บทที่ 338 รักกัน (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 338 รักกัน (1)

เรื่องของจิ้งไท่เฟยนั้นเป็นที่เล่าลือใหญ่โต แค่เพียงวันเดียวทั่วทั้งวังหลวงก็รู้แล้วว่าจิ้งไท่เฟยโดนลอบทำร้ายถึงสองคราภายในวันเดียว

“พวกเจ้าว่า…เป็นฝีมือใคร”

มุมหนึ่งในวังหลวง บรรดานางกำนัลและขันทีกลุ่มหนึ่งมารวมตัวกันอยู่ แอบวิพากษ์วิจารณ์เรื่องจิ้งไท่เฟยกัน

“จะเป็นใครไปได้อีกเล่า พวกเจ้าลองคิดดูสิว่าทั่วทั้งวังหลวงนี้ใครไม่อยากให้จิ้งไท่เฟยกลับมาที่สุด”

“หรือว่าจะเป็นไท…”

“ชู่ววว! เบาหน่อยสิ! เจ้าอยากถูกจับไปตัดหัวหรือไร! เจ้าอย่าได้เอ่ยนามของคนผู้นั้นเด็ดขาด ให้มันตายอยู่ในใจไป แม้แต่ในฝันก็อย่าได้พูดออกมา! มิฉะนั้นเจ้ารอโดนตัดหัวตายได้เลย! นางกำนัลขันทีที่ตายอยู่ในเงื้อมมือคนผู้นั้นมีเป็นพันเป็นหมื่นคนแหน่ะ”

“โหดเหี้ยมเพียงนั้นเชียวรึ”

นางกำนัลที่เพิ่งมาใหม่ตกใจจนตัวสั่น

อันที่จริงไม่เพียงแต่นางกำนัลและขันทีจะคิดเช่นนี้ แม้แต่หลานสาวสายตรงของจวงไทเฮาอย่างจวงกุ้ยเฟยยังคิดว่าที่จิ้งไท่เฟยเจออันตรายหลายครั้งหลายคราเพราะฝีมือท่านอาหญิงของตัวเอง

“ฝ่าบาท หม่อมฉันได้ยินมาว่าไท่เฟยโดนลอบทำร้ายอีกแล้ว ฝ่าบาททรงแอบสงสัยใครหรือไม่เพคะ” ณ ห้องทรงอักษรของตำหนักฮว๋าชิง เซียวฮองเฮามองฮ่องเต้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ความนัยของนางชัดเจนยิ่งนักว่าจวงไทเฮาเป็นคนทำ

ทว่ากลับเหนือความคาดหมาย เพราะฮ่องเต้กลับปฏิเสธว่า “อย่าคิดเพ้อเจ้อ ไม่ใช่ไทเฮา”

เซียวฮองเฮาคล้ายโดนสายฟ้าฟาดลงมา นางมองฮ่องเต้อย่างตกตะลึง

ฝ่าบาทว่าอย่างไรนะ

ไทเฮาไม่ได้เป็นคนทำอย่างนั้นรึ

ฝ่าบาทแก้ต่างให้ไทเฮาตั้งแต่เมื่อใด

พระองค์แทบจะโทษจวงไทเฮาไปเสียทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ฟ้าลมฝนก็ยังกล่าวโทษนาง

“ฝ่าบาท…” เซียวฮองเฮาเอ่ย

ฮ่องเต้เอ่ยตัดบทนาง “เอาละ เรื่องของเสด็จแม่จิ้งเจ้าไม่ต้องถามแล้ว เราจัดการเอง เจ้ากลับไปคุมนางกำนัลขันทีให้พวกนั้นไม่นินทาไร้สาระกันดีกว่า”

เซียวฮองเฮาขานรับอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “…เพคะ”

จวงกุ้ยเฟยไปยังตำหนักเหรินโซ่วด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส นางสาวเท้าเข้าไปในห้องหนังสือของจวงไทเฮา เดินไปพลางยิ้มเอ่ยไปพลาง “ท่านอา! ท่านเก่งกาจยิ่งนัก! ท่านทำอย่างไรหรือเพคะ ทั้งสั่งสอนปีศาจจิ้งจอกอย่างจิ้งไท่เฟย ทั้งหนีเอาตัวรอดได้! ข้าได้ยินว่าฝ่าบาทไม่สงสัยท่านเลยแม้แต่น้อย พวกขันทีตำหนักคุนหนิงนินทากันใหญ่ สุดท้ายท่านลองทายดูสิ โดนฝ่าบาทลงโทษกันหมดทุกคนเลยเพคะ ท่านอาเพคะ ท่านนี่ช่าง…”

จวงกุ้ยเฟยเอ่ยไปได้ครึ่งทางก็เห็นแววตาเย็นเยียบดุจมีดของจวงไทเฮา นางพลันกระจ่าง “ทะท่านอา”

“ปากเจ้ามันว่างนักรึ” จวงไทเฮาเอ่ยขู่แต่ไม่ได้โกรธ

จวงกุ้ยเฟยถูกรังสีอันน่าดเกรงขามของอาหญิงของตัวเองข่มเสียจนหายใจไม่ออก นางไม่กล้าสบตากับจวงไทเฮาตรงๆ รีบก้มหน้าลงคำนับให้ “ถวายบังคมท่านอาหญิงเพคะ”

จวงไทเฮาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้ายุ่งนัก ไม่มีธุระอะไรก็อย่ามารบกวนข้า!”

“เพคะ!” จวงกุ้ยเฟยกลับไปด้วยหน้าเหยเก

เท้านางเพิ่งก้าวออกไป ฉินกงกงก็ยกน้ำชาเดินตามเข้ามา

จวงไทเฮาตรวจบัญชีในมือ ก่อนถามขึ้นเสียงเรียบ “ไปส่งมาแล้วรึ”

“ส่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ ลงรถม้าจากหน้าตรอกปี้สุ่ย” ฉินกงกงยิ้มบอก

“อืม” จวงไทเฮาขานรับเสียงนิ่ง ก่อนจะตรวจบัญชีต่อ

ฉินกงกงเดินไปวางน้ำชาลงบนโต๊ะด้วยใบหน้ายากจะปิดรอยยิ้ม

“เจ้ายิ้มอะไรน่ะ” จวงไทเฮามองเขาอย่างประหลาดใจ

ฉินกงกงเอ่ย “บ่าวมีความสุขแทนไทเฮาน่ะสิพ่ะย่ะค่ะ!”

จวงไทเฮาแค่นเสียงเอ่ย “มีอะไรให้น่ามีความสุขกัน เด็กน้อยสองคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงซนกันเสียจนไม่รู้จักขอบเขต!”

กู้เจียวสวมชุดขันทีน้อยหนีเข้ามาในตำหนักเหรินโซ่ว จวงไทเฮาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าความจริงมันเป็นเช่นไร

“ปิดปากคนรับใช้สนิทแล้วหรือยัง” จวงไทเฮาถาม

ฉินกงกงเอ่ย “ไทเฮาวางใจได้ บ่าวจัดการเรียบร้อยแล้ว วันนี้เสี่ยวชวนจื่อเป็นคนไปจับจ่ายซื้อของ ระหว่างทางรถม้าเสีย บังเอิญเจอเซียวซิวจ้วนเข้า จึงได้กลับวังมาพร้อมเซียวซิวจ้วน องครักษ์เห็นขันทีน้อยบนรถม้าของเซียวซิวจ้วนเป็นเสี่ยวชวนจื่อพ่ะย่ะค่ะ”

วันนี้เสี่ยวชวนจื่อออกไปจับจ่ายซื้อของจริงๆ เพียงแต่หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น ไม่รอให้เขากลับมา ฉินกงกงก็ส่งให้ยอดฝีมือของวังหลวงไปขวางเอาไว้

ตอนกู้เจียวออกจากวังจึงใช้ตัวตนของเสี่ยวชวนจื่อเหมือนเก่า

เหตุผลคือผ้าที่ซื้อมาเกิดปัญหา เสี่ยวชวนจื่อจึงต้องไปเปลี่ยนของ

ตกค่ำมา เสี่ยวชวนจื่อตัวจริงนำผ้าที่เปลี่ยนแล้วกลับมายังวังหลวง

ฉินกงกงเล่าต่อ “แล้วก็พวกพยานที่เห็นเหตุการณ์ องครักษ์หลิวในกองทัพองครักษ์วังหลวงกับแม่นมโจวแห่งตำหนักเย็นจะเห็นสตรีชุดสีครามสะพายตะกร้าใบเล็กหายตัวไปในละแวกนี้ และคงเดาว่าอีกฝ่ายกระโดดข้ามกำแพงของตำหนักเย็นเข้ามาแน่นอน”

เรื่องเหล่านี้เซียวลิ่วหลังกับกู้เจียวไม่ได้ขอให้จวงไทเฮาทำ พวกเขาสองคนเล่นงานคนเสร็จก็เผ่นหนีไปแล้ว

จวงไทเฮาสีหน้าแข็งทื่อแค่นเสียงฮึดฮัด “เหอะ! ไม่กลัวถูกจับได้เลยรึ! คิดว่าตัวเองจัดการได้รอบคอบไร้ช่องโหว่หรือไร”

ฉินกงกงหัวเราะไม่หยุด

‘อันที่จริงดีใจจะแย่อยู่แล้ว ชื่นชมเด็กสองคนนั้นลูกวัวเพิ่งเกิดไม่กลัวเสือ แต่ดันแสร้งทำเป็นไม่ชอบไปเสียได้’

ฉินกงกงยิ้มเอ่ย “นี่คงเป็นเพราะพวกเขารู้ดีว่าไทเฮาจะตามล้างตามเช็ดให้พวกเขามิใช่หรือ ไทเฮาไว้ใจพวกเขา พวกเขาก็มอบงานเก็บกวาดให้ไทเฮาน่ะสิ”

“เหอะ!”

ไม่รู้เหมือนกันว่าแค่นเสียงไปกี่หนแล้ว

แต่ไหนแต่ไรมามนุษย์เรานั้นไม่ได้เชื่อใจกันเพียงเพราะลมปาก แต่เพราะการกระทำที่รู้ใจกันต่างหาก เชื่อใจในความจริงใจและเชื่อมั่นในความสามารถของคนผู้นั้น

แบบนี้…ก็สะใจไม่น้อย

จวงไทเฮาแค่นเสียง

กู้เจียวกับเซียวลิ่วหลังกลับมาถึงตรอกปี้สุ่ย

คืนนี้เจ้าของสวนผลไม้เชิญคณะละครมา ในสวนผลไม้จึงตั้งเวทีแสดง เพื่อนบ้านตามท้องถนนต่างไปดูละครกันหมด แม่นางเหยากับพวกเด็กๆ ที่บ้านก็ไปด้วยเช่นกัน

ดังนั้นภายในเรือนจึงไม่มีใครอยู่

แม้ว่าจะกินมื้อค่ำมาแล้ว แต่ก่อเรื่องในวังมายกใหญ่ ยามนี้ทั้งสองคนจึงค่อนข้างหิว

“ออกไปหาอะไรกินกันดีกว่า” เซียวลิ่วหลังบอก อย่างไรเสียก็ทำใจให้นางเข้าครัวกลางค่ำกลางคืนไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ก็อยู่ใกล้ถนนคนเดินที่คึกคัก อยากกินอะไรก็สะดวก

“เอาสิ” กู้เจียวขานรับ

พวกเขาไปถนนใหญ่เสวียนอู่กัน

เมืองหลวงในคืนฤดูร้อนนั้นครึกครื้นเป็นพิเศษ ร้านรวงเรียงรายเป็นแถว แผงลอยเล็กๆ ตั้งเรียงกันเป็นทางยาว กลางถนนรถม้ากับม้าพันธุ์ดีวิ่งเคลื่อนมาเป็นระยะๆ ผู้คนทั้งสองข้างทางหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย

เมื่อก่อนกู้เจียวจะเป็นคนเดินอยู่ริมนอก นางต้องปกป้องสามีตัวเอง วันนี้เซียวลิ่วหลังกลับให้นางเดินอยู่ริมในแทน

เซียวลิ่วหลังถือไม้เท้า ร่างกายของชายหนุ่มที่ดูกำยำขึ้นว่าปีก่อนแหวกทางฝูงชนให้นาง

ทว่าดันมีพ่อค้าแบกของคนหนึ่งมาวางของกลางถนนไม่ยอมเดิน จะเดินแทรกจากด้านในไปให้ได้ จึงเกือบจะชนกู้เจียวเข้า

เซียวลิ่วหลังดึงแขนนางไว้ จากนั้นมือเขาก็ไม่ได้ปล่อยในทันที แต่เคลื่อนลงมาจับมือนางไว้อย่างลังเล “เดี๋ยวหลง”

กู้เจียวชะงัก ก่อนจะแย้มยิ้มออกมา “อืม”

สามีก็อย่าหลงเหมือนกันล่ะ

เซียวลิ่วหลังเกือบตาพร่าเพราะรอยยิ้มของนาง เขามองไปเบื้องหน้าก่อนเอ่ยถาม “อยากกินอะไรรึ”

“อืม…ได้หมด!” นางบอก “เจ้าอยากกินอะไรล่ะ”

เขาเอ่ย “ข้าก็ได้หมดเช่นกัน”

ทั้งสองคนต่างไม่ใช่คนเลือกกินอยู่แล้ว

เซียวลิ่วหลังมองไปทางตะวันออก ก่อนเอ่ยขึ้น “ทางนั้นมีร้านบะหมี่เปิดใหม่ จะไปลองดูหรือไม่ บะหมี่พะโล้ร้านนี้อร่อยมาก”

“เจ้าเคยกินแล้วรึ” กู้เจียวหันมาถามเขา

“อืม” เขาพยักหน้า “เคยกินตอนเด็กๆ ตอนนั้นร้านพวกเขายังไม่ได้มาเปิดตรงทำเลทองเช่นนี้ ต้องไปชานเมืองห่างไกลมากจึงจะได้กิน หลายปีมานี้เหมือนจะร่ำรวยขึ้นแล้ว เปิดหลายสาขาเลย”

เขาไม่มีทางเป็นฝ่ายพูดถึงตัวตนในอดีตของตัวเองก่อน แต่หากถูกเอ่ยถึงก็ไม่จงใจหลบเลี่ยงอย่าเคยอีกต่อไป

เพียงแต่เขาไม่เคยยอมรับว่าตัวเองเป็นใครก็เท่านั้น

ลูกชายนอกสมรสของเซวียนผิงโหว…เซียวลิ่วหลัง คือตัวตนที่เขาสามารถประกาศให้คนใกล้ชิดทราบได้ในตอนนี้

คนที่รู้ตัวตนนี้ก็ไม่ได้มีมาก ที่บ้านมีแค่กู้เจียวกับแม่นางเหยาและเณรน้อยเท่านั้นที่รู้ กู้เหยี่ยนเด็กคนนั้นฉลาดก็อาจจะเดาได้แล้ว แต่น่าจะยังเดาไม่ออกว่าเป็นเซียวเหิง

ส่วนกู้เจียวนั้น นางคาดเดาไปถึงไหนต่อไหนแล้วเซียวลิ่วหลังไม่ได้ถาม

ดูเหมือนว่ากู้เจียวไม่เคยคิดจะถามซักไซ้ไล่เรียงเขาอยู่แล้ว นางเคารพเขา ไว้ใจเขา ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม

กู้เจียวหยักยกมุมปาก “เอาสิ เช่นนั้นก็ไปกินบะหมี่พะโล้กัน!”

อย่าคิดว่าร้านบะหมี่ร้านนี้เปิดใหม่แล้วจะขายไม่ดีเชียวล่ะ ชั้นบนชั้นล่างที่นั่งเต็มทุกโต๊ะเลยทีเดียว

“โอ้โห ค่ำป่านนี้แล้วยังมีคนกินบะหมี่เยอะเพียงนี้อีกหรือ” กู้เจียวถามอย่างแปลกใจ

คนงานร้านยิ้มเอ่ยพลางขอโทษ “ร้านเพิ่งเปิดใหม่ ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าประจำอยู่แล้วขอรับ อีกอย่างร้านของพวกเราไม่ได้มีแค่บะหมี่ เครื่องเคียงของร้านเรากับน้ำแกงก็เด็ดยิ่งนัก! ยามนี้อากาศร้อนเช่นนี้ ยิ่งกินในห้องก็จะยิ่งอบอ้าว ให้ข้าน้อยตั้งโต๊ะกลางลานให้ทั้งสองท่านดีกว่า เย็นสบายนัก!”

หน้าร้านมีโต๊ะวางอยู่หลายโต๊ะเช่นกัน กวาดตามองไปเหมือนกันแผงขายอาหารเมื่อชาติก่อนเลย

กู้เจียวเกิดความรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมา

เซียวลิ่วหลังมองนางแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยกับพนักงานร้าน “ได้ เจ้าไปตั้งโต๊ะเลย”

“ขอรับ! เชิญลูกค้าทั้งสองท่านทางนี้!” คนงานร้านใบหน้ายิ้มแย้มพลางพาทั้งสองคนเข้าไปในร้านบะหมี่ เดินผ่านห้องโถงมายังลานกว้าง

ลานนั้นกว้างขวางนักทั้งยังเงียบสงบมากด้วย ไม่มีสิ่งใดกีดขวางบดบังสายตา นั่งตรงนี้สามารถเห็นทิวทัศน์ในร้านอาหารได้หมด

ราวกับเห็นทุกความเป็นไปบนโลกนี้

คนงานของร้านยกโต๊ะกับม้านั่งยาวมาให้

ทั้งสองนั่งลงบนม้านั่งยาวตัวเดียวกัน แล้วสั่งบะหมี่พะโล้คนละชามกับเครื่องเคียงอีกสองจาน น้ำแกงอีกถ้วยเพียงแค่นั้น เพราะหากกินไม่หมดคงเสียดายแย่

ระหว่างรอบะหมี่พะโล้ คนงานของร้านก็ยิ้มเดินมาถาม “ลูกค้าทั้งสอง โต๊ะร้านเราหมดแล้ว มีลูกค้ามาเพิ่มอีกสองท่าน ให้นั่งร่วมโต๊ะกับพวกท่านได้หรือไม่”

ทั้งสองไม่มีปัญหา

คนงานร้านเดินนำคนเข้ามา ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นไท่จื่อกับไท่จื่อเฟย