บทที่ 341-2 พรสวรรค์ (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 341 พรสวรรค์ (2)

กู้เจียวแกะซองจดหมายออก

“ถึง จิ้งคง…จิ้งคง สบายดีหรือไม่ ข้าพี่หมิงเอง เจ้าจำข้าได้หรือไม่ ไปแคว้นเจาครานั้นได้รับข้อคิดมากมาย ข้ามีความสุขจนไม่อยากกลับ พอกลับไปแล้วก็เอาแต่คิดถึงเจ้ากับน้องอวี้ พวกเจ้าสองคนสบายดีหรือไม่”

เด็กน้อยเขียนจดหมายกลับไม่ได้เป็นภาษาพูดทั้งหมด แต่ความหมายโดยรวมกู้เจียวอ่านเข้าใจอยู่

หมิงเอ๋อร์กับอวี้ชินอ๋องและชายากลับไปถึงแคว้นเหลียงเมื่อสามวันที่แล้ว จากนั้นหมิงเอ๋อร์ก็เริ่มทำตามสัญญาโดยการเขียนจดหมายให้เสี่ยวจิ้งคง

หมิงเอ๋อร์ใช้นกเหยี่ยวของจวนอวี้ชินอ๋องส่งจดหมายไปยังหอส่งสารของราชวงศ์แคว้นเจา นี่ก็เป็นสาเหตุที่เพราะเหตุใดเสี่ยวจิ้งคงจึงได้รับจดหมายของหมิงเอ๋อร์เร็วเช่นนี้

แคว้นเหลียงร้อนมาก หมิงเอ๋อร์บอกในจดหมายว่าเขาร้อนจนจะกลายเป็นซาลาเปาแล้ว เพราะเขาใกล้จะสิบขวบแล้ว ไม่ใช่เด็กอีกต่อไป ควรเรียนธรรมเนียมปฏิบัติที่จวิ้นอ๋องพึงมีแล้ว ดังนั้นต่อไปนี้เขาจะยุ่งมาก

ในระหว่างที่รายงานผลการปฏิบัติงานกับกษัตริย์แคว้นเหลียงได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น กษัตริย์แคว้นเหลียงไม่พอใจอวี้ชินอ๋องที่ตัดสินใจมอบวิทยาการทำสีเคลือบให้กับแคว้นเจาโดยพลการ จนเกือบลงโทษอวี้ชินอ๋อง

เรียกได้ว่ากู้เจียวมองออกแต่แรกที่อวี้ชินอ๋องทำเพื่อหมิงเอ๋อร์มากเพียงนี้จากเรื่องนี้

แต่ในจดหมายบอกอีกว่าสุดท้ายกษัตริย์แคว้นเหลียงไม่ได้ลงโทษอวี้ชินอ๋อง เพียงเพราะหมิงเอ๋อร์ถวายบทเพลงต้นฉบับที่สูญหายไปนานแล้วอย่าง ‘เงาตน’ ของใต้เท้าเย่ว์อิ่ง

ใต้เท้าเย่ว์อิ่งเป็นนักสังคีตอันดับหนึ่งในหกแคว้น เขาไม่เพียงแต่จะสร้างฉินฝูซีเลียนแบบฉินเย่ว์อิ่งได้ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว ยังประพันธ์บทเพลงขั้นเทพที่เหมาะสำหรับฉินฝูซีและขลุ่ยหยกเล่นประสานกันอย่างเพลง ‘อินทรีย์ผงะ’ และ ‘เงาตน’ ด้วย

เพลงอินทรีย์ผงะเป็นบทเพลงครึ่งท่อนแรก โน้ตอยู่ที่วังหลวงแคว้นเหลียง แต่บทเพลง ‘เงาตน’ กลับหายสาปสูญไป

ใต้เท้าเย่ว์อิ่งเองก็หายตัวไปจากแคว้นเหลียงเมื่อห้าปีก่อน

กษัตริย์แคว้นเหลียงชื่นชอบดนตรีมาก และเชี่ยวชาญด้านดนตรี พระองค์มองปราดเดียวก็จำได้ว่าเป็นต้นฉบับของใต้เท้าเย่ว์อิ่ง จึงดีใจจนพูดอะไรไม่ออก

เพราะต้นฉบับบทประพันธ์ ‘เงาตน’ ที่ได้หายสาบสูญไปแล้วได้กลับคืนมา กษัตริย์แคว้นเหลียงจึงอภัยโทษให้แก่อวี้ชินอ๋อง

หมิงเอ๋อร์บอกในจดหมายว่าเขาคิดไม่ถึงว่าเสี่ยวจิ้งคงจะมอบของล้ำค่าเพียงนี้ให้แก่เขา

เอาเถอะ ความจริงแล้วหมิงเอ๋อร์เป็นคนเลือกมาลวกๆ เองแท้ๆ

เสี่ยวจิ้งคงมอบของขวัญการฝึกให้หมิงเอ๋อร์คือเครื่องเรือนที่ทำด้วยทองคำอันหนึ่ง หมิงเอ๋อร์รู้สึกว่ามันสูงค่าเกินไป ตัวเองจึงเลือกกระดาษเก่าๆ ที่ตัวเองคิดว่าไม่สูงค่าใดๆ มาใบหนึ่ง

ไม่รู้ว่าเรียกได้หรือไม่ว่าเด็กไม่ละโมบบางครั้งกลับได้ลูกกวาดกินมากกว่าเดิม

ในจดหมายหมิงเอ๋อร์แสดงความขอบคุณออกมาอย่างเปี่ยมล้น และบอกเสี่ยวจิ้งคงว่าเขาก็เตรียมของขวัญไว้ให้เช่นกัน กำลังอยู่ระหว่างจัดส่ง

อีกทั้งหมิงเอ๋อร์ยังถามเสี่ยวจิ้งคงอีกว่าได้ต้นฉบับบทประพันธ์นั้นมาได้อย่างไร เสี่ยวจิ้งคงรู้จักกับใต้เท้าเย่ว์อิ่งหรือไม่

เสี่ยวจิ้งคงแบมือ “ข้าไม่รู้จักหรอก ของพวกนั้นเป็นของที่อาจารย์ไม่เอาแล้ว!”

กู้เจียวมุมปากกระตุก ขะ…ของที่ไม่เอาอย่างนั้นรึ

ภิกษุหนวดขาวคนหนึ่งโง่ถึงเพียงนี้เลยหรือไร

โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองแห่งหนึ่ง ณ แคว้นแห่งหนึ่ง ภิกษุหนุ่มรูปงามมีไฝรองน้ำตาใต้ตาขวาที่กำลังดื่มสุรากินเนื้ออยู่จามออกมาอย่างไร้อารมณ์ “ฮัดชิ่ว!”

พระจันทร์เสี้ยวดุจตะขอ

ณ ห้องทรงอักษรเล็กๆ ในตำหนักบูรพา ไท่จื่อเฟยกำลังนั่งคุกเข่าตั้งอกตั้งใจเล่นหมากรุก

นางเล่นกับตัวเอง

นางกำนัลที่คอยรับใช้ด้านข้างพัดให้นางเบาๆ

“อืม เล่นเสร็จแล้ว” นางลงหมากตัวสุดท้าย ก่อนพรูลมหายใจออกมายาวเหยียดก่อนรับสั่ง “ไม่ต้องพัดแล้ว”

เมื่อฝนฟ้าคะนองผ่านพ้นไปอากาศก็ไม่ได้ร้อนอบอ้าวขนาดนั้นแล้ว

“เพคะ” นางกำนัลเก็บพัดไป

นางกำนัลเดินมาถาม “ไท่จื่อเฟย จะเล่นอีกหรือไม่ พักเสียหน่อยดีกว่า ลุกขึ้นเดินไปเดินมาสักหน่อย ท่านเล่นมานานแล้วนะเพคะ”

“อืม ก็ดีเหมือนกัน” ไท่จื่อเฟยก็รู้สึกว่าร่างกายตัวเองเหน็บชาไม่น้อย นางยื่นมือออกไป

นางกำนัลรีบเดินไปพยุงนาง แล้วเอ่ยกับนางกำนัลที่อยู่ด้านข้าง “ไปเอาขนมมาหน่อย แล้วชงชาดอกไม้มากาหนึ่ง”

“เจ้าค่ะ!” นางกำนัลรับคำสั่งแล้วออกไป

ไท่จื่อเฟยเดินไปที่เตียง ลมราตรีเย็นเอื่อยพัดโชยมา เจือกลิ่นหอมอบอวลทั่วเรือน ให้ความรู้สึกจิตใจชื่นมื่น

ไท่จื่อเฟยยืนอยู่ข้างเตียง มองดอกไม้ที่หุบไปแล้วในสวนอย่างเหม่อลอย นางกำนัลน้อยยกชาและขนมมาให้ก็ไม่รับไว้

นางกำนัลน้อยมองนางกำนัลอีกคนอย่างลำบากใจ

นางกำนัลรับถาดมาจากในมือนาง ก่อนเอ่ยเสียงเบา “ข้าทำเอง เจ้าออกไปเถอะ”

“เพคะ”

นางกำนัลน้อยออกไปตามที่บอก

นางกำนัลยกถาดมาวางบนโต๊ะข้างกาย แล้วเทชาดอกไม้จอกหนึ่งส่งให้ไท่จื่อเฟย “ไท่จื่อเฟย ดื่มชาเพคะ” ไท่จื่อเฟยถอนหายใจ แล้วรับถ้วยชามาดื่มนิ่งๆ

นางกำนัลถาม “ไทจื่อเฟยมีเรื่องในใจหรือ”

ไท่จื่อเฟยมองน้ำชาในถ้วย “ไม่รู้ว่าจดหมายที่ฝ่าบาทเขียนส่งไปยังทั้งห้าแคว้น พวกเขาจะได้รับหรือยัง”

นางกำนัลเอ่ย “ไท่จื่อเฟยหมายถึงเรื่องที่ฝ่าบาทบอกกล่าวที่ท่านแก้สถานการณ์หมากได้น่ะหรือ แคว้นเฉินอยู่ใกล้พวกเราที่สุด น่าจะได้รับข่าวแล้ว รองลงมาก็คือแคว้นจิ้นกับแคว้นเหลียง”

“แล้วแคว้นเยี่ยนล่ะ” ไท่จื่อเฟยถาม

นางกำนัลครุ่นคิด “แคว้นเยี่ยน…เส้นทางไม่ได้ไกลที่สุดก็จริง แต่ด่านมีมากนัก มีหลายแห่งที่ไม่ให้พวกเราผ่าน”

แคว้นเยี่ยนเป็นมหาอำนาจในหกแคว้น ครองตำแหน่งหัวมังกรอย่างมั่นคง หากบอกว่าไม่ให้ใครผ่านในที่แห่งใด ก็จะไม่ให้คนนั้นผ่านเลย

นางกำนัลเอ่ยต่อ “แต่ก็น่าจะใกล้แล้วแหละเพคะ”

ไท่จื่อเฟยดวงตาขยับไหวเล็กน้อย “ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำให้ปรมาจารย์เมิ่งสนใจได้หรือไม่”

นางกำนัลยิ้มเอ่ย “ต้องได้แน่นอน! ไท่จื่อเฟยเป็นคนแรกในหกแคว้นที่ทำลายสถานการณ์หมากเชียวนะเพคะ ปรมาจารย์เมิ่งจะไม่ตกตะลึงต่อความสามารถของท่านได้อย่างไร”

ไท่จื่อเฟยพึมพำ “หากว่า…ได้เป็นศิษย์ของปรมาจารย์เมิ่งได้ก็คงดี”

แบบนั้นนางก็จะมีที่พึ่งพิงและคนหนุนหลังจากแคว้นเยี่ยนแล้ว

คนเรานั้นมีเพียงถูกทำร้ายอย่างหนักเท่านั้นจึงจะสามารถจดจำสลักไว้ในจิตได้

จนถึงตอนนี้นางนึกถึงประสบการณ์ไปเป็นทูตในแคว้นเหลียงแล้วยังรู้สึกเหมือนโดนทิ่มแทงใจอยู่เลย!

นางมีการศึกษา พรสวรรค์ก็สูงส่งที่สุด แต่นางไม่มีโอกาสได้เอ่ยปากเลย ไม่มีใครสนใจนาง ไม่มีใครใส่ใจนาง นางที่เปล่งประกายเจิดจ้าดุจไข่มุกราตรีแห่งแคว้นเจา ไปยังแคว้นเหลียงก็เป็นแค่ข้าวเม็ดหนึ่งที่หล่นร่วงลงทะเลกว้าง

