เข้าวัง?
เพียงได้ยินหัวใจของเจียงซื่อก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นโดยพลัน
ตั้งแต่เฉินเหม่ยเหรินใช้พิษกู่ทำร้ายองค์หญิงฝูชิง นางก็สงสัยว่าในวังจะต้องมีคนที่รู้วิชาพิษกู่ เพียงแต่ว่ามีฮองเฮาคอยรับผิดชอบองค์หญิฝูชิงอยู่ นางจึงไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปแทรก
แต่หากเกี่ยวข้องกับการตายท่านแม่นั่นมันก็อีกเรื่องหนึ่ง
หากกู่กาฝากที่องค์หญิงใหญ่หรงหยางใช้ทำร้ายท่านแม่ได้มาจากผู้อาวุโสเผ่าอูเหมียวที่เข้าวังมา นางก็ต้องตามหาตัวคนผู้นั้นจนเจอให้ได้
“นางเข้าวังไปทำงานรับใช้ที่ใด”
หญิงชราส่ายหน้า “ตั้งแต่นางเข้าวังไปพวกข้าก็ไม่เคยเจอหน้ากันอีก ข้าไม่รู้หรอกว่าเวลานี้นางทำงานรับใช้อยู่ที่ใด”
“ในเมื่อพวกเจ้ารับคำสั่งมาจากผู้อาวุโสใหญ่จึงมาที่นี่ นางเข้าวังไปไม่มีผลกระทบต่อภารกิจที่ต้องทำหรือ”
หญิงชรามองเจียงซื่อ ไม่ได้ตอบกลับไปในทันที
เจียงซื่อตื่นรู้ขึ้นมาทันที
ที่ผู้อาวุโสท่านนั้นเข้าวังไป เกรงว่าคงเป็นเพราะภารกิจที่ผู้อาวุโสใหญ่มอบให้
ความสงสัยผุดขึ้นมาในใจเจียงซื่อ
ชาติภพที่แล้วนางเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่เผ่าอูเหมียวมานานหลายปี ไม่เคยได้ยินว่าผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยปากพูดถึงเลยว่าส่งคนมาปฏิบัติภารกิจที่ต้าโจว
หนานเจียงเป็นชื่อเรียกรวมทั้งหมด อูเหมียวเป็นเพียงเผ่าหนึ่งที่มีสันติไมตรีกับต้าโจวมาโดยตลอด ตั้งแต่ชาติพบที่แล้วจนปัจจุบันก็ได้ช่วยเป็นอีกแรงหนึ่งที่ทำให้ต้าโจวเอาชนะหนานหลานได้
เหตุใดสิบกว่าปีก่อนผู้อาวุโสใหญ่ถึงได้ส่งคนมายังเมืองหลวงของต้าโจวอย่างลับๆ ด้วย
เจียงซื่อข่มความสงสัยไว้ชั่วคราว พลางเอ่ยถามออกไป “พวกเจ้าไม่ได้เจอหน้ากันมาสิบกว่าปี แล้วปกติติดต่อกันอย่างไร”
หญิงชรามองเจียงซื่อด้วยสายตาประหลาดใจเล็กน้อย “เหตุใดสตรีศักดิ์สิทธิ์ถึงถามเรื่องนี้”
เจียงซื่อนึกกลัวขึ้นมา ทว่าสีหน้ายังคงเรียบเฉย “ถามเรื่อยเปื่อยน่ะ”
“ไม่ทราบว่าเหตุใดสตรีศักดิ์สิทธิ์ถึงได้มาอยู่ที่นี่”
เจียงซื่อมองหญิงชรา เอ่ยพูดพร้อมกับรอยยิ้มที่เหมือนไม่ยิ้ม “เช่นเดียวกับผู้อาวุโส ข้ามีเหตุผลที่บอกไม่ได้”
หญิงชราเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดออกมา “ข้าใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มานานหลายปี เห็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แต่งตัวเหมือนคนที่แต่งงานแล้ว…”
