บทที่ 380 รักในบั้นปลายชีวิตดีออก ข้าไม่หัวเราะเยาะท่านหรอก

จอมนางข้ามพิภพ

จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 380 รักในบั้นปลายชีวิตดีออก ข้าไม่หัวเราะเยาะท่านหรอก

ต้องโทษจวินหย่วนโยว เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ค่อนคืนแล้ว ยังมาโดนทรมานนานขนาดนั้น ทำเอาหยุนถิงเหนื่อยเกือบตาย ถ้าไม่ใช่เพราะหิว เที่ยงแล้วเธอยังไม่อยากตื่นเลย

“ซวนอ๋องบอกว่าเขาจะไปแคว้นเป่ยลี่ เป็นบัญชาของฝ่าบาท นานหน่อยก็หนึ่งเดือน น้อยหน่อย ครึ่งเดือนก็กลับมาแล้ว บอกว่าจะกลับมาชวนท่านดื่มด้วย” ซูหลินตอบ

“ได้ ข้ารู้ละ” หยุนถิงขมวดคิ้ว

นกพิราบตัวหนึ่งมาหยุดลงที่หน้าต่าง ซูหลินรีบเข้าไปหยิบจดหมายที่เท้านกพิราบตัวนั้นมายื่นให้หยุนถิง

หยุนถิงเปิดออกดู เข้าใจในบัดดล มิน่าล่ะซวนอ๋องถึงต้องไปแคว้นเป่ยลี่ ที่แท้ซ่างกวนหรูได้รับการแต่งตั้งเป็นเฟยแล้ว ซ่างกวนเจิ้นก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเสนาบดี

สองพ่อลูกนี้ช่างเก่งจริงนะ คิดว่าเรื่องที่แคว้นต้าเยียนจะจบง่ายๆแค่นี้รึ

“ซูหลิน เจ้าไปบอกกองทัพขนหงส์ที่อยู่ที่แคว้นเป่ยลี่ ให้พวกเขาช่วยเหลือซวนอ๋องเต็มที่เลย!” หยุนถิงบอก

“เจ้าค่ะ” ซูหลินรีบไปจัดการทันที

หยุนถิงส่งจดหมายกลับไปให้เป่ยหมิงฉีอีก และจับมันผูกกับขานกพิราบอีกครั้ง ก่อนจะให้นกพิราบบินจากไป

หยุนถิงใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยก็ไปห้องครัว ตอนนี้ผ่านเวลาอาหารเที่ยงไปแล้ว ถึงจะรู้ว่าพ่อบ้านต้องอุ่นอาหารร้อนให้เธอตลอดเวลาแน่ แต่หยุนถิงไม่อยากรบกวนคนอื่น

พอเธอเข้าไปในห้องครัวก็เห็นเหล่าพ่อครัวจ้องมองเต้าหู้ถาดหนึ่งพลางถอนหายใจ “ระยะนี้อากาศร้อนยิ่งนัก อาหารวางทิ้งไว้ไม่ได้เลย โดยเฉพาะเต้าหู้ เปรี้ยวหมดแล้ว ทิ้งเถอะ”

หยุนถิงเห็นเต้าหู้ที่สีคล้ำพวกนั้น ก็เกิดไอเดียขึ้นมา “ไม่ต้องทิ้ง เอาไปตากแดด รอแห้งแล้วข้าจะทำอาหารให้พวกเจ้าอย่างหนึ่ง”

“ซื่อจื่อเฟย แบบนี้ก็ได้รึ?” พ่อครัวคนหนึ่งสงสัย

“ฝีมือการทำอาหารของซื่อจื่อเฟยเราเจ้ายังสงสัยอีกรึ รีบเข้าเถอะ” พ่อครัวอีกคนหนึ่งตอบออกมาตามตรงเลย

“ให้คนส่งเต้าหู้มาอีก ข้ากลัวว่าถึงเวลาจะไม่พอกิน” หยุนถิงเย้า

“ได้เลย ข้าจะให้คนไปเอาเต้าหู้มาอีก”

หยุนถิงเลือกอาหารหลายอย่างที่ตนชอบกิน และให้คนยกไปเรือนข้าง นั่งกิน

จวินหย่วนโยวกลับมาจากสวนไผ่ มองเห็นหยุนถิงกำลังกินอาหารอยู่ ก็ลังเลเล็กน้อย

“ซื่อจื่อ มีเรื่องอะไรรึ?”

