บทที่ 420 ตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อครั้งอดีตแล้ว

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 420 ตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อครั้งอดีตแล้ว

บทที่ 420 ตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อครั้งอดีตแล้ว

เสี่ยวหงไปจวนเจ้ากรมกลาโหมกับตู้เหิง

นางเริ่มแต่งตัวให้ตู้เหิงหลังจากรับประทานอาหารมื้อเที่ยงเสร็จ แต่งแต้มสีสันบาง ๆ บนใบหน้าให้ไม่ดูฉูดฉาดสะดุดตาเกินไป ก่อนตั้งใจเลือกเครื่องประดับและเครื่องแต่งกาย

ยามที่กำลังหวีผมให้ตู้เหิงนั้น ฝ่ายเจ้านายก็ยังมิวายเยาะเย้ยว่านางนั้นโง่เขลาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ซ้ำยังติอีกว่าฝีมือห่างไกลอาซู่มากโข

เสี่ยวหงได้แต่อดทนต่อคำพูดที่ตู้เหิงพ่นออกมา นางรู้ว่าคุณหนูอารมณ์ไม่ดี อีกทั้งยามบ่ายยังต้องไปจวนฝั่งนั้นด้วยบุคลิกที่สง่าผ่าเผยมีความรู้มีประสบการณ์ ในใจของเสี่ยวหงเหลือเพียงความดีใจและความคาดหวังเท่านั้น

เมื่อรถม้ามาหยุดอยู่หน้าประตูจวนกรมกลาโหม นางประคองมือของคุณหนูลงจากรถม้า ยามเห็นสิงโตขนาดใหญ่สองตัวที่ตั้งตระหง่านอยู่หน้าประตูใหญ่ที่ดูมีพลังนั้น ความตื่นเต้นในใจของเสี่ยวหงยิ่งทวีคูณ

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงศาลาและหอ ภูเขาจำลองและบ่อน้ำที่มีปลาแหวกว่ายระหว่างทาง…

นางรู้ดีว่าไม่ควรพูดมาก แต่ก็ยากจะระงับความสั่นไหวในใจได้ จึงพูดกับตู้เหิงด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “คุณหนู นี่คือจวนเจ้ากรมกลาโหมหรือเจ้าคะ? ทั้งใหญ่ทั้งงดงามเลยเจ้าค่ะ”

หัวคิ้วอันงดงามของตู้เหิงได้ขมวดเข้าหากัน ดวงตาคู่งามกวาดตามองเสี่ยวหงด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง นางจึงรีบหุบปากลงทันใด

เสี่ยวหงรู้ดีว่าตู้เหิงไม่ชอบเสียหน้า แต่ในใจนางกลับไม่รู้สึกอายแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับกำลังคิด

ได้ยินว่าก่อนหน้านั้นคุณหนูก็เป็นบุตรสาวของท่านเจ้าอาลักษณ์ บัดนี้หงส์ฟ้าตกอับกลายเป็นไก่บ้าน ในใจของนางหรือจะไม่อยากกลับไปอยู่ในสถานที่งดงามเช่นนี้อีกครั้ง?

สาวใช้เก็บความรู้สึกนั้นไว้ แล้วเดินตามตู้เหิงไปอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้คนในจวนลู่นำทางตรงไปยังเรือนด้านหลัง

หลังจากเดินได้ครึ่งทาง กลับได้ยินเสียงอันคุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้น “แม่นางตู้? เป็นท่านจริง ๆ หรือ? และก็แม่นางเสี่ยวหง…”

เสี่ยวหงเงยหน้าด้วยความดีใจ พบว่าเป็นอาเหลียงเด็กรับใช้ข้างกายของลู่หัวในเสื้อคลุมสั้นสีฟ้าทั้งตัวยืนอยู่อีกด้านของถนน ดอกไม้ใบหญ้าอันเหี่ยวเฉาในฤดูใบไม้ร่วงที่โดดเด่นนั้น ขับให้เห็นริมฝีปากที่แดงก่ำและฟันที่ขาวบริสุทธิ์ของเขาเด่นชัดขึ้น

