บทที่ 450 อาเจียนอาหารค้างคืนออกมาหรือยัง

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 450 อาเจียนอาหารค้างคืนออกมาหรือยัง

เมื่อเห็นลักษณะท่าทางที่ดูตึงเครียด หลานเยาเยาก็สงสัย ดังนั้นนางจึงหยิบผ้าเช็ดหน้ามาคลี่ออก และอ้าปากจะพูด

ทันทีที่อ้าปาก ก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าที่ไม่อาจจะหายใจเข้าได้อีกส่งกลิ่นโวย นางจึงหันศีรษะไปอีกด้านทันที

“อ้วก…”

แม้ว่าจะไม่ได้อาเจียนอะไรออกมา แต่ก็ยังพะอืดพะอมอยู่ตลอด

นางยังไม่ทันจะอาเจียนเสร็จ ก็ได้เห็นชายตัวใหญ่ทั้งสองคนก้มตัวลง จากนั้นก็อาเจียนประสานต่อจากนาง

“อ้วก…”

“อ้วก…”

“……”

“.…..”

เหตุผลที่พวกเขายังไม่ได้พูดคุยอะไรกันในตอนนี้ก็เพราะหลีกเลี่ยงการได้กลิ่นเหล่านั้น แต่พวกเขาก็ไม่อาจจะปล่อยให้ตนเองขาดอากาศจนหายใจไม่ออกได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจจะกลั่นกลิ่นเหม็นเน่าเหล่านั้นไว้ได้

จื่อเฟิงยังพอไหว หลังจากอาเจียนออกมาสองสามครั้ง ก็วิ่งไปอีกข้างหนึ่ง แต่จื่อซีกลับดูแย่กว่า ดูเหมือนกับเขาจะกำลังอาเจียนเอาสิ่งที่กินไปทั้งหมดออกมา อาเจียนออกมาอย่างรุนแรงตลอดเวลา จนดวงตาเบิกโพลง

องครักษ์ที่พวกเขาพามาด้วยตอนนี้ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ได้ยินแต่เพียงเสียงอาเจียนที่ดังออกมา

มันช่างน่าตื่นเต้นจริง ๆ

ดูเหมือนว่าจะยืนห่างไม่ไกลมากพอ

ดังนั้นนางจึงถอยกลับไปยังสถานที่ไกลมากขึ้นไปอีก เมื่อรู้สึกโล่งสบายขึ้น หลานเยาเยาจึงให้พวกเขามารวมตัวกันเพื่อปรึกษาว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป

ท้ายที่สุดก็ไม่มีวิธีการใดๆ หลานเยาเยาทำได้เพียงให้ปกปิดไว้ด้วยผ้า ราดยาน้ำบางอย่างลงไปเพื่อลดผลกระทบจากกลิ่นเหม็น หลังจากทำเสร็จก็ให้อยู่ห่างออกไปจากสถานที่มีกลิ่นเหม็น นั่งพิงอยู่กับต้นไม้เก่าแก่ ที่บางครั้งก็เห็นแต่พวกองครักษ์ของมดตัวเล็กๆ

ในสระบัว มีการขุดเอากระดูกที่น่ากลัวขึ้นมา ซึ่งมีโคลนจากสระบัวอันน่าขยะแขยงติดมาด้วย

สำหรับสิ่งนี้!

หลานเยาเยาลูบท้องของนาง

หิวแล้ว…

น่องไก่กรอบที่หอมกรุ่นปรากฏขึ้นในมือของนางทันที แต่ไม่มีใครเห็น นางไม่สนใจเรื่องภาพลักษณ์ใดๆอีกแล้ว ริมฝีปากแดงถูกอ้าออก จากนั้นก็กินเข้าไปเต็มปากเต็มคำ

ง่ำ!

กลิ่นหอมฉุย อร่อยมากเลย!

“ข้าตาลายไปหรือเปล่า? ที่นี่มีนักกินซ่อนตัวอยู่หรือนี่” มีเสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นมา

“เดี๋ยวก่อน คาดว่าน่าจะเป็นเทพธิดาตัวปลอม” ชายอีกคนตอบอย่างใจเย็น

เสียงอันหวาดผวาดังมาจากใต้ต้นไม้ หลานเยาเยาที่กำลังกินอยู่ถึงกับตกใจ เมื่อได้ยินเสียงนั้น สีหน้าก็ขึงขัง

แมร่ง

ทำไมสองตัวนี้ถึงมาที่นี่

ที่ใต้ต้นไม้ยู่หลิวซูที่ดูเป็นสุภาพบุรุษและอบอุ่นยืนอยู่ และพวกเจ้าถิ่นที่จริงจังอีกตัวหนึ่งอย่างถิงเมี่ยน จ้องมองใบหน้าของนาง พวกเขาสองคนต่างอยู่ในสายตาอันตกตะลึงเช่นเดียวกัน

“เป็นเทพธิดาจริงด้วย ทำอย่างไรดี”

ถิ่งเมี่ยนพูดพึมพำ สายตาเหลือบไปมองยู่หลิวซูที่อยู่ด้านข้างเขา

“เก็บคำพูดของเจ้าเมื่อครู่นี้กลับไป ถ้าผ่านไปได้โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็เก็บไว้ให้ดี” ยู่หลิวซูมองไปพลางกลืนน้ำลาย

เมื่อเห็นเทพธิดากำลังกินอย่างตะกละตะกลามแต่ก็ทำเป็นมองไม่เห็น มิเช่นนั้นอาจจะถูกเก็บได้

หลานเยาเยา “……”

เป็นแบบนี้ถือว่านางไม่ได้ยินหรือ

มองดูทั้งสองคนที่กำลังกลับหลังไปทางเดียวกัน จากนั้นก็ย่องออกไป แต่ออกไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงอันเยือกเย็นของหลานเยาเยาก็ดังขึ้น

“หยุดก่อน มาแล้วก็ดี พวกเจ้ากินข้าวกันมาหรือยัง”

เมื่อเห็นสายตาที่ดูมีเจตนาไม่ค่อยดีของเทพธิดา ยู่หลิวซูและถิงเมี่ยนก็พยักหน้าอย่างงุนงง

กินกันอิ่มแล้วหรือ

อีกทั้งยังกินเกินไปด้วย!

สิ่งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการมาสายของพวกเขาหรือไม่ ไม่เพียงเทพธิดาจะไม่ถือโทษพวกเขา แต่ยังจะจะชวนพวกเขากินน่องไก่อีกหรือ

เพียงครู่เดียว!

ริมสระบัวที่ดูสวยงาม

จื่อเฟิงกอดอกเอาไว้ มือข้างหนึ่งถือกระบี่เอาไว้ด้วย จื่อซีนั่งยองๆอยู่บนพื้น โดยมีมือข้างหนึ่งค้ำใบหน้าเอาไว้ องครักษ์แต่ละคนต่างกำลังพับแขนเสื้อ ด้วยสีหน้าที่เหมือนกำลังดูการแสดง

เบื้องหน้าพวกเขาคือ……

“อ้วก…”

ยู่หลิวซูอาเจียนออกมาจนใบหน้าซีดเซียว รูปลักษณ์ที่แสนสง่างามเมื่อกี้นี้ได้หายไป เหลือไว้เพียงสีหน้าที่อยากจะตายเสียยังจะดีกว่ามีชีวิตอยู่

“อ้วก…”

ถิงเมี่ยนผู้คุมตลาดมืดก็ยิ่งอาเจียนออกมาเป็นเลือด จนแทบจะคว่ำหน้าลงไปอาเจียนอยู่บนพื้น เดินไปเดินมาอย่างวิงเวียน

ให้ตายสิ ของที่นายท่านกินไปครึ่งปีต้องสูญเปล่าแล้ว!

จนกระทั่งพวกเขาไม่มีอะไรจะอาเจียนออกมาแล้ว จื่อซีจึงส่งเสียงจุ้ขึ้นสองครั้ง ก็มีคนก้าวออกไปนำผ้าที่ทาด้วยน้ำยาดับกลิ่นให้พวกเขา

“พวกเจ้านี่ อ่อนแอเกินไป กลิ่นแค่นี้กลับอาเจียนกันขนาดนี้เลยหรือ เอาล่ะ รับไป หากจะอาเจียนขึ้นมาอีกก็รีบใช้มันซะ”

คำพูดของเขาดูหนักแน่นมาก

โดยลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้ตนเองก็อาเจียนแบบนี้มาก่อน

หลังจากอาการอาเจียนอย่างรุนแรงนั้นทุเลาลง

ถัดมาความเงียบสงัดก็เกิดขึ้น ทุกคนล้วนกลัวจะอาเจียน จึงไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำ หากยังไม่สามารถจัดการได้ จนถึงกับรำคาญที่จะส่งเสียงขึ้นจมูก

สระบัวนั้นแห้งมาก ไม่มีน้ำ ดังนั้นเมื่อขุดกระดูกออกมา ก็ล้วนแต่ขุดขึ้นมาพร้อมกับโคลนของสระบัวเปื้อนอยู่

หลังจากหลานเยาเยากินจนอิ่ม ก็มายังสระบัวอีกครั้ง

นางขมวดคิ้วและมองไปที่ริมสระบัว กระดูกคนตายถูกนำมาเรียงไว้เป็นแถว มืออันเรียวของนางลูบไปที่คาง จากนั้นก็จมลงไปในความคิด

ไม่รู้ว่านานแค่ไหน

หลังจากที่คนอื่นได้ชำระล้างร่างกายแล้ว จื่อซีและจื่อเฟิงก็ไปสำรวจดูสระบัวอีกครั้ง จากนั้นจึงมาอาบน้ำเย็นที่สถานที่อาบน้ำของสวนว่างฮัว หลังจากอาบน้ำจนสะอาดแล้วจึงได้ออกมา

เมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งสองกำลังมา

หลานเยาเยาก็เอาน่องไก่โยนให้พวกเขาโดยตรง

“ลำบากแล้ว รางวัลสำหรับพวกเจ้า ทำงานออกแรงมากคงจะเหนื่อยใช่ไหม เสริมกำลังวังชาสักหน่อย ไม่ต้องเกรงใจ!”

แต่ทั้งสองคนที่ได้รับน่องไก่ กลับมีสีหน้าซีดเซียวทันที

แน่ใจหรือว่านี่ไม่ใช่การลงโทษ

ทว่าน่องไก่ชิ้นนี้มีรสชาติที่น่าดึงดูดมาก แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกคลื่นไส้มาก เมื่อได้กลิ่นก็ถึงกับอายากจะอาเจียนออกมา จะไปกินอะไรลงได้อย่างไร

คาดว่าจากนี้ไปสามวันสามคืนก็คงจะกินอะไรไม่ได้แม้ข้าวสักเม็ด

เมื่อเห็นหลานเยาเยากัดน่องไก่ครึ่งหนึ่งเข้าไปอย่างเต็มปากเต็มคำ พวกเขาถึงกับต้องยอมยกนิ้วให้

ชื่นชม!

ชื่นชมจนขอน้อมกราบอย่างเลื่อมใส!

หลังจากจัดการกับน่องไก่อีกน่องนึ่งเสร็จสิ้น หลานเยาเยาก็ล้างมือ จากนั้นปิดจมูกเพื่อตรวจสอบศพ

สังเกตดูอย่างละเอียดครู่หนึ่ง

นางจึงพบว่า กระดูกพวกนี้ถูกฝังไว้ใต้สระบัวมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเมื่อยุคสมัยของราชวงศ์เก่า สิ่งนี้ทำให้หลานเยาเยาถึงกับขมวดคิ้วให้กับความรู้นี้

แล้วศพเหล่านี้มาจากที่ไหน

เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นศพที่ราชครูเทียนเวิงเตรียมเอาไว้ใช้เลี้ยงดอกกระดูกขาว แต่ภายหลังพบว่ามีมากเกินไปแล้ว ดังนั้นจึงได้นำศพมาฝังไว้ในสระบัว

ลองคิดเช่นนี้อยู่สักพักหนึ่ง

ดูเหมือนว่าจะมีเหตุมีผล แต่นางก็ส่ายหน้าทันที

นางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ท้ายที่สุดศพที่นำมาใช้เลี้ยงดอกกระดูกขาว ส่วนมากจะถูกราชครูเทียนเวิงพาไปสังหาร หรือไม่ก็จะถูกวางแผนให้เกิดการฆ่ากันเอง จากนั้นจึงจะนำศพเคลื่อนย้ายไปเลี้ยงดอกกระดูกขาว

ศพเหล่านั้นส่วนมากจะถูกแทงแบบซ้ำๆจนตาย มีบาดแผลอยู่มากมาย

และตอนนี้ในซากศพเหล่านี้ กระดูกที่คอส่วนมากจะมีรอยข่วนลึก มีบางส่วนถูกวางยาพิษ หรือไม่ก็มีบาดแผลอยู่ตรงหัวใจ

ทุกคนล้วนถูกฆ่าตายในครั้งเดียว!

เมื่อนางลองสังเกตอีกครั้ง เสื้อผ้าของกระดูกเหล่านี้ได้เปื่อยขาดไปตั้งแต่อยู่ในสระบัว จึงพิสูจน์ได้เพียงกระดูกเท่านั้น ยิ่งตรวจสอบเท่าไรในใจของนางก็ยิ่งสับสนมากขึ้น

ทันใดนั้นก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ

หลานเยาเยาเงยหน้าขึ้นมองจื่อเฟิง

“ก่อนที่ราชวงศ์เก่าจะล่มสลาย มีเหตุการณ์อะไรที่ค่อนข้างเลื่องลือชื่อ และมีคนตายจำนวนมากบ้างไหม”

ที่ต้องถามจื่อเฟิง เป็นเพราะก่อนหน้านี้จื่อเฟิงเคยบอกกับนาง ว่าเจ้านายของเขาคือเย่แจ๋หยิ่งมาโดยตลอด อีกอย่างสถานะของเย่แจ๋หยิ่งก็มีความพิเศษเป็นอย่างมาก

นางรู้ดี ว่า เย่แจ๋หยิ่งจะต้องขอให้พวกเขาไปตรวจสอบเรื่องของราชวงศ์เก่า ดังนั้นจึงต้องยกเรื่องนี้ขึ้นมาถาม

จื่อเฟิงคิดอย่างรอบคอบ จากนั้นก็ส่ายหน้า

“ไม่มีนะ อ๋องเย่เคยให้ข้าไปตรวจสอบเรื่องของราชวงศ์เก่ามาแล้วก่อนหน้านี้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีเหตุการณ์ไหนที่ทำให้คนตายมากมายขนาดนี้ หรือมันอาจจะเป็นการเจตนาที่จะปกปิดจึงไม่มีเรื่องราวอะไรสืบต่อมา”

หลังจากพูดจบ

ทันใดนั้นจื่อเฟิงก็ตาสว่าง ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบอ้าปากพูดทันที