เจียงซื่อยิ้ม “เรื่องนี้เป็นความลับ ข้าไม่อาจพูดได้”
“ข้าปากมากไปเองเจ้าค่ะ” หญิงชราแสดงความขอโทษ
เจียงซื่อเห็นท่าว่าหากถามต่อไปอาจจะหลุดเผยตัวตนออกมาได้ จึงหยุดบทสนทนาไว้เพียงเท่านี้ แล้วถามไถ่เรื่องเผ่าอูเหมียวสักสองสามประโยค จากนั้นก็เดินออกไปจากร้าน
เด็กสาวเดินไปส่งเจียงซื่อที่หน้าประตูร้านด้วยท่าทีนอบน้อมแล้วกลับมา เอ่ยพูดกับหญิงชราด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ฮวาวั่ว สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่เพียงแต่มากับสาวรับใช้ แต่ยังมีองครักษ์และชายรับใช้ที่มีอายุมากอีกคนหนึ่ง”
หญิงชราแอบรู้สึกว่ามันแปลกๆ
“องครักษ์กับบ่าวรับใช้แต่งตัวเป็นคนต้าโจวใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ” เด็กสาวไม่เข้าใจว่าเหตุใดหญิงชราถึงได้ถามเช่นนี้
ในเมื่อสตรีศักดิ์สิทธิ์ใช้ชีวิตในฐานะคนต้าโจว แน่นอนว่าคนข้างกายก็ต้องแต่งตัวเป็นคนต้าโจว
หญิงชราขมวดคิ้วแน่น จู่ๆ ก็ลุกเดินไปด้านหลัง
“ฮวาวั่ว ท่านจะไปไหน” เด็กสาวเดินตามไป
หญิงชราหยุดชะงักลง พลางเอ่ยขึ้น “เขียนจดหมายส่งกลับไปที่เผ่า”
ระหว่างทางอาหมานถามด้วยความอยากรู้ “คุณหนู ท่านกับสตรีผู้นั้นพูดภาษาอะไรกันหรือเจ้าคะ”
เจียงซื่อชำเลืองมองอาหมาน แล้วพูดขึ้น “ภาษาอูเหมียว”
“ท่านพูดภาษาอูเหมียวได้ด้วยหรือเจ้าคะ”
“อืม”
“แต่ไม่เคยเห็นท่านเรียนเลยนะเจ้าคะ”
“พูดได้ตั้งแต่เกิดน่ะ”
สาวรับใช้เกาหัวด้วยความงุนงง
ไม่ใช่เรื่องชั่วร้ายหรือกำเริบเสิบสานสักหน่อย ไม่ต้องใช้อาจารย์สอนก็สามารถเข้าใจได้เองงั้นหรือ
ทว่าคุณหนูพูดปร๋อเช่นนี้ ไม่ได้ก็ต้องได้แล้วล่ะ
อาหมานเลิกรู้สึกลำบากใจอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงแต่ความเลื่อมใสในตัวเจ้านายของตนเอง
เจียงซื่อเงียบมาตลอดทางจนถึงจวนเยี่ยนอ๋อง
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะพระชายา”
“ถวายบังคมเพคะพระชายา”
เจียงซื่อเดินกลับไปยังห้องนอนท่ามกลางคำกล่าวทักทาย แล้วถามอาเฉี่ยวออกไป “วันนี้ท่านอ๋องอยู่ที่เรือนหรือไม่”
องค์ชายที่ไม่ได้อยู่ในฐานะผู้สืบทอดบัลลังก์ อยู่ทำตัวว่างไปวันๆ ก็เพียงพอแล้ว ทว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้เกลียดที่องค์รัชทายาททำตัวธรรมดา เพื่อกระตุ้นขอนไม้ผุท่อนนี้ จึงได้ให้ลูกชายทั้งหลายแยกกันฝึกฝนตนเองกับเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจการแต่ละแขนง
“ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องได้ส่งคนมาบอกแล้วว่าออกไปข้างนอกแล้ว”
เจียงซื่อมอบหมายงานให้อาเฉี่ยวออกไป “เจ้าไปบอกทางนั้นว่าหากท่านอ๋องกลับมา ให้เชิญเขามาหาข้าด้วย”
อาเฉี่ยวรับคำสั่งแล้วปลีกตัวออกไป
เจียงซื่อนั่งลงบนเตียง คว้าหมอนมากอดไว้ด้านหน้าพลางครุ่นคิดเรื่องในใจ
เรื่องราวมากมายซับซ้อนมากเสียยิ่งกว่าที่นางคิดไว้ซะอีก และเป็นอะไรที่ในชาติภพที่แล้วนางสัมผัสไม่ถึงด้วย
มีเสียงดังขึ้นมาจากทางหน้าต่าง
เจียงซื่อเงยหน้ามอง ก็เห็นว่าตรงบานหน้าต่างที่เปิดกว้างมีศีรษะปุกปุยโผล่ออกมา
เอ้อร์หนิวใช้อุ้งเท้าตะกุยที่ริมขอบหน้าต่าง เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อมองมา จึงส่ายอุ้งเท้าข้างหนึ่งไปมา
เจียงซื่อหัวเราะออกมาแล้วเดินออกไปนอกห้องอ้อมไปด้านนอกหน้าต่าง พร้อมกับโบกมือให้กับเอ้อร์หนิว
เอ้อร์หนิววิ่งปรี่เข้ามา นั่งลงตรงหน้าเจียงซื่ออย่างว่านอนสอนง่าย
“ทำไมถึงวิ่งมาหาตอนเวลากินข้าวล่ะ”
เอ้อร์หนิวส่ายหางไปมา ส่งเสียงฟึดฟัดอยู่ในลำคอ ดูรำคาญใจเล็กน้อย
“หรือว่าเนื้อติดกระดูกไม่พอกิน”
โฮ่ง… เอ้อร์หนิวเห่าออกมา พร้อมกับส่ายหางตีกับพื้น
เจียงซื่อเข้าใจได้เลย ไม่ใช่เพราะเนื้อติดกระดูกไม่พอกิน
ตั้งแต่มีนายหญิง เอ้อร์หนิวก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเพราะได้กินเนื้อติดกระดูกอยู่เรื่อยๆ
“หรือว่ารสชาติเนื้อติดกระดูกของวันนี้ไม่ถูกปากหรือ” เจียงซื่อเดา
เอ้อร์หนิวส่ายหางกระทบลงบนพื้นอีกครั้ง
เจียงซื่อกระพริบตาปริบๆ เดาไม่ออก
เสียงดังโพล่งออกมา “เจ้านี่อยากกินเนื้อขาท่อนบนปรุงรสน่ะ”
เอ้อร์หนิวรีบพยักหน้าลง ยากที่จะเห็นมันร้องเรียกประจบสอพลออวี้จิ่น
อวี้จิ่นเห็นก็รู้สึกโกรธ
เมื่อก่อนเจ้าสุนัขตัวนี้ยังมีประโยชน์เล็กน้อย ช่วยเขาส่งสาส์นให้อาซื่ออะไรทำนองนั้น ทว่าตอนนี้รู้จักเอาแต่ออดอ้อนแย่งความรัก
เอ้อร์หนิวจับได้อย่างรวดเร็วว่าอารมณ์ของเจ้านายเปลี่ยนไป ใบหน้าของเจ้าสุนัขเคร่มขรึมขึ้นมา จู่ๆ ก็วิ่งเข้าไปในที่ของมัน
เจียงซื่อกับอวี้จิ่นมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
ไม่นานเอ้อร์หนิวก็วิ่งออกมา พร้อมกับคาบดอกเก๊กฮวยดอกหนึ่งมายัดใส่มือเจียงซื่อ
อวี้จิ่นสีหน้าแย่ลงโดยพลัน
ไม่นึกเลยว่าเจ้านี่จะรู้จักมอบดอกไม้ให้อาซื่อ!
เจียงซื่อถือดอกเก๊กฮวยสีม่วงที่เอ้อร์หนิวให้ไว้ พลางยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “อาหมาน เจ้าไปถามที่ครัวดูหน่อยว่ามีเนื้อขาท่อนบนปรุงรสอยู่หรือไม่ ถ้ามีก็เอาให้เอ้อร์หนิว”
อาหมานขานรับเสียงใสแล้วเดินออกไป เอ้อร์หนิววิ่งล้มลุกคุกคลานตามไป
สายตาของอวี้จิ่นจ้องมองตามหลังเอ้อร์หนิวไปอย่างอำมหิต พลางลูบคางเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“คิดอะไรอยู่หรือ”
“ข้ากำลังคิดว่าถึงเวลาอันควรที่จะหาภรรยาให้เอ้อร์หนิวแล้วหรือไม่”
หลังจากพูดคุยหยอกเล่นกันจบ ทั้งคู่ก็เดินเข้าไปในห้อง
อวี้จิ่นจ้องมองไปที่เจียงซื่อ พลางเอ่ยขึ้น “อาซื่อ วันนี้เจ้าดูเหมือนไม่มีความสุข…”
เขาบอกแล้วว่าอย่าได้ไปจวนอี๋หนิงโหว ทุกครั้งทีไปอาซื่อล้วนไม่มีความสุข
ได้ยินอวี้จิ่นพูดเช่นนี้ เจียงซื่อก็ตาแดงก่ำ น้ำตารื้นขึ้นมา
ความอัดอั้นเจ็บปวดและน้อยใจที่ข่มไว้ในใจพวกนั้นถาโถมเข้ามา
ผู้คนมักจะแสดงด้านที่เปราะบางขอตัวเองออกมาอย่างง่ายดายต่อหน้าคนที่พวกเขาเอาใจใส่มากที่สุด
“เป็นอะไรไป” อวี้จิ่นดึงเจียงซื่อเข้ามากอดไว้ “ตอนนี้คนของจวนอี๋หนิงโหวยังกล้าทำให้เจ้าน้อยเนื้อต่ำใจอีกรึ”
เจียงซื่อซุกหน้าเข้ากับแผงอกอวี้จิ่น พร้อมกับเช็ดน้ำตาที่เสื้อผ้าของเขา แล้วกัดฟันพูดออกไป “อาจิ่น ท่านแม่ของข้าถูกโหยวซื่อทำร้ายจนตาย”
แผงอกอันแข็งแรงของผู้ชายรัดตึงขึ้นมาครู่หนึ่ง เขาวางมือลงบนผมนาง “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เจียงซื่อดึงอวี้จิ่นลงมานั่ง แล้วเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องราว
“หมายความว่า แม่ยายถูกองค์หญิงใหญ่หรงหยางทำร้ายจนตายงั้นหรือ”
เจียงซื่อพยักหน้า
“เจ้าวางแผนจะทำอย่างไร หรือว่าพวกเราส่งนางไปพบกับลูกสาวของนางดี” อวีจิ่นใช้น้ำเสียงปรึกษาหารือ
เจียงซื่ออมยิ้มออกมา “ข้าก็คิดเช่นนั้น”
ไม่กี่วันต่อมา จวนอี๋หนิงโหวส่งคนมาแจ้งข่าวการตาย ต้าไท่ไท่โหยวซื่อจากไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ
อวี้จิ่นหยิบเทียบเชิญงานศพขึ้นมาดู หัวเราะพลางเอ่ยขึ้น “จวนอี๋หนิงโหวจัดการได้เร็วดีเสียจริง”
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง