บทที่ 338-2 รักกัน (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 338 รักกัน (2)

ไท่จื่อและไท่จื่อเฟยปลอมตัวมากันตามลำพัง ไม่ได้พาขันทีกับนางกำนัลมาด้วย มีเพียงยอดฝีมือของวังมาเป็นคนขับรถให้แค่คนเดียว

ไท่จื่อกับไท่จื่อเฟยดูเหมือนจะไม่คาดคิดเช่นกันว่าจะมาเจอเซียวลิ่วหลังกับกู้เจียวที่นี่

ไท่จื่อยามนี้เห็นเซียวลิ่วหลังก็จะคิดถึงโจทย์คำนวณหน้าเล่มเตอะขึ้นมา สมองพลันปวดตุบๆ

ไท่จื่อไม่เคยเจอกู้เจียวมาก่อน เห็นเพียงเซียวลิ่วหลังนั่งอยู่ด้วยกันกับสตรีนางหนึ่ง ทำให้พระองค์รู้สึกประหลาดใจ

ได้ยินว่าเซียวลิ่วหลังแต่งงานแล้ว

หญิงผู้นี้เป็นภรรยาของเซียวลิ่วหลัง หรือว่าเป็นหญิงชู้รักที่เอาการเอางานที่เขาแอบเลี้ยงดูอยู่ข้างนอกกันแน่

ไท่จื่อไม่ได้สนใจ เดิมทีสตรีก็เป็นของประดับของบุรุษอยู่แล้ว หญิงผู้นี้เป็นภรรยาของเซียวลิ่วหลังหรือไม่ไท่จื่อไม่ได้สนใจจะมองนางตรงๆ

ไท่จื่อขมวดคิ้ว ไม่ค่อยอยากกินอาหารที่นี่เสียแล้ว

อย่างไรเสียไม่ว่าใครมาเจออาจารย์อย่างเซียวลิ่วหลังก็ไม่มีอารมณ์กินข้าวหรอก ในสมองมีแต่โจทย์ที่เขาตั้งให้

ทว่าไท่จื่อก็ไม่อาจไล่เซียวลิ่วหลังได้ แบบนั้นมันโอหังใช้อำนาจบาตรใหญ่เกินไป เสียชื่อเสียงที่พระองค์สร้างไว้ต่อปวงชนในหลายปีมานี้

เขาอยากกลับ

จู่ๆ ไท่จื่อเฟยก็ดึงแขนเสื้อเขาไว้ ก่อนกระซิบเสียงเบา “ฝ่าบาท ตรงนี้มีที่นั่งเพคะ”

“เขา…” ไท่จื่อคิดในใจว่า เจ้าจำไอ้หนุ่มนี่ไม่ได้รึ เซียวลิ่วหลังอย่างไรเล่า! หน้าตาเหมือนลูกชายท่านลุงข้า เป็นขุนนางคนสนิทของเสด็จพ่อข้า เป็นอาจารย์สำนักฮั่นหลินของข้า!

ไท่จื่อเฟยเอ่ยเสียงนุ่ม “เหมือนจะเป็นเซียวซิวจ้วนนะเพคะ บังเอิญเสียจริง”

นางเอ่ยพลางเบนสายตาไปบนใบหน้าหล่อเหลาของเซียวลิ่วหลัง

ในขณะนั้นเอง คนงานร้านก็ยกบะหมี่พะโล้มาให้สองชาม “ลูกค้าสองท่าน บะหมี่พะโล้ของท่านขอรับ!”

เซียวลิ่วหลังไม่เหลือบขึ้นมองสักนิด ราวกับว่าเสียงของคนงานร้านดังมาก เขาจึงไม่ได้ยินเสียงไท่จื่อเฟย

ไท่จื่อเฟยกระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย

แต่ไท่จื่อกลับคิดว่าประโยคนั้นของนางเอ่ยกับตัวเอง จึงถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ “ใช่น่ะสิ เป็นเขา ช่างบังเอิญเสียจริง”

ไท่จื่อเฟยกะพริบตาปริบๆ นางยิ้มเอ่ย “เมืองหลวงกว้างใหญ่เพียงนี้ กินมื้อดึกก็ยังเจอกันได้ ช่างเป็นวาสนาของไท่จื่อกับเซียวซิวจ้วนโดยแท้”

ประโยคนี้ไม่ได้เสียงดัง แต่เซียวลิ่วหลังกับกู้เจียวได้ยินเข้าพอดี

ทั้งสองไม่มีใครสนใจนางเลยสักคน

ไท่จื่อเอ่ยอย่างไม่แยแส “ใครอยากมีวาสนากับเขากัน!”