พวกเขาไม่สนใจในศักยภาพของนางเลย และไม่สนใจดวงหน้างามล่มเมืองของนางด้วย

พวกเขาชื่นชมแม่นางหน้าตาอัปลักษณ์พวกนั้น ชมพวกนางว่าหน้าตาปานนางฟ้านางสวรรค์ มารยาทดีงามเพียบพร้อม แต่แม้แต่เวทีเล็กๆ พวกนางยังเดินได้ไม่เข้าท่าเท่านางเลย

เพื่อแสดงความสามารถให้เปล่งประกายในแคว้นเหลียง นางเดินหนึ่งพันก้าวต่อวัน สองเท้าฝึกฝนจนชาดิก เมื่อคำนับนางจะเป็นคนผู้นั้นที่ทำได้ยอดเยี่ยมที่สุด

แต่ใครสนล่ะ

นางได้แต่มองคุณหนูแคว้นซั่งเหล่านั้นตอบคำถามที่ง่ายที่สุด ท่องกลอนที่ไร้ความนัยที่สุด ส่วนนางนั่งโดดเดี่ยวอยู่ในมุมเช่นนั้น

สุดท้ายก็ไม่มีใครตอบออกมาได้ นางนึกว่าโอกาสของตัวเองมาถึงแล้ว ใครจะคิดว่ากลับได้ยินองค์หญิงแคว้นเหลียงเอ่ยขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้ก็พอแค่นี้แล้วกัน ยินดีกับคุณหนูมู่หรงด้วย คุณหนูจูเก๋อกลายเป็นสามอันดับแรกในงานเลี้ยงครานี้! ข้าจะประทานรางวัลให้อย่างงาม!”

สามอันดับแรกอย่างนั้นรึ!

น่าขันนัก

ระดับพรรค์ก็กลายเป็นสามอันดับแรกได้ด้วย ตนที่มีศักยภาพอย่างแท้จริงกลับนั่งอยู่บนม้านั่งเย็นเยียบตลอดทั้งคืน

คุณหนูจูเก๋อในสามอันดับนั้นเป็นชาวแคว้นจ้าว แคว้นจ้าวก็เป็นแคว้นเล็กๆ เช่นกัน แต่เพราะนางมีอาจารย์ขงจื้อของแคว้นใหญ่ จึงได้รับการสนับสนุนจากองค์หญิงแคว้นเหลียง

อันที่จริงปรมาจารย์เมิ่งก็เป็นชาวแคว้นเล็กๆ เช่นกัน หลังจากที่เขาได้เป็นปรมาจารย์หมากรุกของทั้งหกแคว้นก็ถูกกษัตริย์แคว้นเยี่ยนเชิญไปที่แคว้นด้วยตัวเอง แล้วมอบฐานันดรขุนนางแห่งแคว้นเยี่ยนให้ และประทานคฤหาสน์ให้หลังหนึ่ง

หากตนสามารถกราบปรมาจารย์เมิ่งเป็นศิษย์ได้ ถ้าอย่างนั้นนางก็จะไม่โดนคนดูถูกอีก นางจะมีโอกาสที่เท่าเทียมกันกับคนอื่น นางจะเอาความสามารถนี้มาสร้างชื่อให้ระบือไปทั้งหกแคว้นเลย!

ทางด้านกู้เจียวหลังจากวางเงินเดิมพันสิบตำลึงแล้ว ขอทานชราก็ตกสู่ความห่อเหี่ยวอย่างหนัก

สาเหตุไม่ใช่อื่นไกล

เขาเป็นขอทานนะ เขาจะเอาเงินมาจากไหนกันล่ะ

สิบตำลึงนี้กว่าเขาจะเก็บหอมรอบริบได้!

แต่หากไม่มี เด็กสาวนางนั้นก็ไม่มีทางเล่นหมากรุกกับเขาหรอก

ขอทานชราทำอะไรไม่ถูก

เมื่อผ่านสมาคมหมากรุกแห่งหนึ่ง เขาได้ยินเสียงผู้คนถอนหายใจกันเดินออกมาจากด้านใน “คิดไม่ถึงเลยนะ ว่านักพรตเขาเม่าซานจะแพ้เช่นนี้ มือหมากรุกคนใหม่ผู้นั้นช่างเก่งกาจยิ่ง หากรู้แต่แรกข้าคงลงเดิมพันฝั่งเขาไปแล้ว!”

ขอทานชราพลันนึกอะไรออก เขาดึงชายคนนั้นไว้ “น้องชาย เจ้าอยากได้เงินกลับคืนมาหรือไม่ล่ะ”