไว้

เบลดซุกซ่อนอย่างเสี่ยงชีวิตอยู่ในโอ่งคอนกรีตใบหนึ่งในท่อระบายน้ำอันถูกทิ้งร้าง

โลหิตย้อมผ้าพันแผลสีขาวบนบ่าและศอกจนแดงฉาน และผู้ที่เกิดมาด้วยสภาพร่างกายเหมาะสำหรับการต่อสู้เช่นเขาก็ไม่ได้เก่งด้านเวทมนตร์ฟื้นฟูเลยแม้แต่น้อย

เวทมนตร์…พลังเหนือธรรมชาติแบบใหม่อันแข็งแกร่งกว่า ซึ่งมนุษย์แตกฉานได้เข้ามาแทนที่พลังเหนือธรรมชาติทุกอย่างซึ่งต้องเสี่ยงเป็นบ้าเพื่อให้ได้รับมาเป็นร้อยปีแล้ว

มนุษย์สามารถได้รับความสามารถเวทมนตร์จากการจ้องมองสิ่งมีชีวิตวิเศษและสายเลือดต้นกำเนิดของพวกเขา นับแต่เมื่อร้อยปีก่อนที่เขตแดนระหว่างแดนนิมิตและความเป็นจริงทลายลง โลกแห่งอาซีร์ก็ได้เข้าสู่ยุคสมัยแห่งเวทมนตร์อันเฟื่องฟู

อีเธอร์มหาศาลทะลักจากแดนนิมิตเข้าสู่ทั่วทั้งทวีป และเมื่อรวมกับเหล่าสัตว์มายาที่แห่กันออกมาดุจคลื่นน้ำ…หรือควรเรียกพวกมันว่าสิ่งมีชีวิตวิเศษได้แล้ว สองสิ่งนี้ทำให้สายเลือดมนุษย์ลืมตาตื่น และเป็นการประกาศบอกลานอร์ซินที่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติซุกซ่อนตัวจากคนธรรมดาโดยสมบูรณ์

ในยุคสมัยทุกวันนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครในนอร์ซินไม่ใช่นักเวท

ชื่อของเบลดแจ้งชัดเจนว่าอย่างน้อย สายเลือดส่วนหนึ่งของเขาต้องมาจากเมืองเขตล่าง

เขาไม่มีนามสกุล

นอร์ซินในขณะนี้เป็นช่วงเวลาหลังจากผู้นำโบสถ์แห่งโรคระบาดชื่อเร้ดนำมนุษย์เก่าจากเมืองเขตล่างกลับสู่พื้นดิน

นอร์ซินถูกออกแบบใหม่โดยเรซิเอล อดีตมหาปราชญ์จากสมาคมแห่งสัจธรรมผู้มีฉายา ‘ภูมิปัญญาแห่งสวรรค์’ มันกว้างขวางและยิ่งใหญ่มากกว่าเดิม

อาจเพราะคนที่อยู่ในเขตล่างใช้ชีวิตใกล้พระเจ้ามาแสนนานนับพัน ๆ ปี ความรู้และความสามารถด้านเวทมนตร์ของพวกเขาจึงสูงกว่าใคร

กล่าวให้กระชับอีกอย่างก็คือ ผู้มีสายเลือดจากเมืองเขตล่างล้วนแต่เป็นอัจฉริยะด้านเวทมนตร์ในรอบร้อยปีทั้งสิ้น

ช่างน่าเสียดายที่โลกยังคงถูกปกครองโดยผู้อ่อนแอ เมืองเขตบนล้ำหน้าเขตล่างในด้านการวิจัยเวทมนตร์และจำนวนคนมานานแล้ว

นอกจากนั้น คำสอนของโบสถ์แห่งโรคระบาดยังเชื่อว่าทุกคนในเมืองเขตล่างล้วนแต่เป็นบุคคลที่พระเจ้าเลือก ซึ่งตรงข้ามกับคำสอนของศาสนาที่ใหญ่ที่สุดอย่างศาสนาแห่งตะวันโดยสิ้นเชิง

จนทุกวันนี้ ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติยังคงมีชีวิตจากเมื่อร้อยปีก่อนและเชื่อว่าสายเลือดคนจากเขตล่างน่ารังเกียจอยู่เลย

