บทที่ 449 ชายผู้เอาแต่มองกระจก

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 449 ชายผู้เอาแต่มองกระจก

บทที่ 449 ชายผู้เอาแต่มองกระจก

เพ่ยเหมียนหมานเริ่มสาธิต

นางเกิดมางดงามอยู่แล้ว และเมื่อรวมกับท่าทางที่สง่างามของวิชานี้ มันจึงทำให้ดูไม่เหมือนว่านางกำลังแสดงทักษะการต่อสู้อยู่เลย ทุกสิ่งดูราบรื่นและดูสวยงามเหมือนนางกำลังเต้นรำอยู่

นี่เป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง ราวกับว่าเทพธิดาสวรรค์ได้ปรากฏตัวขึ้นมายังโลกมนุษย์

ซูอันแทบจะลืมหายใจ นี่ข้าเคยดูบ้าอะไรมาก่อน การเต้นที่เคยดูตามรายการประกวดต่าง ๆ ดูโง่มากเมื่อเปรียบเทียบกับผู้หญิงตรงหน้า

ดวงตาของซูอันติดตามการเคลื่อนไหวของเพ่ยเหมียนหมานไปมา เขารู้สึกราวกับว่าหัวใจเต้นแรงไปพร้อมกับจังหวะการเต้นของนาง

เมื่อเพ่ยเหมียนหมานสาธิตเสร็จแล้ว นางมองดูเขาและสังเกตเห็นท่าทางที่เหม่อลอย ความโกรธของนางก็ปะทุขึ้นทันที “ข้าเสร็จแล้ว เจ้าจำมันได้มากแค่ไหน!?”

ท่านยั่วยุเพ่ยเหมียนหมานสำเร็จ

ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 233!

“ข้าจำได้ทั้งหมด” ซูอันตอบโดยไม่รู้ตัว

“ทั้งหมดเลยเหรอ?” เพ่ยเหมียนหมานขมวดคิ้วทันที เมื่อครู่นี้เป็นเพราะความหงุดหงิด นางก็เลยบอกกับเขาไปว่านางจะแสดงให้เขาเห็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งจริง ๆ แล้วหากไม่เข้าใจจริง ๆ นางคงจะแสดงให้เขาดูจนกว่าจะจำได้ จะมีใครสามารถเรียนรู้ได้จากการสาธิตเพียงครั้งเดียวได้อย่างไร? ตอนที่นางถูกถ่ายทอดวิชานี้ให้ นางเข้าใจมันแค่เพียงไม่กี่ส่วนเท่านั้น หลังจากดูการสาธิตไปตั้งสามครั้ง!

“ใช่” ซูอันเช็ดมุมปาก ขอบคุณพระเจ้าที่ข้าไม่ได้น้ำลายไหลยืดจนทำให้ตัวเองอับอาย

สำหรับเรื่องที่ชายหนุ่มบอกว่าเขาจำเคล็ดวิชาได้ทั้งหมดนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องโกหกแต่อย่างใด

หลังจากกินยาชะล้างไขกระดูกแล้ว สมองของซูอันก็เฉียบคมขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ความจำและความสามารถทางจิตอื่น ๆ ของเขาดูเหมือนจะทำงานได้ดีอย่างน่าอัศจรรย์ แค่เห็นสิ่งต่าง ๆ เพียงครั้งเดียวก็สามารถเรียนรู้และจดจำมันได้อย่างขึ้นใจ ไม่ว่าจะเรียนทักษะอะไรก็ตาม

เฮ้อ…ถ้าข้ามีความสามารถแบบนี้เมื่อชีวิตที่แล้ว ข้าคงสามารถเลือกลงทะเบียนเข้ามหาวิทยาลัยซิงหวา หรือมหาวิทยาลัยปักกิ่งก็ได้ทั้งนั้น!

“งั้นแสดงให้ข้าดู!” เพ่ยเหมียนหมานเย้ยหยัน ไม่น่าแปลกใจที่หลายคนเกลียดผู้ชายคนนี้ ไม่มีใครชอบคนที่โอ้อวดเกินจริง

“ตกลง”

หลังจากนึกถึงการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ของนางครู่หนึ่ง ซูอันก็เริ่มแสดงวิชาบิดพริ้วไหวไหลพัวพันให้นางดู

เขากำลังใช้ทักษะอย่างลื่นไหลก่อนที่จะหยุดกะทันหันเมื่อได้ยินเสียงร้องด้วยความตกใจ

เพ่ยเหมียนหมานตกใจมากเมื่อนางเห็นเขาแสดงวิชาบิดพริ้วไหวไหลพัวพันได้อย่างไม่มีที่ติ เมื่อชายหนุ่มหยุดกะทันหัน ในที่สุดนางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ข้าเดาว่าผู้ชายคนนี้คงลืมบางส่วนของมันไป

อย่างไรก็ตาม การทำได้ขนาดนี้เพียงแค่ได้เห็นผ่านตาเพียงครั้งเดียวก็ถือเป็นเรื่องวิเศษยิ่ง

นางกำลังจะชมเขา แต่จู่ ๆ ชายตรงหน้าก็พูดขึ้น “บ้าจริง ๆ เลย! เมื่อกี้ข้าควรจะพูดว่าข้าจำอะไรไม่ได้เลย เพื่อที่เจ้าจะได้จับมือข้าแล้วสอนเพื่อที่ข้าจะได้แนบชิดกับเจ้าได้โดยชอบธรรม! ว่าแต่ ตอนนี้มันสายเกินไปไหมที่ข้าจะกลับคำพูดแล้วบอกว่าข้าจำทุกอย่างไม่ได้?”