ตู้เหิงพยักหน้าเล็กน้อย แสดงออกว่าเป็นการกล่าวทักทายอย่างหนึ่ง

เสี่ยวหงเอ่ยปาก แม้ว่าในลำคอจะรู้สึกเกร็งไปบ้าง แต่กลับยังพูดเสียงต่ำว่า “พี่อาเหลียง คุณหนูของเราเป็นแขกที่คุณหนูลู่เชิญมา”

อาเหลียงแสดงสีหน้าประหลาดใจ แต่กลับไม่พูดสิ่งใดมากความ แค่เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหนูของเรามีนิสัยตรงไปตรงมา ไม่ค่อยพูด ถ้าแม่นางตู้ไม่ได้รับความเป็นธรรม รายงานนายน้อยของเราได้ทุกเมื่อนะขอรับ”

ก่อนหน้านั้นเสี่ยวหงเคยพูดคุยกับอาเหลียงบ้าง จึงได้รู้ว่าตู้เหิงและลู่หัวเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่วัยเยาว์ ถือว่าเป็นมิตรสหายในวัยเยาว์เลยทีเดียว

ตอนนี้ครั้นได้ยินคำพูดของอาเหลียง ในใจของเสี่ยวหงก็พลันตื่นตกใจ เริ่มเกิดความคิดสับสนวุ่นวายอยู่ในสมองของนาง

หญิงสาวเห็นว่าคุณชายลู่นั้นเหมือนจะสนใจคุณหนู ถ้าคุณหนูออกเรือนกับคุณชายลู่ ก็จะกลายเป็นฮูหยินของจวนลู่ไป นางจะอยู่ในจวนขนาดใหญ่แห่งนี้ได้หรือ? คนรอบตัวจะไม่พากันอิจฉาชีวิตที่มีพร้อมทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์และอาหารการกินกันไม่น้อยเลยหรือ?

กระทั่งได้ยินตู้เหิงเอ่ยกับอาเหลียงด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ขอบคุณนายน้อยของเจ้าแทนข้าด้วย”

นางไม่อยากเสวนากับเด็กรับใช้ของลู่หัวมากนัก จึงพาเสี่ยวหงเดินจากไป

กระทั่งเดินไกลออกไป ความคิดที่ผุดขึ้นมาในสมองของเสี่ยวหงก็ยังไม่จางหาย

ยามได้เจอกับคุณหนูตระกูลลู่ และสาวใช้ข้างกายของนาง ความปรารถนาที่อยากให้ตู้เหิงออกเรือนมาอยู่ในจวนลู่ในใจของเสี่ยวหง ก็ยิ่งล้ำลึกมากขึ้น

คุณหนูตระกูลลู่มักจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีแดง นิสัยก็ค่อนข้างเด็ดเดี่ยวถอดแบบจากผู้เป็นพ่อยิ่งว่าพี่น้องคนอื่น แม้ว่าจะไม่ชอบแต่งตัวมากนัก แต่เนื้อผ้าที่สวมใส่บนร่างกาย รวมไปถึงหยกสีแดงที่สวมใส่อยู่บนศีรษะของนาง มองดูก็รู้ได้ว่าไม่ใช่ของธรรมดา

ขนาดสาวใช้ข้างกายของนางก็ยังแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่งดงามและนุ่มนวล แม้ว่าจะไม่ได้สวยหรู แต่ดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าเสี่ยวหงเสียอีก

แม่นางลู่กล่าวทักทาย “พี่หญิงตู้ ท่านมาแล้ว เชิญนั่งเจ้าค่ะ”

ตู้เหิงคลี่ยิ้มบางเบา แล้วกล่าวอย่างสุภาพ “หลายวันมานี้สุขภาพร่างกายข้าไม่ค่อยสู้ดีนัก คนรับใช้ในเรือนต่างก็ตัดสินใจกันว่าจะปิดข่าวเหล่านั้นกับข้า วันนี้ได้ยินว่าแม่นางลู่เอ่ยปากเชิญหลายครั้งหลายครา จนเริ่มกลัว หวังว่าน้องหญิงลู่อย่าได้ถือโทษเลย”

เสี่ยวหงประหลาดใจกับคุณหนูของตัวเองที่สามารถแสดงอากัปกิริยาได้เหมือนกับอยู่ในแวดวงสตรีสูงศักดิ์ได้ถึงขนาดนี้ แต่เมื่อนางเห็นแม่นางลู่ไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจต่อสาวใช้ข้างกายของนาง จึงพยายามข่มความประหลาดใจภายในนัยน์ตานั้นไว้