“ท่านลั่วบอกว่าอยากให้เจ้ากับข้าหาเหตุผลไปเยี่ยมเยือนฮูหยินเฒ่าฟู่สักหน่อย บางทีจัดงานเลี้ยงน้ำชาชมดอกไม้ก็ได้ เชิญคนมาได้ก็พอ” จวินหย่วนโยวตอบ

“ถ้าท่านลั่วอยากพบฮูหยินเฒ่าฟู่ ไปหาที่จวนตระกูลฟู่โดยตรงเลยมิได้รึ?” หยุนถิงย้อนถาม

จวินหย่วนโยวถอนหายใจ “ฮูหยินเฒ่าฟู่กับท่านลั่ว แม่ทัพเฒ่าฟู่ทั้งสามคนตอนยังหนุ่มสาวสนิทสนมกันดีมาก ทั้งสองคนตามขอความรักจากฮูหยินเฒ่าฟู่พร้อมกัน อันที่จริงฮูหยินเฒ่าฟู่มีใจให้กับท่านลั่ว

เดิมฮูหยินเฒ่าฟู่ตัดสินใจนัดท่านลั่วมา สุดท้ายวันนั้นเขาได้รับจดหมายจากศิษย์น้องพอดี บอกว่าอาจารย์โดนคนให้ร้าย สำนักกุ่ยกู่ก็โดนฆ่าล้างสำนัก ท่านลั่วจำต้องจากไปโดยไม่ลา

เขาเป็นเด็กกำพร้า ถูกอาจารย์เก็บกลับไปเลี้ยงจนเติบใหญ่ เรียนรู้วิชาแพทย์ พอได้ยินว่เกิดเรื่องขึ้นกับสำนัก ท่านลั่วรีบกลับไปทันที เลยพลาดนัดของฮูหยินเฒ่าฟู่

ต่อมาฮูหยินเฒ่าฟู่แต่งงานกับแม่ทัพเฒ่าฟู่ สองสามีภรรยารักใคร่ปรองดองกัน อยู่กันด้วยดี ออกรบสู้ศึกด้วยกัน กลายเป็นเรื่องน่ายินดีไปทั่วทั้งสี่แคว้น

ท่านลั่วก็เคยเคียดแค้น เสียใจ แต่เขาต้องแก้แค้นเพื่อสำนัก และยังต้องรับภาระหนักอึ้งของสำนักกุ่ยกู่ไว้ อีกทั้งไม่อยากทำให้ฮูหยินเฒ่าฟู่ลำบากไปด้วย ดังนั้นหลายปีนี้เลยไม่ได้ติดต่อมาเลย

จวบจนได้ยินว่าแม่ทัพเฒ่าฟู่ตาย ท่านลั่วรีบเร่งกลับมากลางดึก จนถึงหน้าประตูจวนตระกูลฟู่แต่ไม่ได้เข้าไป เขาไม่กล้า และไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร

ต่อมาก็กลายเป็นหมอยมบาลที่มีชื่อเสียงไปทั่วสี่แคว้น หลายอำนาจมากมายอยากได้วิชาแพทย์ของเขา และยังมีคนไล่ฆ่าเขา ดังนั้นท่านลั่วเลยจำต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในเรือนหลังของจวนซื่อจื่อมาหลายปี

ถึงหลายปีมานี้จะไม่ได้ติดต่อกัน แต่ท่านลั่วคอยจับตาดูเรื่องของฮูหยินเฒ่าฟู่อยู่ตลอด เขาเองก็ไม่มีเมียเลยเช่นกัน ตอนนี้ถึงบั้นปลายชีวิตแล้ว เลยอยากจะไปพบฮูหยินเฒ่าฟู่เสียหน่อย” จวินหย่วนโยวพูดสิ่งที่ตนรู้ทั้งหมดออกมา

หยุนถิงฟังแล้วเศร้านัก ทำไมมันเหมือนตัวละครพระเอกในซีรี่ส์โบราณของยุคปัจจุบันเลยล่ะ

“ข้าช่วยเอง ไม่ต้องจัดงานน้ำชาหรืองานชมดอกไม้ดอก ในเมื่อคนที่ท่านลั่วอยากพบคือฮูหยินเฒ่าฟู่ ทำไมต้องเชิญคนที่ไม่เกี่ยวข้องมาด้วย ข้าพาเขาไปจวนตระกูลฟู่เลยดีกว่า” หยุนถิงตอบ

“ถิงเอ๋อร์ ขอบใจเจ้ามากนะ!” จวินหย่วนโยวซาบซึ้ง

“ซื่อจื่อเกรงใจข้าทำไมกัน ท่านเรียกตาแก่นั่นมาเถอะ”

“ได้”

ไม่นาน ท่านลั่วเดินเข้ามาด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน มองหยุนถิงอย่างกระดาก

“ทุกคนล้วนมีสิทธิ์ในการตามหารักแท้ รักที่แท้จริงไม่สนใจฐานะ อายุ หรือชาติกำเนิด ท่านไม่แต่งงานตลอดชีวิตก็เพื่อนาง นางเองก็เป็นม่ายมาหลายปี อาศัยตอนที่พวกท่านยังมีความกล้าที่จะเปิดเผยความรู้สึกของตนเอง อย่ารอให้ดินกลบหน้าแล้วจึงค่อยมาเสียใจภายหลัง!” หยุนถิงบอก

ท่านลั่วถลึงตาใส่นาง “นังเด็กน่าตายนี่ เจ้าพูดได้หยาบกร้านเสียจริง”

“พูดตรงประเด็นก็ได้แล้ว ข้าช่วยท่านปลอมแปลงใบหน้า ตอนนี้จะพาท่านไปพบฮูหยินเฒ่าฟู่เลย” หยุนถิงรีบให้เยว่เอ๋อร์ไปหยิบเครื่องมือในการปลอมใบหน้าของตนมา

ถึงท่านลั่วจะกระดาก แต่ยังคงให้ความร่วมมือยืนตัวตรงอย่างว่าง่าย

ใช่สิ เขาลังเลมาทั้งชีวิตแล้ว พลาดมาทั้งชีวิตแล้ว หากไม่ลงมือทำอะไร น่ากลัวว่าชาตินี้จะมิมีโอกาสอีกแล้วแน่ๆ

พอผ่านการปลอมใบหน้าของหยุนถิง ท่านลั่วกลายเป็นสาวใช้อ่อนวัยผู้หนึ่ง หลังจากใส่หน้ากากหนังมนุษย์ ก็เหมือนกับเยว่เอ๋อร์มิผิดเพี้ยน

“คุณหนู ฝีมือการปลอมแปลงใบหน้าของท่านช่างเก่งกาจนัก ข้ามองยังกลัวเลย” เยว่เอ๋อร์บอกอย่างทึ่ง

ซูหลินรีบหยิบคันฉ่องมา พอท่านลั่วเห็นหน้าตาตน ก็ดำทะมึนมาก “นังหนู เจ้ากำลังกลั่นแกล้งข้าใช่ไหม”

“ปลอมแปลงใบหน้าน่ะต้องให้มันแตกต่างมากถึงจะดี ถ้าจับท่านปลอมเป็นตาแก่หรือยายแก่ ออกจากจวนไปพร้อมข้าต้องมีคนสงสัยแน่ พอท่านกลายเป็นเยว่เอ๋อร์ แบบนี้ใครก็ไม่สงสัย” หยุนถิงอธิบาย

ท่านลั่วคิดๆดูก็สมเหตุสมผล เลยไม่ได้พูดอะไรต่อ

จวินหย่วนโยวตามไปด้วยตัวเอง พาหยุนถิงกับท่านลั่วขึ้นรถม้า มุ่งตรงไปยังจวนตระกูลฟู่

พอพ่อบ้านเห็นว่าเป็นจวินหย่วนโยวกับหยุนถิงมา ก็รีบพาพวกเขาเข้ามาอย่างนอบน้อม “จวินซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย บอกพวกท่านอย่างมิปิดบังเลยว่า ระยะนี้ฮูหยินเฒ่าของเราร่างกายไม่สู้ดีนัก ไม่อาจออกมาต้อนรับด้วยตัวเองได้ ขอพวกท่านโปรดอภัยด้วย”

“นางเป็นอะไรรึ?” ท่านลั่วถามออกมาโดยไม่คิดทันที

พ่อบ้านจวนตระกูลฟู่ตะลึง หันไปมองเขาอย่างสงสัย

ทั้งที่เป็นสาวใช้คนหนึ่ง เหตุใดจึงมีเสียงแหบพร่าราวกับตาแก่เช่นนี้เล่า

“นี่เป็นสาวใช้ของข้า ระยะนี้อากาศร้อนจนคอบวมเจ็บ ดังนั้นเสียงเลยแหบพร่าไป ขอโปรดอภัยด้วย” หยุนถิงรีบอธิบายทันที

“ซื่อจื่อเฟยเกรงใจไปแล้ว” พ่อบ้านก็ไม่คิดอะไรมาก จวินซื่อจื่อก็ตามมาด้วย ไม่น่าจะมีอะไร

ท่านลั่วถึงรู้สึกตัว รีบหุบปาก แต่ในใจยังเป็นห่วง ฮูหยินเฒ่าฟู่เป็นโรคอะไรกันแน่

พอเห็นว่าจะถึงห้องแล้ว ท่านลั่วพลันหยุดพลางว่า “พวกท่านเข้าไปก่อนเถอะ ข้าขอไปปลดทุกข์เสียหน่อย”

เขากำลังจะไป ก็โดนหยุนถิงรั้งแขนไว้ พูดเสียงต่ำว่า “ไม่ต้องตื่นเต้น ไม่ต้องเขินอาย พวกท่านคลาดกันมาหลายปีขนาดนี้ ท่านคงไม่อยากจะเสียใจไปจนวันตายกระมัง รักในบั้นปลายชีวิตดีนะ ข้าไม่หัวเราะเยาะท่านหรอก”