บทที่ 410 ปลูกเรือนแต่พอตัว

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 410 ปลูกเรือนแต่พอตัว

บทที่ 410 ปลูกเรือนแต่พอตัว

ซื่อเลี่ยงมองน้องเล็กอยู่นาน ในที่สุดก็ยอมปริปากเอ่ยขึ้น

“เสี่ยวเถียน พี่ไม่แปลกใจเลยที่เธอไม่ได้ขาดแคลนเรื่องเงิน ที่แท้ก็หาเงินแบบนี้เองสินะ!”

ซื่อเลี่ยงไม่รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรอยู่ ขมขื่นไหม? ก็มี! มีความสุขไหม? ก็มีเหมือนกัน

ได้ยินว่าอาจารย์ในมหาวิทยาลัยได้เงินเดือนร้อยสองร้อยหยวนต่อเดือนเอง แต่เสี่ยวถึงได้พันกว่าหยวนภายในครึ่งเดือนเนี่ยนะ

ถ้าออกไปพูดข้างนอกคงจะทำคนไม่น้อยตกใจจนตายเอาได้ แต่ว่าแบบนี้ในฐานะพี่ชายเขารู้สึกว่าตัวเขาไร้ไร้ประโยชน์มาก!

เป็นพี่ชายต้องปกป้องน้องสิ แต่ดูสิตอนนี้เขากลายเป็นอะไรไปแล้ว?

เสี่ยวเถียนน่าจะมองออกว่าพี่คิดอะไรเลยหัวเราะออกมา

“พี่รอง รอพี่มีชื่อเสียงเมื่อไรเดี๋ยวก็หาเงินได้เยอะ ๆ เองล่ะค่ะ”

ถึงคนในวงการนักวาดจะมีคนทำเงินไม่ได้เยอะนักก็ตาม แต่ไม่ว่าจะอุตสาหกรรมไหน ตราบใดที่อยู่ในจุดสูงสุดก็ยังหาเงินได้อยู่ดี และเธอเชื่อมั่นว่าพี่ชายจะเป็นผู้นำในวงการนักวาดแน่นอน

ได้ยินเช่นนั้น ซื่อเลี่ยงก็พยักหน้าเห็นด้วย

“เธอพูดถูกเสี่ยวเถียน พี่คิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง พี่ต้องมั่นใจในความสามารถของตัวเอง คราวนี้จะส่งให้ได้สองภาพเลย”

เสี่ยวเถียนแปลกใจ “สองภาพหรือคะ?”

เสี่ยวเถียนยุ่งแต่เรื่องของตัวเองอยู่ จึงลืมเรื่องพี่รองไปเสียสนิท ยิ่งได้ยินที่อีกฝ่ายพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ยิ่งตกใจที่รู้ว่าตนไม่ได้สนใจอะไรเท่าไรเลย

“ใช่แล้ว สองภาพน่ะ ภาพนึงวาดแบบอิสระ ภาพนึงวาดแบบประณีต พี่แข่งคนละกลุ่มน่ะ” แววตาของซื่อเลี่ยงมีร่องรอยของรอยยิ้มเจือจาง ทั้งยังพกความมั่นใจมาด้วยเช่นกัน

“พี่รองเก่งมากเลยค่ะ!” เสี่ยวเถียนชม “หนูเชื่อว่าพี่รองเก่งที่สุดแล้ว!”

“พี่ก็เชื่อว่างานวาดของพี่ดีเหมือนกัน”

หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยต่อ

“มีบางเรื่องที่พี่ยังไม่ได้บอก แต่พี่คิดว่าเสี่ยวเถียนโตแล้ว

เด็กสาวเม้มปาก หมายความว่าอย่างไรเนี่ย?

“ภาพวาดก่อนหน้านี้ที่พี่คุยกับย่าอวี่ไว้ โดนเฉาเกาซวนเอาไปส่งเข้าประกวดด้วย”

ซื่อเลี่ยงเคารพอีกฝ่ายมากขนาดไหน ตอนนี้ความรู้สึกนั้นไม่มากเท่านั้นแล้ว อาจารย์เฉาผู้น่านับถือหายไปจากใจหลังจากได้เห็นพฤติกรรมน่ารังเกียจพวกนั้น ตอนนี้ความคิดของซื่อเลี่ยงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง และโชคดีมากที่เขาเป็นคนที่แข็งแกร่ง!