“ข้าหิวแล้ว” ไท่จื่อเฟยเอ่ย

“ชะ…เช่นนั้นก็นั่งเถิด!” ไท่จื่อฝืนใจลากไท่จื่อเฟยมานั่งลงตรงข้ามทั้งสองคน ก่อนจะเอ่ยกับคนงานร้าน “เอาของขึ้นชื่ออร่อยๆ ของที่นี่มาให้หมด!”

“ไท่จื่อจะกินหมดหรือ” ในที่สุดเซียวลิ่วหลังก็สนใจเขาแล้ว แต่ไม่ได้ใช้น้ำเสียงดีเด่อะไร

ไท่จื่อกวาดตามองบะหมี่พะโล้สองชามของทั้งคู่ ก่อนจะคิดในใจ ที่นี่ก็ดูซอมซ่อเหลือเกิน เขาโอ้อวดอย่างหน้าใหญ่ “คืนนี้ข้าเลี้ยงเอง เซียวซิวจ้วนกินตามสบายเลย ไม่ต้องเกรงใจข้า หากเงินเดือนสำนักฮั่นหลินไม่สูง เซียวซิวจ้วนก็มาฝากชื่อเป็นที่ปรึกษาที่จวนข้าได้”

เซียวลิ่วหลังมองเขานิ่งๆ “ลอบสมัครพรรคพวกส่วนตัวเป็นโทษมหันต์ ไท่จื่อจะทำเช่นนี้จริงๆ น่ะหรือ”

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในจวนจะเลี้ยงที่ปรึกษากับคนใช้ไว้ โดยปกติแล้วฮ่องเต้ทำเป็นหลับหูหลับตาไป แต่หากเลี้ยงศิษย์ของแห่งโอรสสวรรค์ก็จะกระตุกหนวดฮ่องเต้เกินไปหน่อย

เซียวลิ่วหลังเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ข้าเป็นศิษย์แห่งโอรสสวรรค์ ตั้งใจถวายการรับใช้ฝ่าบาทสุดกำลัง ไท่จื่อให้ข้าฝากชื่อไว้ที่จวนท่าน ทรงเอาฝ่าบาทไปไว้ที่ไหนพ่ะย่ะค่ะ”

ไท่จื่อสะอึก พูดอะไรไม่ออก

เมื่อครู่มัวแต่เยาะเย้ยเซียวลิ่วหลังอยู่ ลืมไปเลยว่าไอ้หนุ่มนี่เป็นจิ้นซื่ออันดับสอง เคยโดนเสด็จพ่อเรียกเข้าเฝ้า เคยร่วมงานเลี้ยงลู่หมิง เป็นศิษย์แห่งโอรสสวรรค์ที่แท้จริงเลย

นี่ตนจะดึงตัวคนของเสด็จพ่อไปเป็นพวกรึ

ลือออกไปคนอื่นจะมองไท่จื่ออย่างเขาเช่นไร

“อะแฮ่ม!” ไท่จื่อเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เมื่อครู่ข้าแค่ลองหยั่งเชิงเจ้าเท่านั้น เจ้าจำได้ว่าตัวเองเป็นใครก็ดีแล้ว”

เพียงไม่นานอาหารจานเย็นของทั้งสองก็มา เป็นยำสามสหายกับเนื้อแกะน้ำพะโล้

เซียวลิ่วหลังคีบเนื้อแกะที่นุ่มที่สุดวางใส่ชามให้กู้เจียว

ไท่จื่อเฟยมองเซียวลิ่วหลัง แล้วก็มองกู้เจียว

นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นทั้งคู่ใกล้เพียงนี้ ท่าทางเซียวลิ่วหลังทับซ้อนกันกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอ่อนเยาว์ในความทรงจำนั้น แต่พวกเขาก็แยกจากกันครั้งแล้วครั้งเล่า

เด็กหนุ่มนิสัยสดใสดุจดวงตะวันคนนั้น แววตาใสซื่อบริสุทธิ์ อ่อนโยนและสดใส

เซียวลิ่วหลังตรงหน้ากลับห่างเหิน ปฏิเสธคนที่เข้าใกล้และเย็นชากว่าเดิมหลายเท่า หน้าตาเขาไร้ซึ่งกลิ่นอายเยาว์วัยของเด็กหนุ่มแล้ว แต่สุขุมและองอาจผ่าเผยของบุรุษนั้นเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

