บทที่ 419 ความดีความชอบจะไปมีประโยชน์อะไร

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 419 ความดีความชอบจะไปมีประโยชน์อะไร?

บทที่ 419 ความดีความชอบจะไปมีประโยชน์อะไร?

เหยาเฉารีบไล่ตามภรรยาไป จากนั้นก็คว้าแขนของนาง เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับหญิงสาวไปบนทางเดินสายเล็ก พลางพูดขึ้นว่า “ข้าก็ใช่ว่าไม่อยากให้เจ้าดูแลซานเป่าเสียหน่อย”

สะใภ้รองเหยาชำเลืองตามองเขาแวบหนึ่ง “เช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร?”

เหยาเฉายิ้ม และอธิบายว่า “นิสัยของอาซูเจ้าก็ใช่ว่าจะไม่รู้ ถ้านางไม่สนใจลูกชายจริง ๆ คงไม่พาซานเป่ากลับมาจากจวนเซี่ย ตอนนี้นางได้พากลับมาแล้ว คงไม่มีทางให้อาซือดูแลเพียงลำพังหรอก อย่าว่าแต่ผู้อื่นเลย แค่ตัวนางเองก็คงไม่วางใจเช่นกัน”

สะใภ้รองเหยาขมวดคิ้วครุ่นคิด รู้สึกว่าที่เขาพูดมาก็มีเหตุผลไม่น้อย “แต่อาซู…”

เหยาเฉาพูดเสียงเบา “อาซูกลับมาจากจวนเซี่ย แม้แต่มื้อค่ำก็ไม่ร่วมโต๊ะกับเรา เห็นได้ชัดว่าไม่อยากเจอใคร ท่านพ่อและท่านแม่เลยให้เจ้ามาดู มันคือความเป็นห่วงใยของบิดามารดา เราแค่กลับไปรายงานอาวุโสทั้งสองท่านก็พอแล้ว”

สะใภ้รองเหยาไม่ใช่คนโง่ ไม่นานก็เดาปมในใจของน้องสามีได้ จึงหยุดชะงัก ก่อนจะขมวดคิ้วและพูดว่า “เราเป็นพี่ชายและพี่สะใภ้ เลยไม่ต้องเป็นห่วงน้องเช่นนั้นสิ? ต่อให้เป็นข้า ข้าก็ต้องไปดูนาง…”

เหยาเฉาส่ายหน้าแล้วพูดกับภรรยาว่า “เจ้าเชื่อข้าเถอะ อาซูมีนิสัยหัวรั้น มีเรื่องอะไร ไม่อยากให้ที่บ้านรับรู้หรอก”

เหยาเฉาคิดว่าเหยาซูยังเป็นกังวลเรื่องการหายตัวไปของหลินเหรา ที่นางไปจวนเซี่ยก็คงจะไปถามเรื่องของหลินเหราจากเซี่ยเชียน

สะใภ้รองเหยาทอดถอนใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้ากลุ้มใจ “ไปกันเถอะ ไปบอกท่านพ่อและท่านแม่ ข้าว่าอาซูคงไม่ได้หวังอยากเอาชนะอะไรหรอก หวังแค่อาเหราปลอดภัย อยู่ดูแลเด็ก ๆ จนเติบใหญ่ ท่านจะพูดเรื่องนี้ให้มันได้อะไร…”

ความดีความชอบจะไปสำคัญอะไร? ได้รับสมญานามว่าแม่ทัพเวยหยวน ครอบครัวไม่ต้องเป็นกังวลแล้วสิ?

เรื่องที่นางไม่ได้พูดออกมาก็คือ หากหลินเหราไม่ได้ออกรบก็คงจะดี

สองเดือนนี้เหมิงฉิงไม่มีอารมณ์สนใจเรื่องอื่น แค่รับมือกับปัญหาที่หลินเหราและเหยาเฉาสร้างไว้ก็เหนื่อยจะแย่แล้ว

แค่จักรพรรดิเลื่อนตำแหน่งให้เหยาเฉาเป็นเสนาบดีของศาลต้าหลี่ เขาก็รู้สึกกดดันมากพอแรง คาดไม่ถึงว่าความสามารถของเหยาเฉาจะโดดเด่น และดูเหมือนไม่สนใจความปลอดภัยของตัวเองด้วย หลังจากรับตำแหน่งก็เริ่มสืบหาเรื่องราวของเขา

ต่อให้เหมิงฉิงจะอยากปิดบังอำพรางอย่างไร แต่เรื่องการขุดแร่เหล็กแถวชานเมืองก็ไม่สามารถปกปิดเป็นความลับโดยไม่ให้รั่วไหลได้โดยแท้จริง

เขาไม่รู้ว่าข่าวลือนั้นเล็ดลอดมาจากที่ใด จนทำให้เหยาเฉาติดตามข่าว และค่อย ๆ สืบเจอทีละน้อย

เหมิงฉิงขาดการติดต่อกับตู้เหิงตั้งแต่แรก ให้คนไปส่งข่าวแก่นาง เพื่อให้หญิงสาวทำลายลู่ทางของการขุดแร่เหล็กนี้ให้สิ้นซาก มิเช่นนั้นชีวิตก็คงจะรักษาไว้ไม่ได้

ทางนี้ยังจัดการไม่เรียบร้อย ซีเป่ยก็ดันมาเกิดเรื่องขึ้นอีก จากนั้นก็มีสายมารายงานเขา

บอกว่าจดหมายที่เขาและจักรพรรดิต่างแดนลอบติดต่อกันถูกตรวจพบแล้ว เหมิงฉิงนึกถึงหลินเหราในทันใด

เพราะเสี่ยงว่าสายของเขาจะถูกเปิดโปง จึงทำการล้อมหลินเหราไว้ในค่ายศัตรู พยายามฆ่าปิดปากเขา

ใครจะไปคิดเล่าว่าหลินเหราจะโชคดี เห็นได้ชัดว่าต่อให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บปางตาย แต่กลับหนีรอดไปได้

ตอนนี้เวลาล่วงเลยไปแล้วเดือนเศษ ก็ยังไม่มีข่าวคราว

วันนี้สายของซีเป่ยมารายงาน เหมิงฉิงจึงพาคนเข้าไปในห้องลับ

เขาออกคำสั่งให้คนด้านหลังปิดประตูแล้วเอ่ยถามประโยคแรกว่า “หลินเหราเล่า? มีข่าวบ้างหรือไม่?”

สายลับคนนั้นก้มหน้าลง แล้วรายงานว่า “ยังเงียบหายพ่ะย่ะค่ะ”

เหมิงฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม แล้วพูดว่า “ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ ต้องหาคนให้พบ หากตายก็จะต้องได้เห็นศพ? ตอนนี้จะเป็นจะตายก็ยังไม่รู้? หมายความว่าอย่างไรที่ว่าเงียบหาย? ตอนนี้สงครามหยุดลงแล้ว ซีเป่ยได้รับชัยชนะ พวกเขาเล่า? สืบหาที่อยู่ของหลินเหราเจอบ้างหรือไม่?”

สายลับคนนั้นพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ท่านอ๋อง สายลับที่แทรกตัวเข้าไปสอดแนมอยู่ในค่ายทหารของซีเป่ยเพราะเรื่องที่ต้องการลอบสังหารหลินเหราล้วนถูกเปิดโปงทั้งหมด ตอนนี้เหล่าพี่น้องต่างพากันหลบซ่อนตัว กระจัดกระจายอยู่ในซีเป่ย เพราะคำสั่งของท่านอ๋องว่าจะต้องตามหาที่อยู่ของหลินเหรา…”

นัยน์ตาของเหมิงฉิงฉายแววเย็นเยือก น้ำเสียงแยกไม่ออกว่าโกรธเคืองหรือยินดี “ความหมายของเจ้าก็คือ คำสั่งของข้าผิดพลาดเช่นนั้นหรือ?”

สายลับผู้นี้ใช้ชีวิตอยู่ในซีเป่ย แม้ว่าเหมิงฉิงจะเป็นเพียงองค์ชายแค่ในนาม แต่ถ้าสลัดทิ้งซึ่งสิ่งที่เรียกว่าจงรักภักดีนี้ พวกเขาก็มีความสัมพันธ์ต่อกันเพราะผลประโยชน์เท่านั้น

ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ค่าตอบแทนมหาศาล ใครเล่าจะยอมขายชีวิตเพื่อเขา?

เบื้องหน้า สายลับผู้นี้ยังคงเอ่ยด้วยความเคารพ “กระหม่อมมิบังอาจ เพียงแต่ต่อให้เป็นผู้ที่มีความสามารถมหัศจรรย์เพียงใด ครั้นโดนลูกธนูปักเข้าขั้วหัวใจ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อ ตอนนี้ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ถึงขนาดพลิกศพที่ตายเกลื่อนในสนามรบขึ้นมาดู ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของหลินเหรา…”

ครั้นเหมิงฉิงเห็นชายที่ขายผ้าเอาหน้ารอดไปวัน ๆ ตรงหน้า ก็แทบอยากจะยกขาถีบเขาให้รู้แล้วรู้รอด

ข่มขู่ไม่ได้ ตอนนี้ทำได้แค่ล่อเหยื่อทางเดียวเท่านั้น เขาพูดกับสายลับคนนั้นว่า “หาต่อไป ถ้าเจอตัวหลินเหรา ใครที่จับเป็นได้รับไปเลยทองคำหนึ่งพันก้อน แต่หากได้ศพที่ระบุตัวได้รับทองคำไปหนึ่งร้อยก้อน ถ้ามีข่าวที่แน่นอนไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ทุกคนจะได้รับรางวัลอย่างงาม”

ไม่ว่าสิ่งใดก็มีประโยชน์สู้ทองคำของจริงไม่ได้

สายลับผู้นั้นรีบตอบรับทันที “พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมและเหล่าพี่น้องจะไม่ทำให้ท่านอ๋องน้อยผิดหวัง”

เหมิงฉิงยังสั่งการอีกสองสามประโยค จากนั้นก็ให้เขาออกไป

หลังจากที่สายลับผู้นั้นออกไปแล้ว เหมิงฉิงก็เริ่มเดินไปเดินมาในห้องอย่างกลุ้มใจอีกครั้ง พลางครุ่นคิดถึงข่าวที่ตัวเองได้ยินมาจากซีเป่ยวกวนไปมาอยู่ในสมอง ยามที่จดหมายถูกเปิดโปงเขาได้ทำการตัดสินใจ

จากนั้นก็ส่งคนเข้าไปลอบสังหารหลินเหราที่ติดอยู่ในค่ายศัตรู และตัดความสัมพันธ์กับต่างแดนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะให้ลูกน้องทั้งหมดในซีเป่ยปิดล้อมเมืองไว้หมายค้นหาตัวหลินเหรา…

ในบรรดาม้าเหล็กและลูกน้องภายใต้บัญชาในค่ายศัตรู ต่อให้เป็นผู้ที่มีอำนาจเพียงใดก็ไม่มีทางหนีพ้น ยิ่งไปกว่านั้นเจียงหนิงและเซี่ยเชียนตอนนี้ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด แม้แต่เหยาเฉาเองยังคงตรวจสอบในทิศทางของเขาทีละขั้นตอน

เหมิงฉิงขมวดคิ้วแน่น ตัดสินใจว่าจะวางเรื่องซีเป่ยลงชั่วคราว ตั้งใจจะกำจัดเหยาเฉาโดยเฉพาะ

นับตั้งแต่เหยาเฉาได้ข้อมูลการขุดเจาะแร่เหล็กในชานเมือง และเริ่มสืบหาความลับ ตู้เหิงก็ขาดการติดต่อกับเหมิงฉิงไปโดยปริยาย

ตู้เหิงคาดการณ์ไว้แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง จึงได้ตัดสินใจส่งลูกน้องที่รู้เรื่องนี้กลับชนบทโดยตรง แล้วค่อยเผาทำลายให้วอดวาย

ชานเมืองมียอดเขาที่มีแร่เหล็ก เป็นสินทรัพย์ในนามของตระกูลโจวครอบครัวฝ่ายมารดาของนาง ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับหญิงสาวแต่อย่างใด

เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น ตู้เหิงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเหมือนได้มีชีวิตอีกครั้ง

สาวใช้คนใหม่ข้างกายเสี่ยวหงเก่งในด้านการสังเกตสีหน้า ทั้งยังเฉลียวฉลาดไม่เคยถามเรื่องของตู้เหิง แค่ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง คอยดูแลเรื่องการเป็นอยู่ในตู้เหิงในทุก ๆ วัน

วันนี้ หญิงสาวเห็นว่าความรู้สึกของคุณหนูดูจะไม่ได้ตึงเครียดเหมือนเมื่อสองสามวันก่อน จึงเอ่ยว่า “คุณหนู จวนลู่ส่งคนมาเชิญคุณหนูออกไปข้างนอกติดต่อกันห้าวันแล้ว ก่อนหน้านั้นคุณหนูสั่งไม่ให้มารบกวน …ข้าคิดว่า ถึงอย่างไรคุณชายลู่ก็เป็นสหายของคุณหนู ไม่สนใจติดต่อกันหลายวันเช่นนี้ ดูไม่ดีเอาเสียเลยนะเจ้าคะ”

ลู่หัวนัดพบนาง ไม่เคยใช้นามของจวนลู่มาก่อน

ตู้เหิงค่อนข้างประหลาดใจ ก่อนจะขมวดคิ้วและถามว่า “คนไหนของจวนลู่?”

เสี่ยวหงเผยรอยยิ้มบนใบหน้า แล้วตอบกลับว่า “ได้ยินว่าเป็นน้องสาวของคุณชายลู่ อยากเชิญคุณหนูไปพูดคุยในจวนเจ้าค่ะ”

หญิงสาวเกิดในชนบท ไม่เคยมีโอกาสได้ไปจวนเจ้าอาลักษณ์ที่เป็นสถานที่เช่นนี้มาก่อน

ก่อนหน้านั้นรู้สึกว่าการมาปรนนิบัติรับใช้ตู้เหิงเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว แต่ตอนนี้คาดหวังแค่เพียงได้เห็นสตรีชั้นสูงในเมืองหลวงโดยแท้จริง เสี่ยวหงได้แต่คาดหวังอยู่เงียบ ๆ ในใจ

ได้ยินว่าแม่นางลู่เป็นลูกสาวของเจ้ากรมกลาโหม เช่นนั้นก็คงมีบุคลิกของทหารหญิงไม่น้อย?

เสี่ยวหงลอบมองตู้เหิง กลับเห็นความเบื่อหน่ายฉายชัดขึ้นบนใบหน้า “นางมาเชิญข้าไปจวนหรือ? ก่อนหน้านั้นเราไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน อนาคตก็ไม่น่าจะไปมาหาสู่อะไรกัน แล้วจะเชิญข้าไปเพื่ออะไร?”

เสี่ยวหงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าน้อยเองก็ไม่แน่ใจเจ้าค่ะ แต่ได้ยินมาว่าแม่นางลู่เคยไปร้านขายผ้าจิ่นซิ่วของเรา บางทีแม่นางลู่อาจจะอยากทำกิจการกับคุณหนูก็ได้ ใครจะไปรู้”

ประโยคนี้ของเสี่ยวหง กลับกลายเป็นเรื่องที่ตู้เหิงสุดแสนจะเบื่อหน่ายในช่วงสองสามวันนี้

ตอนนี้ร้านชายผ้าจิ่นซิ่วปิดกิจการไปแล้วเดือนเศษ ถ้าไม่เปิดอีกเกรงว่าจะกลับมาเปิดจริง ๆ ไม่ได้แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นในชาติก่อนนางยังได้ออกเรือนกับลู่หัว รู้ว่าต่อไปน้องสามีคนนี้จะเข้ามาทำกิจการ ถ้านางชอบร้านขายผ้าจิ่นซิ่วจริง ๆ คิดว่าเรื่องราวก็อาจจะวนเวียนกลับมาอีกครั้ง

ในขณะที่คิดเรื่องนี้ตู้เหิงได้พูดกับเสี่ยวหงว่า “ตอบกลับจวนลู่ว่าบ่ายนี้ข้าจะไป”

ในใจของเสี่ยวหงดีใจอย่างมาก ใบหน้ากลับไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมา ทำได้แค่ถอนใจ หยิบกาน้ำชาในมือของตู้เหิงไปเติมน้ำร้อนใหม่ แล้วรีบไปจุดเทียนหอมใหม่ในห้องของผู้เป็นนาย

ตู้เหิงปล่อยให้เสี่ยวหงวุ่นกับงาน เห็นนางเป็นคนโปร่งใสไร้สิ่งใดปิดบัง ตัวเองจึงเปิดซองจดหมายอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากอ่านเสร็จแล้วก็โยนทิ้งบนโต๊ะ

จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาเตรียมจะตอบจดหมายเพียงไม่กี่คำ แต่กลับพบว่าหมึกดำบนโต๊ะหนังสือแห้งหมดแล้ว

หัวคิ้วของนางขมวดเข้าหากันเล็กน้อย จากนั้นก็ตะโกนเสียงดัง “เสี่ยวหง ฝนหมึก”

เสี่ยวหงยังยุ่งกับงาน เมื่อได้ยินก็รีบขานรับ ไม่นานก็เดินเข้ามา

สีหน้าของตู้เหิงไม่สู้ดีนัก จึงได้ตำหนิออกไป “รู้ทั้งรู้ว่าข้าต้องเขียนจดหมาย เหตุใดแม้แต่เรื่องฝนหมึกก็ยังไม่คิดจะทำ วิ่งไปโน่นไปนี่ทำเรื่องที่ไร้สาระอยู่ได้?”

เดิมทีเสี่ยวหงเห็นว่าวันนี้อากาศดี จึงตั้งใจจะนำผ้าห่มที่ตู้เหิงใช้เป็นประจำไปตากแดด

แต่เมื่อครู่ขณะที่กำลังเก็บราวตากผ้าในลานบ้านนั้น ก็ถูกตู้เหิงตำหนิไปแล้วหนึ่งรอบ

หญิวสาวได้แต่พยักหน้า และพูดว่า “ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยจะฝนเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”

เสี่ยวหงเคยชินกับการใช้แรงงานของคนรับใช้ น้อยมากที่จะมานั่งฝนหมึก ยามอาซู่อยู่ ก็เคยสอนนางว่าต้องฝนหมึกอย่างไร

ครั้นเห็นท่าทางเก้กังของเสี่ยวหง ตู้เหิงพลันรู้สึกขุ่นมัวในใจ ได้แต่โยนพู่กันด้ามหนึ่งไปบนโต๊ะอย่างแรง แล้วเดินกระฟัดกระเฟียดออกจากห้องไป

เสี่ยวหงได้แต่ก้มหน้า ปลายนิ้วขวากดลงบนหมึกฝน กดจนนิ้วซีดขาวแต่ก็ยังฝนหมึกที่ตู้เหิงต้องการอย่างช้า ๆ จนเสร็จ

……………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

พี่เฉาต้องระวังตัวแล้วค่ะ อ๋องน้อยเปลี่ยนเป้าหมายจะมาเก็บพี่แทนอาเหราแล้ว

น้องสาวลู่หัวนัดนังตู้ไปจวนลู่เองแบบนี้ จะมีเรื่องอะไรน่าดูที่จวนลู่หรือเปล่านะ

ไหหม่า(海馬)