การคงอยู่ร่วมกันอย่างสันติที่ว่า…เป็นเพียงภาพลวงตาอันแสนอันตราย

“บางทีเราควรถนอมชีวิตนี้ไว้…”

เบลดคิดเช่นนั้น

เพราะถึงอย่างไร เขาก็เคยได้ยินมาว่าเมื่อร้อยปีก่อน บรรพชนของเขายังคงเป็นสัตว์ประหลาดในเมืองเขตล่างที่ถูกมนุษย์กดขี่เป็นทาสอยู่เลย

“สดุดีพระผู้เป็นเจ้าแห่งข้า สดุดีสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งข้า”

เบลดวาดวงกลมที่อก…เอกลักษณ์ของโบสถ์แห่งโรคระบาด

อ้อ…จะว่าไป ทั่วอาซีร์นี้มีพระเจ้าเพียงหนึ่ง แต่กลับมีลัทธิใหญ่สองนิกาย นั่นคือโบสถ์แห่งโรคระบาดและศาสนาแห่งตะวัน

ทั้งสองต่างบูชาพระเจ้าองค์เดียวกัน แต่กลับมีข้อพิพาทจากการตีความคำสอนต่างกัน ทุก ๆ ปี สองนักบุญ เจ้าลัทธิเร้ดและสังฆราชวินเซนต์แห่งศาสนาแห่งตะวันจะปรากฏตัวในรายการถ่ายทอดสดบนโทรทัศน์และวิจารณ์ซึ่งกันและกัน

หลังจากเบลดภาวนาจบ บาดแผลบนร่างของเขาก็เริ่มเรืองแสงจาง ๆ และค่อย ๆ ฟื้นตัว

ถึงอย่างไร นักบุญและพระเจ้าก็มีตัวตนอยู่จริง ดังนั้นปาฏิหาริย์แบบนี้จึงไม่ได้หาได้ยาก

เบลดยกมือขึ้น แถบผ้าพันแผลร่วงลง ปรากฏแถวเกล็ดกระจ่างใสปกคลุมแขนของเขา

ที่จริงแล้ว เขาแตกต่างจากคนอื่นนิดหน่อย นั่นเป็นเพราะสายเลือดครึ่งหนึ่งของเขามาจากสัตว์มายา

หลังจากแม่มดซิลเวอร์รวมแดนนิมิตเข้ากับโลกแห่งความจริง ทั้งสัตว์มายาและมนุษย์จึงอาศัยในแผนที่เดียวกัน ในฐานะสิ่งมีชีวิตซึ่งสร้างจากเวทมนตร์อันแข็งแกร่ง เผ่าพันธุ์สัตว์มายาซึ่งแม่มดซิลเวอร์ปกครองจึงย่อมเป็นตัวตนอันสูงส่งที่สุดเหมือนกับมังกรโบราณและเอลฟ์โบราณ

ร่างที่ทั้งเกียรติยศและความน่าอับอายอาศัยร่วมกัน นับเป็นตัวตนที่น่าเศร้าโดยแท้…

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตกเป็นหนูทดลองให้พ่อผู้ทะเยอทะยานของเขาเลย

“หวังว่าทุกอย่างจะจบในเร็ว ๆ นี้นะ…” เบลดพึมพำ จากนั้นก็หันหลังพุ่งหายเข้าไปในม่านฝน

“นายเจอมันไหม?” หัวหน้าหน่วยค้นหาในชุดขาวกล่าวกับลูกน้องผู้รีบร้อนเข้ามา

พวกเขาสวมเสื้อผ้าที่ผสานระหว่างความรัดกุมทางวิทยาศาสตร์และความสง่างามอันจรรโลงใจ กลัดเหรียญตราโอโรโบรอสและดาบไขว้ไว้บนบ่า

…นี่คือโลโก้ของ ‘สมาคมกรรมการแห่งนอร์ซิน’

จากตำนาน ว่ากันว่าราว ๆ ร้อยปีก่อนระหว่างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พระเจ้าผู้พิโรธได้ส่งมังกรสีเงินมาลงโทษเหล่าทูตสวรรค์ผู้เต็มใจร่วงหล่นและพยายามเป็นพระเจ้าเสียเอง และเหล่าทูตสวรรค์ผู้ร่วงหล่นซึ่งก็คือวิถีแห่งดาบอัคคีก็ถูกพระเจ้ากวาดล้างไม่เหลือ