ดวงตาของเพ่ยเหมียนหมานเริ่มหรี่ลงอย่างช้า ๆ

ซูอันหัวเราะอย่างเขินอายเมื่อเห็นท่าทางเย็นชาของนาง

เขาใช้ทักษะที่เหลือทันที

“เจ้าคิดยังไง? ข้าเข้าใจส่วนไหนผิดไปหรือเปล่า?” ซูอันรีบถาม

ริมฝีปากสีแดงของเพ่ยเหมียนหมานขยับเล็กน้อย แต่ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา

หลังจากนั้นไม่นานนางก็ถอนหายใจ “ไม่มีข้อผิดพลาดอะไรเลย”

ไม่ใช่แค่ไม่มีข้อผิดพลาดเท่านั้น แต่ยังสมบูรณ์แบบอีกด้วย นางไม่พบข้อบกพร่องแม้แต่จุดเดียว ไม่ว่าจะพยายามจับผิดมากแค่ไหนก็ตาม ผู้ชายคนนี้มีความสามารถอย่างแท้จริง!

เพ่ยเหมียนหมานยังคงนิ่งอึ้ง ไม่น่าแปลกใจที่ฉู่ชูเหยียนผู้หยิ่งผยองจะเลือกเขาเป็นสามีของนาง! นางคงรู้ว่าเขาเป็นอัญมณีที่ยังไม่ผ่านการเจียระไนตั้งแต่แรก

และสาเหตุที่สถาบันจันทร์กระจ่างจัดให้เขาอยู่ในชั้นเรียนสีเหลืองหลังการประเมิน อาจเป็นเพราะว่าตระกูลฉู่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

ชูเหยียนมักจะทำตัวบริสุทธิ์และไร้เดียงสา ใครจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วนางเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์!

เจ้าทำให้ข้าหลงกลโดยสมบูรณ์!

“มีอะไรหรือเปล่า?” ซูอันถามด้วยความสงสัยเกี่ยวกับสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของนาง

“เจ้ากับชูเหยียนรวมหัวกันหลอกข้าเหรอ!” ทันใดนั้น เปลวไฟสีดำก็พุ่งออกมาจากร่างกายของเพ่ยเหมียนหมาน วงแหวนแห่งเปลวเพลิงล้อมรอบทั้งสองคนเอาไว้ และดูเหมือนว่านางพร้อมที่จะเผาเขาให้เป็นขี้เถ้าทุกเวลา

ใบหน้าของซูอันซีดเผือดเมื่อเขารู้สึกถึงความร้อนที่น่าสะพรึงกลัว ร่างกายของชายหนุ่มก็ตึงเครียดทันที และเตรียมพร้อมสำหรับรับการโจมตี “ข้าหลอกลวงเจ้ายังไง?” เขากลืนน้ำลายดังเอื๊อก

“พวกเจ้าแสร้งทำเป็นว่าตระกูลฉู่ไม่ชอบเจ้า เป็นเขยขยะที่แต่งเข้าบ้านภรรยา หลอกลวงข้าจนถึงจุดที่ข้าเป็นพันธมิตรกับเจ้าอย่างโง่เขลา ฉู่ชูเหยียนหัวเราะเยาะข้าอยู่ทุกวันเลยใช่ไหม?” ความดุร้ายในดวงตาของ เพ่ยเหมียนหมานไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำมันเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอย่างแท้จริง

“เจ้าก็เห็นด้วยตัวเองแล้วว่าข้าได้รับการปฏิบัติอย่างไรในคฤหาสน์ตระกูลฉู่! ฉินหว่านหรูดุด่าข้าเช้าเย็นจนเกือบจะไล่ข้าออกไปแล้ว! ข้าไปหลอกเจ้าเมื่อไหร่?”

ซูอันไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ นางถึงโกรธมาก เขาทำหน้าไร้เดียงสา

“เจ้าบอกข้าว่าเจ้าต้องการความช่วยเหลือจากข้าในการคว้าหัวใจฉู่ชูเหยียน โดยแลกกับการที่เจ้าจะช่วยข้าค้นหาสมุดบัญชีของนางเป็นการตอบแทน แต่ตอนนี้มันดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของเจ้ากับนางนั้นไม่เลวเลยแม้แต่น้อย!”

เพ่ยเหมียนหมานไม่สามารถหยุดความสงสัยของนางได้

“เราสองคนไม่ได้สนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่แรก! ข้าเป็นนายน้อยแต่เพียงในนามเท่านั้น และนางไม่ได้ปฏิบัติกับข้าเหมือนเป็นสามีที่แท้จริงเลย ความสัมพันธ์ของเราเริ่มแน่นแฟ้นขึ้นหลังจากผ่านมิติลับหยกจรัสด้วยกันมา ซือคุนและลูกน้องของมันตามล่าเราไปทั่ว ถึงอย่างนั้นเราก็ยังห่างไกลจากคำว่าสามีภรรยาที่แท้จริง!”

“จริงเหรอ?” ในที่สุด เพ่ยเหมียนหมานก็ผ่อนคลายเล็กน้อย

“แน่นอนอยู่แล้วสิ!” ซูอันค่อย ๆ จับมือของนางที่ชี้เขาอยู่ออกไปอย่างระมัดระวัง “ก็ดูเจ้าสิ เจ้าบอกว่าจะช่วยให้ข้าใกล้ชิดกับชูเหยียนมากขึ้น แต่พอเวลาผ่านไป ข้าก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะช่วยอะไรข้าเลย! สุดท้าย…ข้าคิดว่ามันจะเร็วขึ้นถ้าข้าทำลงมือทำซะเอง”

“เจ้ากล้าพูดแบบนี้ได้ยังไง? แล้วสมุดบัญชีที่เจ้าตกลงจะหาให้ข้าล่ะ เจ้ายังไม่พบอะไรเลย!” เพ่ยเหมียนหมานกล่าวอย่างขุ่นเคือง

ซูอันหัวเราะอย่างเขินอาย “สถานะของข้าในตระกูลฉู่ต่ำเกินไปในตอนนี้ ข้าจึงไม่สามารถเข้าถึงสมุดบัญชีที่เจ้ากำลังมองหาได้หรอก”

เพ่ยเหมียนหมานโกรธจัด ทันใดนั้นสายตาของนางก็ถูกดึงดูดไปยังบางสิ่งที่อยู่ด้านข้าง

“หืม? กระบี่ของเจ้าสวยดีนี่”

นางแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นว่ากระบี่ไท่เอ๋อร์ ปักลึกลงไปในพื้นราวกับเป็นเต้าหู้

ขณะที่นางกำลังจะเข้าไปตรวจสอบ ซูอันก็รีบขัดจังหวะนาง เขากังวลว่านางจะค้นพบบางสิ่งที่ไม่ควรจะรู้ “อืม… เจ้าไม่กังวลว่าเปลวไฟของเจ้าจะทำให้พวกทหารยามรู้สึกผิดสังเกตกันขึ้นมาเลยเหรอ?” เขาตั้งข้อสังเกต

ครั้งแรกที่พวกเขาพบกันในห้องของฉู่ชูเหยียน เพ่ยเหมียนหมานไม่ได้ใช้เปลวไฟสีดำของนางในการต่อสู้ เพราะนางกลัวว่าจะเตะตาของบรรดาทหารยามของตระกูลฉู่

ตอนนี้เพ่ยเหมียนหมานใช้พลังธาตุอย่างไม่ระมัดระวัง และนางก็แน่ใจว่าทหารยามของตระกูลฉู่คงกำลังมาถึงในไม่ช้า

แน่นอนว่าเพ่ยเหมียนหมานรู้สึกสับสน “ทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้า!”

หลังจากสบถใส่เขา เท้าของนางก็เตะไปที่พื้นเบา ๆ ก่อนที่นางจะพุ่งตัวหลบหนีไปในความมืดมิด

นอกจากความโกรธ ยังมีความรู้สึกอื่นปะปนในสีหน้าของนาง ขณะที่ซูอันไตร่ตรองและรอยยิ้มก็ค่อย ๆ แผ่ไปทั่วใบหน้าของเขา

จู่ ๆ ข้าไปหอมแก้มนางได้ยังไงกัน?

ที่แปลกไปกว่านั้นคือนางไม่แสดงปฏิกิริยาแม้แต่น้อย…ไม่สิ…ปฏิกิริยาของนางเห็นได้ชัดมากเลยล่ะ…

เยว่ซาน ผู้บัญชาการทหารองครักษ์ของตระกูลฉู่มาถึงพร้อมกับกลุ่มทหารยาม เมื่อพวกเขามาถึง พวกเขาก็เห็นซูอันจ้องมองเข้าไปในกระจกที่ตั้งอยู่ในห้องอย่างตั้งอกตั้งใจ “นายน้อย มีศัตรูบุกรุกมาที่นี่หรือเปล่า?” เยว่ซานถามเขาอย่างกังวลใจ

“ไม่นี่” ซูอันตอบกลับอย่างไร้กังวล

ทหารยามใช้เวลาในการตรวจสอบบริเวณโดยรอบอยู่ครู่หนึ่ง แต่ท้ายที่สุดความพยายามของพวกเขาก็ไร้ผล ไม่มีร่องรอยของผู้บุกรุก

เยว่ซานไม่สามารถระงับความอยากรู้ของเขาได้อีก ขณะที่พวกเขากำลังจะจากไป ก็ถามว่า “นายน้อย ท่านส่องกระจกอยู่ตลอดทำไม?”