กระทั่งได้ยินแม่นางลู่เอ่ยอย่างเกรงใจ “เป็นข้าเองที่ละลาบละล้วงรบกวนความสงบของพี่หญิงตู้ วันนี้ที่เชิญพี่หญิงตู้มาที่นี่ ก็เพราะมีเรื่องเล็ก ๆ อยากจะปรึกษาพี่หญิงตู้ แต่เพราะการอบรมสั่งสอนของท่านแม่ค่อนข้างเข้มงวด ไม่อนุญาตให้ออกจากจวน ข้าจึงไม่สามารถไปเยี่ยมเยือนได้จริง ๆ”

คำพูดนี้สำหรับเสี่ยวหงถือว่าสุภาพมาก แต่สำหรับตู้เหิงไฉนเลยจะฟังไม่ออก แม่นางลู่กำลังเยาะเย้ยบ้านที่นางอาศัยอยู่ตอนนี้ที่นางไม่เหยียบย่างไปต่างหาก

หญิงสาวยิ้มเยาะอย่างเย็นชาในใจ แต่ใบหน้ากลับแสดงสีหน้าตรงไปตรงมา เหมือนกับเข้าใจ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางเบา “ยามอยู่ในจวนตู้ก่อนหน้านั้น ข้าก็ไม่ชอบออกไปข้างนอกเหมือนกับน้องหญิงลู่เช่นกัน นับตั้งแต่ออกจากจวนมา ก็พบว่าการปฏิสัมพันธ์กับคนหมู่มากเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงค่อย ๆ คุ้นชินในที่สุด”

ตู้เหิงใช้ประโยชน์จากสถานะของตนทิ่มแทงแม่นางลู่อย่างนุ่มนวล ตั้งใจชี้ให้เห็นว่านางได้รับการคุ้มครองจากครอบครัว โดยไม่ต้องใช้ความสามารถอะไรมากมาย

แต่ดูเหมือนแม่นางลู่ไม่คิดจะนำทองไปรู่กระเบื้อง นางได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ หากแต่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจทั้งหมด

ที่นางเรียกตู้เหิงมาที่นี่ในวันนี้ก็เพราะมีธุระจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องรีบคุยถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้กับนาง

เมื่อตู้เหิงนั่งลงแล้ว น้ำชาและขนมต่างถูกเตรียมไว้พร้อม จากนั้นแม่นางลู่ก็ตรงเข้าประเด็นทันที “เมื่อหนึ่งเดือนก่อนได้ยินมาว่าร้านขายผ้าที่พี่หญิงตู้เปิดนั้นงดงามอย่างมาก เสียดายที่เพิ่งไปเพียงแค่ครั้งเดียว”

ครั้นตู้เหิงได้ยินแม่นางลู่เอ่ยถึงร้านขายผ้า ก็พลันคิดในใจ ‘หรือว่าเสี่ยวหงเจ้าแมวตาบอดเจอหนูตาย[1] จะเดาถูก แม่นางลู่มีความสนใจในร้านขายผ้าจิ่นซิ่วจริง ๆ?’

รอยยิ้มบางเบาที่ปรากฏบนใบหน้าของตู้เหิงดูจริงใจมากขึ้น กระทั่งพูดว่า “แต่มันก็เป็นแค่กิจการเล็ก ๆ ขอบคุณที่เจ้าสนใจ”

แม่นางลู่กลับไม่ได้เอ่ยถึงกิจการอย่างที่นางคาดการณ์ไว้ แต่ค่อย ๆ หุบรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่า ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วมักขอบข่มเหงรังแกผู้อื่น ถึงขั้นไปหาเรื่องร้านขายผ้าเหยาจี้ที่อยู่ถัดไป ทั้งยังเกือบเกิดเรื่องกับสตรีตั้งครรภ์ผู้หนึ่ง”

หัวคิ้วของตู้เหิงขมวดเข้าหากัน แม่นางผู้นี้ วันนี้ตั้งใจจะหาเรื่องกันใช่หรือไม่?

ในใจของนางเริ่มขุ่นเคือง แต่รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงราบเรียบ และพูดว่า “เรื่องนี้มันผ่านไปหนึ่งเดือนกว่าแล้ว ทำไมจู่ ๆ น้องหญิงลู่ถึงได้เอ่ยถึงมัน? อีกทั้งน้องหญิงลู่ก็อาศัยอยู่แต่ในจวน ไฉนเลยจะรู้เรื่องการทำกิจการ”

แม่นางลู่ยิ้มเยาะอย่างเย็นชาหนึ่งเสียง “แม่นางตู้ ตอนนั้นข้าไปดูผ้าในร้านขายผ้าเหยาจี้พอดี ฮูหยินท่านนั้นคือคนที่ข้าปกป้องและผละจากไป ส่วนหมอจีนก็คือคนที่สาวใช้ของข้าวิ่งไปเชิญมา เจ้าว่าข้าควรรู้หรือไม่รู้เล่า?”

ตู้เหิงหุบยิ้มที่ดูเกรงใจนั้นไว้ รู้สึกไม่สบอารมณ์ในใจทันใด จึงเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “วันนี้น้องหญิงลู่ตั้งใจจะสะสางบัญชีกับข้าใช่หรือไม่?”

แม่นางลู่ส่ายหน้า การแต่งหน้าในวันนี้ของนางช่างงดงามวิจิตรยิ่งนัก ยามที่ดวงตาเรียวดุจตาหงส์คู่นั้นกวาดมองด้วยสายตาดุดัน เสี่ยวหงถึงกับหวาดผวากับอากัปกิริยานั้น

กระทั่งได้ยินนางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าไม่เคยมีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับร้านขายผ้าเหยาจี้มาก่อน แค่อยากจะแนะนำแม่นางตู้สักหน่อย ตอนนี้พี่ชายของข้ากำลังจะเกี่ยวดองกับคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเฉิน นิสัยของคุณหนูเฉินผู้นั้นอ่อนโยนและจิตใจดี ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ใช่คู่ปรับของแม่นางตู้ หวังว่าแม่นางตู้จะไม่ทำลายเรื่องดี ๆ ของท่านพี่นะเจ้าคะ”

แม่นางลู่ไม่แม้แต่จะรักษาความปรองดองและให้เกียรติแต่อย่างใด ทั้งยังทำให้ตู้เหิงตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอาย จนใบหน้าของตู้เหิงซีดเผือดไปหมด

หญิงสาวโกรธจนนิ้วสั่นระริก ทำได้แค่เค้นเสียงพูดว่า “ตอนนั้นข้าอยู่ในฐานะบุตรสาวของจวนตู้ คุณชายลู่เชิญชวนข้าด้วยตัวเอง น้อยนักที่จะได้พูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว ยามนั้นเหตุใดเจ้าถึงไม่พูดให้ข้าอยู่ห่างจากเขาสักหน่อยเล่า? ตอนนี้ข้าออกจากจวนตู้มาแล้ว ถ้าพี่ชายของเจ้ามาหาข้าอีก ก็ถือว่าเป็นความผิดของข้าเช่นนั้นสิ?”

แม่นางลู่ทำเป็นเมินกับท่าทีขุ่นเคืองของนาง เหมือนกับว่าความรู้สึกของคนที่อยู่ตรงหน้าไม่มีตัวตนอย่างไรอย่างนั้น แค่พูดเสียงราบเรียบว่า “ตอนนี้มันไม่เหมือนกับในอดีตแล้ว แม่นางตู้น่าจะรู้ดี ข้าไม่เคยนับเจ้าเป็นพี่ ก็สมเหตุสมผลดีแล้ว ตอนนี้ถ้าเจ้าเรียกข้าว่าน้องอีก เท่ากับว่าแอบอ้างผู้มีอำนาจเพื่อถีบตนให้ดูสูงส่ง”

ตู้เหิงลุกพรวดขึ้น ไม่ต้องดื่มน้ำชากันแล้ว จากนั้นก็พาเสี่ยวหงหมุนตัวออกไปทันที

แม่นางลู่ยังไม่วายกล่าวอย่างเกียจคร้านไล่หลัง “แม่นางตู้ไตร่ตรองคำพูดของข้าดี ๆ เจ้าก้าวพลาดไปแล้วครั้งหนึ่ง อย่าได้ก้าวพลาดซ้ำเป็นครั้งที่สอง”

บนทางเล็ก ๆ ของจวนหลังตระกูลลู่ล้วนเต็มไปด้วยใบไม้สีเหลืองปลิดขั้วหล่นลงจากต้นยามเข้าฤดูสารท ตู้เหิงเหยียบย่ำไปบนใบไม้ที่เหี่ยวแห้ง สาวเท้าก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเพียงแค่นี้ก็สามารถสะบัดเอาคำพูดเยาะเย้ยและน่าอัปยศในหูเหล่านั้นทิ้งไว้ด้านหลังจนไกลห่างจากนางได้แล้ว

ชีวิตก่อนหน้านั้นหญิงสาวได้แต่งงานเข้ามาในจวนลู่ คุณหนูลู่ยังไม่ออกเรือน นางพูดจาเกรงอกเกรงใจตนอย่างมาก และเรียกขานตน ‘พี่สะใภ้’ ทุกคำ

เจ้ากรมกลาโหมไม่ใช่ผู้ที่มีคุณสมบัติที่ดีนัก ต่อมาก็ต้องพึ่งพาความสัมพันธ์และเส้นสายของคนในตระกูลตู้ ทำให้คุณหนูลู่ได้ออกเรือนกับตระกูลที่ถือว่าไม่เลวเลย

ตอนนี้การที่คุณหนูลู่ฉีกหน้าตู้เหิงเช่นนี้ ทำให้นางทั้งโกรธทั้งอายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เมื่อคิดไปถึงการเผชิญหน้ากันในชีวิตก่อนหน้านั้นของพวกนาง ที่แตกต่างกับสถานะในชีวิตนี้ราวฟ้ากับเหว มันก็ทำให้หญิงสาวยิ่งโกรธเกลียดมากกว่าเดิม

เสี่ยวหงเร่งฝีเท้าตามตู้เหิงไป เห็นได้ชัดว่าคุณหนูของตนนั้นไม่ได้สาวเท้าก้าวใหญ่นัก แต่กลับทำให้นางเกือบไล่ตามไม่ทัน

ระหว่างที่กำลังเร่งรีบ นางไม่ทันได้คิดว่าเหตุใดคุณหนูของตนถึงได้คุ้นเคยกับเส้นทางจวนหลังตระกูลลู่นัก ไม่ต้องให้คนรับใช้นำทางก็รู้ว่าต้องเดินไปอย่างไร

เพราะเส้นทางที่ตู้เหิงเดินนั้นล้วนแต่เป็นทางขนาดเล็ก ทั้งยังเร่งฝีเท้าด้วยความรีบร้อน เสี่ยวหงกลัวว่าคุณหนูจะหกล้ม จึงได้ขานเรียก “คุณหนู คุณหนู! เดินช้าลงหน่อยก็ได้เจ้าค่ะ ระวังสะดุด…”

ตู้เหิงราวกับไม่ได้ยิน ยิ่งเดินก็ยิ่งเร็วขึ้น

นายและบ่าวต่างเดินตามกันไปติด ๆ กระทั่งเดินมาถึงหน้าประตูทรงพระจันทร์โค้งแห่งหนึ่ง ตู้เหิงไม่ทันระวัง ทันใดนั้นก็ชนหน้าอกของอีกคนที่เดินมาจากอีกด้าน

คนผู้นั้นมีร่างสูงใหญ่ รีบถอยหลังไปหนึ่งก้าว พร้อมกับยื่นมือออกไปประคองร่างที่กำลังจะล้มของตู้เหิง

ชายผู้นั้นส่งเสียงด้วยความตื่นตกใจ นั่นคือน้ำเสียงที่ตู้เหิงคุ้นเคยที่สุด “แม่นางตู้?”

………………………………………………………………………………………………….

[1] เจ้าแมวตาบอดเจอหนูตาย แมวมองไม่เห็นเจอหนูตาย เปรียบเทียบตัวเองไม่มั่นใจ แต่โชคดีหรือบังเอิญจึงประสบความสำเร็จ

สารจากผู้แปล

เชิญนังตู้มาเชือดนิ่ม ๆ ในถิ่นตัวเองนี่เอง ร้ายกาจมากคุณหนูลู่

ไหหม่า(海馬)