องค์กรใหญ่ในหมู่มนุษย์ ณ ขณะนั้น หอพิธีกรรมต้องห้ามเสียหายหนักเนื่องจากพวกเขาเข้าร่วมกับทูตสวรรค์ผู้ร่วงหล่น

ในที่สุด มันก็ถูกควบรวมกับอีกองค์กร ซึ่งก็คือสมาคมแห่งสัจธรรม พวกเขารวมเป็นหนึ่งโดยสมบูรณ์และเปลี่ยนชื่อเป็นสมาคมกรรมการแห่งนอร์ซิน ซึ่งเป็นผู้นำทุกเรื่องราวของนอร์ซินในทุกวันนี้

อัศวินแห่งแสงโจเซฟเป็นประธานสมาคม และอดีตรองประธานสมาคมแห่งสัจธรรมแอนดรูว์ก็เป็น…รองประธาน

กล่าวกันว่าแอนดรูว์ทำหน้าที่รองประธานมาเป็นร้อย ๆ ปีแล้ว และมีชื่อเล่นว่ารองประธานพันปีโดยผู้คนรอบ ๆ เขา และกระทั่งคำสแลงในนอร์ซิน ชื่อแอนดรูว์กระทั่งถูกใช้เพื่อกล่าวถึงรองประธาน

“เบลด…” หัวหน้าหน่วยค้นหากระซิบ “บุคคลที่ใช้ชื่อนี้ต้องถูกจับตัวไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาเป็นลูกชายหัวหน้าองค์กรผู้ก่อการร้ายในเมืองเขตล่าง”

“ค่าหัวของผู้นำผู้ก่อการร้ายจะทำให้เราอิ่มหมีพีมันไปอีกหลายชั่วโคตรเลย” สมาชิกหน่วยค้นหาคนหนึ่งหัวเราะฮะ ๆ และพูดติดตลก “ลูกเขาก็เหมือนกัน”

หัวหน้าหน่วยค้นหาเหลือบมองลูกน้องของเขา และกล่าวว่า “เจ้านั่นอยู่ในซอย 16 และไม่มาหาเราแน่…”

ทุกคนแสดงสีหน้าเสียดาย

“นี่แหละ สาเหตุว่าทำไมการป้องกันพวกนายถึงเหลาะแหละนัก… แล้วสภาพน่าสมเพชนั่นมันอะไร?”

เสียงอ่อนเยาว์เสียงหนึ่งดังชัดเจนเป็นพิเศษท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ

สมาชิกหน่วยค้นหาหลายคนหันขวับไปมองโดยไม่รู้ตัวพลางยกอาวุธวิเศษที่ตนถนัดที่สุดออกมาชี้ไปยังชายผมขาวตรงหน้าพวกเขา

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

เสียงปืนระเบิดออกพร้อมออร่าแห่งเวทมนตร์

ช่างน่าเสียดายที่วินาทีถัดมา เบลดก็ดูราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งกับม่านพิรุณ ดุจสายลมพริ้วไหวกวาดผ่านร่างพวกเขา และวินาทีที่หัวหน้าหน่วยค้นหาได้เห็นรูปลักษณ์ของเขา ศีรษะของทุกคนก็กระทบสู่พื้น

เสาโลหิตระอุร้อนพุ่งออกจากศพ ย้อมสีพื้นในบริเวณใกล้เคียงทั้งหมดจนแดงฉาน

“ใครส่งพวกนายมาทำลายความมั่นใจของฉันล่ะ?” เบลดถามด้วยรอยยิ้มเยาะ

ทว่าร่างกายของเบลดกำลังจะทนไม่ไหวแล้ว ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็รีบลุกขึ้นและหนีไปจากวงล้อม

เราจะไปไหนได้ล่ะ…บ้านก็ไม่มี

จริงอย่างที่หน่วยค้นหาพูดกัน เราเป็นลูกชายหัวหน้ากองกำลังต่อต้านจากเมืองเขตล่างจริง ๆ แต่ก็เป็นความจริงที่พ่อของเขาผิดมนุษย์มนา เขาเป็นลูกชายผู้เกิดมาจากการทดลองสัตว์มายา ไม่มีความสนใจจะก่อการร้าย และไม่ต้องการเข้าร่วมกับเขา จึงหนีมาจากกลุ่มผู้ก่อการร้าย

ถ้าจะมีใครสักคนที่ไม่มีที่ไปเลยในนอร์ซิน คงเป็นเราแน่ ๆ สินะ?

เบลดคิดในใจอย่างเย้ยหยัน

ขณะวิ่งหนี เขาอดครุ่นคิดไม่ได้

บางทีเราอาจเข้าร่วมกับพวกนักล่าได้ พวกเขาไม่เคยสนใจที่มาที่ไปของสมาชิก และรับทุกคนที่มีสายเลือดสัตว์มายาอยู่แล้ว

ผู้นำของเหล่านักล่าเป็นหญิงปริศนาคนหนึ่ง และในฐานะลูกชายหนึ่งในผู้ก่อการร้ายตัวเอ้ เบลดย่อมรู้จักเธอดี

ชื่อของเธอคือจี้จือซู่…

เธอเป็นนักเวทผู้แข็งแกร่งในระดับเหนือนภา และยังเป็นผู้นำองค์กรนักล่าแห่งนอร์ซิน เครือข่ายนักล่าใต้ดินที่เธอสร้างขึ้นคือจุดแลกเปลี่ยนข้อมูลนับไม่ถ้วน กระทั่งสมาคมกรรมการแห่งนอร์ซินยังต้องพึ่งพาเธอ

และจี้จือซู่ก็เป็นหนึ่งในตัวตนในนอร์ซินโดยไม่ต้องสงสัย

ทว่ามีข่าวลือว่าความสัมพันธ์ระหว่างจี้จือซู่และแม่มดอายุนับศตวรรษแห่งหอการค้าแอช เชอร์รี่ แชปแมน ย่ำแย่สุด ๆ จนแทบจะถึงจุดที่เข้าต่อสู้กันทันทีที่พบหน้า

กล่าวกันว่าเรื่องนี้เป็นเพราะชายคนหนึ่งซึ่งหายสาบสูญไปนานแล้ว

เฮือก…!

เราไม่เข้าใจวิธีคิดของป้า ๆ ยาย ๆ พวกนี้เลยจริง ๆ… เบลดซุบซิบในใจ ขนาดอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เขายังมีอารมณ์มาซุบซิบเรื่องของคนใหญ่คนโตอีก นับได้ว่าหาความสุขท่ามกลางความทุกข์แท้ ๆ

อันที่จริง แม้แต่พวกนักล่ายังไม่กล้าหยิบเรื่องซุบซิบเหล่านี้ขึ้นมา มันเหมือนเป็นระเบิดเวลาสำหรับนอร์ซิน

“อย่างน้อยเราก็หลุดจากวงล้อมมาได้แล้ว…”

เบลดมองไปรอบ ๆ พลางถอนหายใจโล่งอก

สายฝนยังคงโปรยปราย

มีเพียงหนึ่งอาคารในละแวกใกล้เคียงที่ยังเปิดไฟสว่าง และป้าย ‘เปิดทำการ’ ที่ประตูก็โบกไสวไปกับสายลม

“ร้านหนังสือเหรอ?”

หรือเรา…จะเข้าไปซ่อนตัวในนั้นดี?

ความคิดดังกล่าวโผล่ขึ้นในใจเบลดโดยไร้คำเตือน ทำให้เขาเผลอเดินไปยังประตูร้านหนังสือโดยไม่ตั้งตัว

จันทร์เพ็ญก่อกำเนิดในนิมิต

มูเอนเยื้องย่างเท้าเปล่าบนผืนน้ำนิ่งสงบอันไร้จุดจบ คลื่นกระเพื่อมจากสองเท้ากลางราตรี หมู่ดาวที่สะท้อนบนผิวน้ำแตกกระจายเป็นเศษแสง

ท้องฟ้าดำสนิทและทางช้างเผือกทอดยาวบรรจบกับผิวน้ำ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

มูเอนกำลังฝัน

เธอไม่ค่อยได้ฝัน ในฐานะเจ้าของร้านหนังสือธรรมดา ๆ แม้ว่าเธอจะชอบให้เรียกว่าเจ้าของร้านก็เถอะ เธอเลิกฝันถึงรัตติกาลมานานแล้ว

ใครบางคนลากเธอเข้ามาสู่ความฝันนี้ และตัวเธอในฝันก็สวมผ้าคลุมหน้าสีดำยาวระบ่า สวมชุดเดรสยาวสีดำและถุงมือสีดำ

สิทธิ์เหนือรัตติกาลถูกเปลี่ยนมือ และวัลเพอร์กิสผู้ไร้ร่างก็มอบพลังที่เหลือและความทรงจำของเธอให้มูเอนทั้งหมด

ทว่าความฝันซึ่งควรจะมีเพียงรัตติกาลนี้กลับไม่เหมือนเดิม

ไม่นานนัก ลำธารใต้เท้ามูเอนก็ควบแน่นกลายเป็นชั้นน้ำแข็งบาง ๆ และท้องฟ้าก็เริ่มโปรยหิมะดุจภาพฝัน

ในความฝันของเธอ ต้นไม้เก่าแก่อันปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งเติบโตขึ้นในไม้ช้า และใต้ต้นไม้นั้นปรากฏสตรีโฉมงามในชุดขาวคนหนึ่ง

“ซิลเวอร์…”

มูเอนขมวดคิ้ว ไม่ชอบใจกับการมาเยือนของสหายเก่าคนนี้เท่าไร

“ไม่เจอกันนานเลยนะมูเอน”

ซิลเวอร์ยิ้มอย่างสง่างาม “อย่าระแวงนักสิ… เฮ้อ ดูเหมือนวัลเพอร์กิสจะทิ้งความทรงจำแย่ ๆ ไว้กับเจ้านะ”

มูเอนมองเธอด้วยสายตาว่างเปล่าราวกับพร้อมจากไปทันทีถ้าอีกฝ่ายไม่เข้าเรื่องภายในวินาทีถัดไป

“เจ้าคิดถึงเขาไหม?”

เมื่อมูเอนได้ยินเช่นนี้ สีหน้าดุจภูเขาน้ำแข็งของเธอก็เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นโดยไม่ตั้งใจ และเห็นสีหน้าขี้เล่นของซิลเวอร์

แก้มของเด็กสาวรู้สึกร้อนผ่าวเล็กน้อย ในขณะที่เธอกำลังจะอธิบายบางอย่างนั้นเอง เธอก็เห็นซิลเวอร์เก็บสีหน้าเจ้าเล่ห์และอ่อนโยนนั้นไป ทอดสายตามองไปไกล และเสียงของเธอก็ดังแผ่วดุจหิมะจากฟากฟ้า

“ข้าก็คิดถึงเขาเหมือนกัน”

ชายแดนแห่งหมอก

ชายชราในชุดคลุมเก่า ๆ คนหนึ่งกำลังนอนหลับบนเก้าอี้หินโบราณ เขาเท้าศอกกับที่วางแขนเพื่อพยุงศีรษะ และแหวนมรกตโบราณวงหนึ่งที่นิ้วโป้งของเขาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน

ใบหน้าเปรอะฝุ่นของเขาขยับ

จากนั้น คู่เนตรสีเทาฟ้าคู่หนึ่งก็เบิกขึ้นช้า ๆ

เราอยู่ที่ชายแดนหมอกสีเทามานานเกินไปแล้ว…ไวลด์ถอนหายใจเบา ๆ และมองไปยังท้องฟ้ามืดสนิท ที่ที่อาจารย์ของเขาเคยนั่งอยู่

เขาผละมือเท้า ลากชายอาภรณ์ขาดวิ่นไปบนพื้น ถือโคมไฟเดินช้า ๆ เข้าไปลึกในม่านหมอกสีเทา…

เมื่อร้อยปีก่อน กำแพงหมอกพังทลายลง โลกพลิกกลับด้าน ทว่าจนตอนนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าเดินไปยังอีกฝั่งของกำแพงสักที

และตอนนี้ เขาจะเป็นคนแรกที่ทำเช่นนั้น

การได้เป็นคนแรกที่ออกสำรวจหมอกสีเทา นี่ก็เป็นความปรารถนาสุดท้ายของอาจารย์เขาด้วย

ทันใดนั้น ไวลด์ก็ชะงักเท้า ดวงตาเบิกกว้างและมองกลับไป…

นิมิตหนึ่งอันมืดดำปะทุขึ้นในร่างของเขา

เขาเหมือนจะเห็นตัวเองเมื่อไม่กี่ปีก่อนที่ลากสังขารบาดเจ็บเดินช้า ๆ ไปยังร้านหนังสือแห่งหนึ่ง

เบลดลากสังขารอันเหนื่อยล้าของเขา สัมผัสได้ถึงความเจ็บแปลบที่ท้องน้อย

ตอนนี้เอง เขาจึงตระหนักได้ว่าตนก็ถูกยิงเข้าที่ท้องน้อย แต่มองข้ามันไปเนื่องจากประสาทอันตึงเครียดขั้นสุด

ว่าแล้วเชียว…การดิ้นให้หลุดจากสมาคมกรรมการและพ่อของเขา หาองค์กรนักล่าของจี้จือซู่ให้เจอและขอให้เธอรับเขาเข้าเป็นพวกคือความปรารถนาอันเป็นไปไม่ได้จริง ๆ ด้วย

เขามองอาคารตรงหน้าเขาซึ่งเปล่งแสงสีเหลืองหม่น ๆ อบอุ่น

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทางเดียวก็คือหาที่รักษาแผลก่อน จากนั้น…

ค่อยว่ากันทีหลัง

เบลดขยับเข้าไปใกล้พลางมองสำรวจร้านหนังสือ

ร้านหนังสือตั้งอยู่ท่ามกลางสายฝน แสงสว่างอบอุ่นส่องลอดออกมาจากหน้าต่าง และชั้นหนังสือเรียงแถวแน่นขนัดก็พอมองเห็นข้างในได้

นอกจากนั้น รอบข้างมืดสนิท

ฝนตกหนักมาก และแม้ว่าจะมีร้านรวงมากมาย

ทว่า…มีเพียงร้านนี้ที่ยังเปิดอยู่ แขวนป้าย ‘เปิดทำการ’ ไว้ที่ประตู และวางบันไดอย่างง่ายไว้หน้าประตูเพื่อให้เดินสะดวก แตกต่างจากบริเวณรอบข้างโดยสิ้นเชิง

เบลดกุมท้องน้อยของเขา กลิ่นเลือดถูกสายฝนชะล้าง นั่นจะเป็นทางรอดหรือกับดักกันนะ?

แล้วถ้าเป็นกับดักล่ะ?

ตลอดมา ไม่ว่าเขาจะเลือกอะไร ผลสุดท้ายก็ไม่ต่างกันอยู่แล้วนี่?

เขาก้มหน้าลงยิ้มอย่างขมขื่น รู้สึกยอมแพ้ ปล่อยตัวตามชะตานิดหน่อยท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ

เบลดเหยียบลงบนบันใดอย่างง่าย ผลักประตูเดินเข้าไปในร้านหนังสือ

กริ๊ง!!

เสียงระฆังที่หน้าประตูร้านหนังสือดังกังวาน

มีเพียงชายหนุ่มอายุประมาณเดียวกับเขาคนหนึ่งในร้านหนังสืออันเงียบงันนี้

กระทั่งสีของอีกฝ่ายยังแตกต่างกับเขาโดยสิ้นเชิง เสื้อผ้าทั้งตัวของเขาดำสนิท เส้นผมสีดำเช่นกันยุ่งเหยิงเล็กน้อย ผิวสีขาวซีด ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือในมือของเขา มีชาสองถ้วยซึ่งยังส่งควันกรุ่นตรงหน้า และยังมีอะไรอีก?

ไม่มีแขกคนอื่นนี่

ชาสองถ้วย?

เขาจงใจรอเราอยู่หรือเปล่า?

เบลดตะลึงงัน มองชายหนุ่มผู้ไม่รู้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่ตรงหน้าเขาอย่างระแวง

มีคนมากมายที่อยากฆ่าเขาหรือใช้งานเขา แต่จากท่าทีที่แสดง ดูเหมือนว่าเขาจะอยากสื่อสารด้วย?

ก่อนที่เขาจะทันอ้าปาก ในที่สุดชายหนุ่มก็ปิดหนังสือในมือลงและเงยหน้าขึ้นมองเขา…

“รอบนี้ผมไม่ได้รอนานแฮะ แต่…ยินดีต้อนรับครับ”

เจ้าของร้านหนังสือมองมาที่เขา ดวงตาสีดำไร้ก้นบึ้ง และพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนที่ปรากฏบนใบหน้า

“ดูเหมือนว่าคุณน่าจะมีปัญหาบางอย่างรังควานใจอยู่ใช่ไหม?”

(อวสาน)