ทว่าแววตาที่เขามองไปยังกู้เจียวกลับต่างออกไป เพราะมันมีความอ่อนโยนที่แม้แต่ตัวเองยังไม่เคยสังเกตเห็น

เขาเคยมองนางเช่นนี้เหมือนกัน ราวกับว่าดวงตาคู่นั้นมีแค่นาง

ไท่จื่อเฟยลอบกำผ้าเช็ดหน้าแน่น

ข้ากำลังคิดอะไรอยู่กันนะ

เห็นเขาเป็นอาเหิงอีกได้อย่างไรกัน

เนื้อแกะร้านนี้ถูกปากกู้เจียวยิ่งนัก นางกินอย่างเอร็ดอร่อยทีเดียว

เดิมทีไท่จื่อไม่คิดจะสนใจนาง แต่เซียวลิ่วหลังตอกหน้าเขาไปทีหนึ่ง เขายังไม่ได้พูดบรรยากาศก็อึดอัดมากขึ้น จึงเบนสายตาไปบนหน้าของกู้เจียวโดยไม่ได้ตั้งใจ

ไม่มองก็คงไม่รู้ พอได้มองก็ตกใจทันที เหตุใดใบหน้านางจึง…

“ลูกค้าขอรับ! อาหารของท่านมาแล้ว!”

คนงานร้านยกอาหารขึ้นชื่อของที่ร้านมาเต็มโต๊ะ

แม้ว่าจะมากมายละลานตา แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ไท่จื่อจึงรู้สึกว่าเนื้อแกะของพวกเซียวลิ่วหลังอร่อยที่สุด

กู้เจียวกับเซียวลิ่วหลังกินกันจนอิ่มพอสมควรแล้ว กำลังจะกลับกัน จู่ๆ กู้เจียวก็ทำจมูกฟุดฟิดไปมา “เสี่ยวเอ้อร์ อะไรน่ะหอมเชียว”

พนักงานร้านยิ้มบอก “สุราดอกกุ้ยฮวาของทางร้านขอรับ หากลูกค้าชอบ ข้าแถมให้ไหหนึ่งเลย! ร้านเพิ่งเปิดใหม่ ยินดีต้อนรับเสมอ”

“นี่คือสุรารึ” กู้เจียวมองพนักงานส่งขวดมาให้พลางถาม

พนักงานร้านเอ่ย “ไม่นับว่าเป็นสุรา! เพราะดื่มแล้วไม่เมา! พวกหญิงสาวชอบกันเป็นที่สุด…”

กู้เจียวดื่มดูอึกหนึ่ง

ครู่ต่อมา เสียง ‘ตุ้บ’ ก็ดังขึ้น ศีรษะน้อยๆ กระแทกกับโต๊ะเมาพับไปเลย

โชคดีที่เซียวลิ่วหลังตาไวมือเร็ว เขาเอาหลังมือไปรองหน้าผากนางทันพอดี

คนงานร้านยิ้มแหยๆ “ลูกค้าก็จริงๆ เลย…คออ่อนนี่เอง…”

ไท่จื่อเฟยเอ่ยเสียงเบา “พวกเรามีรถม้า ให้คนขับรถส่งพวกเจ้ากลับดีกว่านะ”

ไท่จื่อลอบเบ้ปาก เหตุใดจึงต้องดีกับพวกเขาเพียงนั้นด้วย

เซียวลิ่วหลังเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “ไม่ต้องหรอก”

ไท่จื่อแค่นหัวเราะเอ่ย “เจ้าดูสิ คนเขายังไม่รับน้ำใจอีก”

เซียวลิ่วหลังไม่สนใจไท่จื่อ ใช้มืออีกข้างตบแขนน้อยๆ ของกู้เจียวเบาๆ ก่อนเอ่ยเรียกข้างหูนางเบาๆ “เจียวเจียว กลับกันได้แล้ว

“หืม” กู้เจียวตาลาย

“กลับกันได้แล้ว” เขาเอ่ยอย่างอ่อนโยน

กู้เจียวนั่งตัวตรงพรวดขึ้นมา ดวงตาคู่นั้นทั้งกลมทั้งโต สีหน้าจริงจังยิ่งนัก “ข้าไม่ได้เมา!”

“อืม” เขาเอ่ยปลอบนางเบาๆ มุมปากหยักยกขึ้นเล็กน้อย “เจียวเจียวไม่ได้เมา”

น้ำเสียงกระจ่างชัดของชายหนุ่มแฝงไปด้วยความเสน่ห์ดึงดูดของบุรุษเพศ พาลให้คนได้ยินหัวใจอ่อนยวบไปหมด