บทที่ 449 กลิ่นเหม็นในสระบัว

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 449 กลิ่นเหม็นในสระบัว

“สิ่งที่ข้าต้องทำก็ได้สำเร็จไปแล้ว ถึงแม้ราชครูใหญ่จะไม่รู้จักสถานะของเจ้า แต่ก็ต้องสงสัยแน่นอน และจะต้องหาวิธีคลายความสงสัยให้ตนเอง!”

อย่างไรก็ตามเมื่อตัดชื่อของหานแสซึ่งเป็นท่านชายของตระกูลหานออกไป เมื่อราชครูใหญ่ต้องการตรวจสอบอะไรในตัวเขาก็ตรวจสอบไม่พบ

มองไปยังหลานเยาเยาและขมวดคิ้วเล็กน้อย

หานแสจึงพูดออกไปตรงๆ “ช่างเถอะ ข้ายังมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าต้องทำ ขอตัวก่อน”

พูดจบ เขาก็พาทุกคนออกไป

ก่อนจะออกไป ป่ายเม่ยเซิงได้ขยิบตาให้หลานเยาเยา และพูดอะไรบางอย่างที่เข้าใจยาก

“เทพธิดา วันนี้ข้าได้พบกับคนงามคนหนึ่ง งดงามเหมือนดอกไม้ แต่ก็ต้องระงับจิตใจตนเองไว้ เพราะในใจของข้ามีเพียงแต่เจ้า

อ้อ ใช่สิ ทางนั้นยังมีคนโดนมนต์ดำ ตายอยู่อีกสองคน ไม่รู้ว่าคนขององค์ชายรัชทายาทจะจัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อยหรือยัง เจ้าลองให้คนไปดูหน่อย”

เมื่อได้ยินคำพูดประโยคแรกนั้น

หลานเยาเยาก็ถึงกับพูดไม่ออก จนถึงตอนนี้แล้ว ยังมามีจงใจมาพูดเรื่องนี้อีกหรือ?

แต่ประโยคหลัง ทำให้นางรู้สึกอารมณ์ไม่ดี

จนกระทั่งพวกเขาจากไป จื่อซี ก้าวออกมาอย่างสงสัย “คุณหนู ตอนนี้พวกเราต้องไปไหม”

หลานเยาเยาส่ายหน้า

“ถึงอย่างไรราชครูเทียนเวิงน่าจะรู้เรื่องที่ข้าทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ดอกกระดูกขาวได้โดยไม่ต้องสืบ ตอนนี้จะไปหรือไม่ไปก็ไม่ต้องสนใจแล้วล่ะ เรื่องที่สำคัญที่สุดตอนนี้ คือการตรวจสอบว่ามีพวกผู้ทำผิดหนีรอดไปได้บ้างหรือไม่”

ก่อนที่เย่หลีเฉินจะออกไป นางก็ได้อธิบายให้อย่างชัดเจนแล้ว

เพียงแต่หลังจากทำให้ฮ่องเต้และพวกเสนาบดี เชื่อได้แล้ว ก็จะต้องกำจัดศพของคนโดนมนต์ดำมิเช่นนั้นอาจจะมีปัญหาตามมาไม่รู้จบ

เย่หลีเฉินรู้ดีถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ จึงได้ตอบตกลงอย่างเคร่งขรึม

หลังจากนั้นไม่นาน

จื่อซีจื่อเฟิงมารายงาน

“คุณหนู ข้าได้ตรวจสอบสวนว่างฮัวจนทั่วแล้ว แม้แต่พุ่มดอกไม้ก็ได้ตรวจสอบแล้ว ไม่พบร่างของคนโดนมนต์ดำ

ตามรายชื่อคนที่ถูกเชิญของถังมู่หวั่น มีจำนวนทั้งหมดแปดสิบคนที่มาร่วมงานเลี้ยงดอกไม้ กลายเป็นคนโดนมนต์ดำเป็นจำนวนสิบเจ็ดคน จัดการกับศพของคนโดนมนต์ดำไปแล้วสิบสองศพ มีอีกสี่ศพของคนโดนมนต์ดำและที่มีชีวิตอยู่อีกหนึ่งได้ขอให้องค์ชายรัชทายาทนำกลับไปยังเมืองหลวง จำนวนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ตรงกัน”

“อืม!”

หลานเยาเยาตอบเบาๆ

ดูแล้วเหมือนจะไม่มีสิ่งผิดปกติ แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

เป็นเพราะเมื่อตอนที่ได้พบพวกองครักษ์มาส่งถังมู่หวั่นออกจากสวนว่างฮัว สายตาของนางมีความผิดปกเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร

“เอารายชื่อมาให้ข้า พวกเจ้าไปตรวจดูให้ละเอียดอีกครั้ง”

“ขอรับ!”

หลังจากหลานเยาเยาได้รับรายชื่อ เปิดออกดูทีละหน้า จนกระทั่งถึงหน้าสุดท้าย แต่กลับไม่พบสิ่งผิดปกติ

มีคนรวมทั้งหมดแปดสิบคนจริงๆ แน่นอนว่าไม่รวมองครักษ์ที่ เย่หลีเฉินพามา และไม่รวมคนที่นางและหานแสแอบพามาด้วย เป็นเพียงรายชื่อของแขกที่ได้รับเชิญเท่านั้น

แต่!

จำนวนคนที่นางและหานแสรวมทั้งเย่หลีเฉินได้พามานั้นถูกนับดูหมดแล้ว ไม่พบปัญหาใด ๆ

ดังนั้น!

นางจึงถอนหายใจออกมา

บางทีนางอาจจะคิดมากเกินไป

“ข้าจะพาคนสองสามคนไปยังสระบัว พวกเจ้าไปยังสวนว่างฮัวอีกครั้งลองซุ่มดูอยู่สักหน่อย จากนั้นไปพบกันที่สระบัว”

สระบัวที่นั่นดูแปลกมาก

น้ำที่อยู่ในสระนั้นแห้งไปหมดแล้ว บ่อน้ำก็ถูกทิ้งร้างเช่นกัน ดอกบัวก็บานสะพรั่งกว่าดอกไม้ที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ อีกทั้งหานแสบอกว่าที่นั่นมีพลังด้านมืดอยู่หนาแน่น เมื่อไปดูก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็ยากที่จะบอกว่าจะได้พบกับอะไร

ดังนั้น!

หลานเยาเยาได้สั่งการองครักษ์ทั้งสอง เพื่อเป็นการสะดวกให้พวกของจื่อซีแยกกันออกไป

ต้นหญ้าเขียมชอุ่ม กิ่งไม้รกรุงรัง แมลงส่งเสียงร้องยามกลางวัน ดอกบัวงดงามโดดเด่น ไม่ว่าจะมองอย่างไรภาพฉากของสระบัวแห่งนี้ก็ดูจะวังเวงและเศร้าหมอง

ริมสระบัว

หญิงสาวคนหนึ่งในชุดสีแดง กำลังยืนอยู่ตรงนั้น สายตาที่เย็นชาและสดใสนั้นมองไปยังดอกบัวบานขนาดใหญ่ที่อยู่ในสระ ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่

ในไม่ช้า สายตาของนางก็ขยับเล็กน้อย ก้าวขาลงไปในสระบัว แต่ขณะที่กำลังหย่อนขาลงไปนั้น ก็หยุดลงทันเวลา

แม้ว่าสระบัวจะแห้งไปนานแล้ว บนพื้นผิวไร้น้ำ ดูเหมือนว่าจะแตกระแหงไปแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นแบบนี้ไปทั่วทั้งสระบัว

ดังนั้นนางจึงมองไปยังเสื้อผ้าของตนเอง

ผู้หญิงที่ดูสวยงามอย่างนาง ไม่ควรจะมาสัมผัสกับแสงแดดหรืออะไรเช่นนี้ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ควรปล่อยให้คนอื่นเป็นคนทำ

องครักษ์ทั้งสองที่อยู่ด้านหลังยังคงสงสัยว่าทำไมเทพธิดาจึงต้องยกเท้าขึ้น เมื่อเห็นว่านางหันกลับมา สายตาก็เต็มไปด้วยเจตนาที่ดูมุ่งร้าย

“พวกเจ้าลองลงไปดูในสระบัว ค้นให้ละเอียด หาอย่างรอบคอบ ขุดสระลงไปสามฟุตจะต้องพบจุดที่น่าสงสัย หลังจากทำสำเร็จจะมีรางวัลให้อย่างหนักแน่นอน”

โชคดีที่ยังมีทั้งสองคนติดตามอยู่ ไม่เช่นนั้นก็คงต้องลงไปด้วยตนเอง อาจจะทำให้เสื้อผ้าต้องสกปรกไม่ว่า แต่ยังต้องขัดขวางการรับประทานอาหารของตนเองอีก

สำหรับรางวัลมากมาย หากได้ยินสี่คำนี้จากตำหนักอื่น พวกเขาก็คงจะดีใจกระโดดโลดเต้น แต่นี่คือตำหนักเทพธิดา……

โธ่!