“พี่รอง หนูเชื่อว่าการตัดสินใจของพี่ถูกต้องค่ะ!”

คราวนี้เฉาเกาซวนอาจจะเสียเปรียบ แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำอะไร แต่บอกได้จากท่าทางของพี่รองเลยว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ

คุณย่าบุญธรรมก็บอกว่าเฉาเกาซวนไม่ใช่คนดี!

ซื่อเลี่ยงไม่ได้พูดเรื่องนี้ เขาทำเพียงแค่ลูบผมของน้องสาวอย่างแผ่วเบา

“เธอเรียนภาษาต่างประเทศด้วย พี่ใหญ่ก็เรียนเหมือนกันนะ เธอหายังไงถึงได้เงินขนาดนี้ แต่พี่ใหญ่ทำไม่ได้ล่ะ?”

ซื่อเลี่ยงไม่เข้าใจจริง ๆ

เสี่ยวเถียนขบขันที่พี่รองทำอะไรไม่ถูก

“ในอนาคตพี่ใหญ่ก็จะหาเงินได้เหมือนกันค่ะ พี่รองไม่ต้องห่วงนะคะ พี่ใหญ่ก้าวหน้าไวมาก และเชื่อว่าจะแปลงานได้ในไม่ช้าค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ต้องตั้งใจทำงานแล้ว พี่น้องคนอื่น ๆ หาเงินได้แล้ว แต่พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

ชอบวาดรูปมันก็ดี แต่ตอนนี้ทำไมรู้สึกว่าการวาดรูปมันไม่ได้มีประโยชน์ขนาดนั้นนะ?

“พี่รอง พี่มีสมาธิกับการวาดรูปก็พอแล้วค่ะ บ้านเราขาดคนหาเงินแบบพี่นะ?”

เสี่ยวเถียนพูดเล่น แต่มันก็เป็นความจริง

ในตอนนี้บ้านเราทำเงินไม่ได้เยอะเท่าไร แต่ถ้าผ่านไปอีกหลาย ๆ ปี คนรุ่นหลังอย่างพวกเราเติบโตขึ้น มันจะนำเกียรติยศมาสู่ตระกูลซูอย่างแน่นอน

สองพี่น้องสนทนาพาคุยกระทั่งกลับถึงบ้าน ตอนนั้นเห็นพี่ใหญ่กลับมาพอดี เขานั่งลงแล้วดื่มน้ำจากขวด

พอเห็นน้อง ๆ ก็คลี่ยิ้มออกมา ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดี

“พี่ใหญ่ พี่มีความสุขอะไรเนี่ย? ยิ้มเหมือนคนบ้าเลย!” ซื่อเลี่ยงพูดเหน็บแนมอย่างไม่คิดเกรงใจ

โส่วเวินไม่สนใจคำพูดนั้น แล้วมองน้องเล็กอย่างมีความสุข ไม่คิดจะปิดบังรอยยิ้มบนหน้าเลยแม้แต่น้อย

“หนูต้องพูดว่า ขอแสดงความยินกับพี่ใหญ่ใช่ไหมคะ?” เสี่ยวเถียนหรี่ตา

“เสี่ยวเถียน พี่ได้งานแปลแล้ว ถึงจะทำเงินได้ไม่เยอะเท่าเธอ แต่ถ้าปีแปลได้ดีพี่ก็จะได้เงินหลายสิบหยวนเลยนะ”

โส่วเวินไม่ใช่คนทะเยอทะยานสูง เขาตระหนักได้ดีถึงความแข็งแกร่งของตัวเอง และพอใจกับความสามารถในการหาเงินของตัวเองแล้ว

ซื่อเลี่ยงคร่ำครวญ “ในที่สุดผมก็เข้าใจเสียทีว่าทำไมคนถึงพูดกันว่าปลูกเรือนแต่พอตัว หวีผมแต่พอเกล้า”

เสี่ยวเถียนก็เข้าใจ แต่คนอื่นที่บ้านไม่เข้าใจน่ะสิ เลยได้แต่มองซื่อเลี่ยงด้วยสายตาสับสนแทน

“เสี่ยวเถียนแปลหนึ่งงานได้เงินถึงหนึ่งพันหนึ่งร้อยหยวน แต่พี่ใหญ่ได้เงินแค่สิบหยวน มันเทียบกันไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?” ซื่อเลี่ยงไม่พูดพร่ำทำเพลง แต่เอ่ยออกมาตรง ๆ “พี่น่าสงสารกว่าอีก ต้องเสียค่าอุปกรณ์ทั้งกระดาษ หมึก พู่กัน แท่งฝนหมึก ไม่พอยังต้องเอาเงินให้คนที่บ้านด้วย!”

ทุกคนได้ยินดังนั้นก็หัวเราะร่วน

ซื่อเลี่ยงพูดถูก ในฐานะที่เป็นพี่ชาย ทุกคนไม่ได้ทำงานหาเงินเลย แต่น้องเล็กกลับทำได้ แถมยังเก่งมากอีกด้วย

แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าต้องหาเงินไปด้วย ถ้าตัวพี่ชายไปช่วยก็คงต้องทำงานหนัก

สองสามีภรรยาตู้หัวเราะเช่นกัน เพราะคนบ้านซูย้ายไปอยู่บ้านของตัวเองแล้ว เพื่อที่จะได้ดูแลเด็ก ๆ ได้ดียิ่งขึ้น ผู้อาวุโสทั้งสองจึงอยู่บ้านซูเป็นส่วนใหญ่ และอยู่บ้านตัวเองเป็นครั้งคราวเท่านั้น

บรรยากาศในบ้านซูดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ม่านหมอกเรื่องที่เสี่ยวเถียนเกือบโดนทำร้ายได้สลายหายไปในที่สุด

คุณปู่คุณย่าซูและเหลียงซิ่วตรวจนับสต็อกอาหารในคลังร้าน มีความสุขกันมากจนหุบยิ้มไม่ลง

เพิ่งจะผ่านมาไม่เท่าไร ตอนนี้เราทำเงินได้ใกล้สามพันหยวนแล้ว อย่าดูถูกเงินสามพันหยวนเชียวนะ นี่คือกำไรสุทธิเลยนะ

“ตอนอยู่หงซินยังคิดอยู่เลยว่าบ้านเราจะมีเงินเยอะขนาดนี้ได้ยังไง” คุณย่าซูลูบกองเงินด้วยความซาบซึ้งใจ

หลายปีก่อนหน้านี้ ชีวิตที่บ้านเรายากลำบากมาก ไข่หนึ่งฟองต้องหั่นแบ่งเป็นแปดชิ้นถึงจะกินได้ แต่ช่วงหลัง ๆ ก็เริ่มพออยู่พอกิน มีเสื้อผ้าอุ่น ๆ ให้ใส่ แล้วยังเก็บเงินได้เยอะด้วย

“ใช่ พูดถึงเรื่องนี้แล้ว เสี่ยวเถียนมีส่วนอย่างมากที่ทำให้เรามาถึงจุดนี้เลยนะ” คุณปู่ซูก็ซาบซึ้งเช่นกัน

“พ่อ แม่ เสี่ยวเถียนยังเด็กอยู่เลย” เหลียงซิ่วรีบเอ่ยทันที

เราเป็นครอบครัวใหญ่นะ ถ้าพี่สะใภ้รู้ เขาคงได้เห็นต่างกันบ้างล่ะ

“กลัวอะไรล่ะ สิ่งที่ฉันพูดก็เป็นความจริงทั้งนั้น แล้วฉันก็พูดแบบนี้ต่อหน้าพี่ชายพี่สะใภ้เธอด้วย” คุณปู่ซูมองสะใภ้สามแล้วพูดเสียงดัง

เรื่องบางเรื่อง อธิบายไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะเป็นการดีกว่า

ชายชราไม่อยากให้ทั้งครอบครัวต้องมาวุ่นวายในตอนท้าย ๆ หรอกนะ

อย่ามาบอกว่าบิดาเมตตาบุตรกตัญญู หรือพี่น้องปรองดองอะไรนั่นเลย ไอ้เรื่องแบ่งเงิน ๆ ทอง ๆ เนี่ย มันทำให้ครอบครัวกลายเป็นศัตรูได้ไม่น้อยเลยนี่?

“ยายเฒ่า ถ้าร้านเรามันทำเงินได้ก็ต้องมีข้อบังคับด้วยนะว่าจากนี้ไปเรื่องเงินจะเอายังไงน่ะ”