อย่าไปพูดถึงดีกว่า

เมื่อทำงานที่สั่งสำเร็จแล้ว รางวัลที่จะได้รับอย่างมากมายนั่นคือการเพิ่มขาไก่สองชิ้น ขาหมู ส่วนเรื่องเงินนั้นไม่ต้องไปคิดเลย…

หลังจากองครักษ์ทั้งสองทำความเคารพ จากนั้นก็ลงไปยังสระบัว

เป็นเพราะเรื่องภาพลักษณ์ ในตอนแรกหลานเยาเยาได้นั่งยองอยู่ริมสระบัว หลังจากนั้นไม่นาน นางจึงขยับฝีเท้า จากนั้นก็หยิบขาหมูออกมาจากช่องว่างที่ระบบรักษา อาศัยพุ่มดอกไม้ปิดบังตนเองไว้จากนั้นก็นั่งกินอยู่ตรงนั้น

รสชาติของขาหมู กลิ่นหอมฉุย อร่อยและไม่เลี่ยน ได้กินแล้วก็อยากกินอีก ขณะกำลังกินเลยทีเดียว

เดิมทีอากาศบริสุทธิ์ ดอกไม้ใบหญ้าส่งกลิ่นหอม เป็นกลิ่นหอมของธรรมชาติ แต่ในวินาทีถัดมา กลิ่นกลับเปลี่ยนไป กลายเป็นความเหม็นฉุน ซึ่งอาจสามารถฆ่าคนได้ทันทีเพียงสูดดมเข้าไป

“อ้วก…”

หลานเยาเยาอาเจียนสิ่งที่กินเข้าไปออกมาจนหมด แต่ก็แอบเสียดายอยู่ในใจ กินไปเปล่าๆเสียแล้ว

ทันใดนั้นจมูกและปากก็ทำอะไรไม่ถูก จึงไปตรวจสอบหาที่มาของกลิ่น

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” นางถามขึ้น

กลิ่นเหม็นอันน่าขยะแขยงนั้นโชยมาจากสระบัว จะต้องพบอะไรบางอย่างแล้วแน่นอน นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดปาก เสี้ยววินาทีเดียวนางก็กลับคืนสู่ภาพลักษณ์ของเทพธิดาผู้เยือกเย็น

แต่น่าเสียดายคำตอบที่นางได้รับคือความเงียบสงัด

แย่แล้ว!

หลังจากแอบส่งเสียงออกมา นางก็เสียดายที่จะโยนขาหมูที่กินเหลือเอาไว้ครึ่งหนึ่งทิ้งไป ลุกขึ้นไปดูที่สระบัว รูม่านตาของนางก็ลดลงทันที

ในสระบัว องครักษ์ทั้งสองคนที่สั่งให้ไปทำการค้นหาได้เป็นลมหมดสติไปแล้ว อีกทั้งพวกเขายังเอาศีรษะปักลงในหลุมที่ขุดไว้ ดูเหมือนกับถูกคนปักเอาไว้ข้างใน

แต่!

สิ่งที่แปลกคือ…

ศีรษะที่ติดอยู่ในดินของพวกเขา มีกระดูกเปื้อนโคลนอยู่สองชิ้น เมื่อดูลักษณะของกระดูกโดยตรง น่าจะเป็นกระดูกขาที่ขาวมากของขาทั้งสองข้าง

จึงไม่น่าแปลกใจ ที่แท้กลิ่นเหม็นนั้นคือกลิ่นของศพที่ถูกขุดขึ้นมา

เพียงแต่กลิ่นเน่าของกระดูกนี้ มีจุดแปลกประหลาดอยู่ ไม่เช่นนั้นในฐานะที่นางเป็นหมอที่มีความคุ้นเคยกับศพคนหนึ่ง กลิ่นที่เหม็นที่สุดก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยได้กลิ่น แต่กลับไม่เคยได้กลิ่นของศพที่น่าขยะแขยงชวนคลื่นไส้เช่นนี้มาก่อน

บางทีองครักษ์ทั้งสองคนนั้นอาจจะต้องการดึงศพออกมา แต่กลับไม่คิดว่าจะทำให้ถึงกับวิงเวียนจนหมดสติ

การที่ศีรษะปักลงไปในดินแบบนั้น ทำให้หายใจไม่สะดวก ดังนั้นหลานเยาเยาจึงเหาะไป พาพวกเขากลับมาริมสระบัวทีละคน

แน่นอน!

ในมือของนางยังกำขาหมูเอาไว้แน่น

หลังจากพาทั้งสองมาไว้ที่ข้างหนึ่งแล้ว นางก็รีบถอยห่างจากพวกเขาทันที แต่ก็ไม่สามารถหยุดกลิ่นเหม็นนั้นได้ นางจึงทำได้เพียงหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ปราศจากเชื้อออกมาจากระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บเพื่อปิดปากและจมูกของนางอย่างหมดหนทาง

เมื่อจื่อซีและจื่อเฟิงมาถึง พวกเขาก็ยิ่งมีการแสดงออกมากกว่านาง แต่ละคนปิดปากปิดจมูกไว้แน่น ดูเหมือนแทบจะกลั้นหายใจ

หลานเยาเยาถามพวกเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ของพวกเขา พวกเขาได้แต่ส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดีย