บทที่ 342 ใกล้ชิด (1)
ตกกลางคืน เสี่ยวจิ้งคงเขียนจดหมายรำพึงรำพันถึงท่านพี่หมิงเอ๋อร์ของเขา ก่อนจะเหน็บจดหมายนั่นไว้ที่แผงคอของเจ้าเสี่ยวจิ่ว แล้วอุ้มมันไปหากู้เจียว “เจียวเจียว ดูนี่สิ!”
เสี่ยวจิ้งคงจะใช้เสี่ยวจิ่วส่งจดหมายให้ท่านพี่หมิงเอ๋อร์!
กู้เจียวหัวเราะชอบใจพลางเอามือลูบหัวเจ้าตัวเล็ก “เจ้าเสี่ยวจิ่วไม่เคยไปแคว้นเหลียงสักหน่อย จะรู้ทางได้อย่างไร”
และต่อให้เสี่ยวจิ่วรู้ทาง แล้วเอาจดหมายแขวนไว้ที่คอแบบนี้โอกาสที่มันจะปลิวตกย่อมเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
เด็กหนอเด็ก ช่างตลกอะไรเยี่ยงนี้
ตอนนี้เสี่ยวจิ่วไม่ใช่ลูกเหยี่ยวน้อยอีกต่อไป แต่เติบใหญ่กลายเป็นนกยักษ์เป็นที่เรียบร้อย และแน่นอนว่าเสี่ยวจิ่วไม่มีทางรู้หรอกว่าเจ้านายน้อยตัวจิ๋วนี่ต้องการอะไรจากมัน
“อ๋อ งั้นก็ไม่เป็นไร” เสี่ยวจิ้งคงแสดงท่าทีผิดหวัง พลางนึกว่าถ้าให้เสี่ยวจิ่วไป ใช้เวลาบินแค่สองวันจดหมายก็คงถึงมือท่านพี่หมิงเอ๋อร์แล้ว!
“ส่งไปรษณีย์ด่วนได้หรือไม่”
เพราะเขาอยากให้ท่านพี่หมิงเอ๋อร์ได้อ่านจดหมายของเขาไวๆ น่ะสิ!
กู้เจียวมองหน้าเจ้าตัวเล็ก “จดหมายธรรมดาๆ แบบนี้ไม่เห็นต้องส่งด่วนเลย”
เสี่ยวจิ้งคงเอียงหัว “แต่ว่า แต่ว่าครั้งก่อนข้าเคยใช้บริการแล้วนะ! ข้าวานให้คุณลุงคนหนึ่งช่วยข้าส่งจดหมายแบบด่วนให้! รอบนั้นไงล่ะที่ข้าไปกับพี่เขยน่ะ”
สงสัยว่าเจ้าตัวเล็กนี่คงถูกเซียวลิ่วหลังหลอกเข้าให้แล้วกระมัง
กู้เจียวพอนึกได้ดังนั้นก็ล้มเลิกความคิดที่จะบอกความจริงให้เจ้าตัวเล็กฟัง เพื่อเห็นแก่สามีตนเอง
“ก็เพราะท่านพี่หมิงเอ๋อร์ของเจ้าไม่ได้อยู่ในแคว้นเจา ก็เลยไปไม่ถึงแคว้นเหลียงยังไงล่ะ”
เสี่ยวจิ้งคงยกมือกุมขมับ “โถ่ แบบนี้นี่เอง”
กู้เจียวที่พอเห็นว่าเจ้าตัวเล็กซึมไปก็เริ่มไม่สบายใจ เลยลองหาวิธีพูดกับเขา “อย่างนี้แล้วกัน พรุ่งนี้พวกเราเข้าไปหาท่านย่าที่วังกัน แล้วลองถามดูว่ามีวิธีที่สามารถส่งจดหมายไปที่แคว้นเหลียงได้หรือไม่ จดหมายจากราชสำนักย่อมเดินทางไวกว่าจดหมายพวกเราอยู่แล้ว เผื่อว่าพวกเขาจะช่วยเจ้าได้”
“อื้อ!” เสี่ยวจิ้งคงเมื่อได้ยินดังนั้นก็ทำท่ากระตือรือร้นอีกครั้ง!
วันต่อมา หลังจากที่เจ้าตัวเล็กเลิกเรียน กู้เจียวก็พาเขามาส่งที่วังหลวง
ส่วนกู้เสี่ยวซุ่นและกู้เหยี่ยนไปเรียนงานฝีมือ เลยไม่ได้มาด้วยกัน
เสี่ยวจิ้งคงจำได้ว่าจดหมายของหมิงเอ๋อร์มีรอยคล้ายขี้ผึ้งสีแดงประทับบนจดหมาย ก็เลยขอให้เสี่ยวซุ่นช่วยทำแบบเดียวกันให้บ้าง
กู้เสี่ยวซุ่นทำที่ประทับตราให้เขา โดยละลายเทียนสีแดงแล้วหยดน้ำตาเทียนลงบนจดหมาย จากนั้นรีบใช้ที่ประทับตรากดลงไปก่อนที่น้ำตาเทียนจะแข็งตัวก็เป็นอันเสร็จสิ้น
ไม่เพียงเท่านี้ กู้เสี่ยวซุ่นยังประดิษฐ์กล่องไม้เอาไว้เก็บจดหมายให้เจ้าตัวเล็กได้ใช้อีกด้วย
วันนี้เสี่ยวจิ้งคงหยิบกล่องไม้และพาเจ้าเสี่ยวจิ่วมาด้วย
เสี่ยวจิ้งคงไม่เคยพาเสี่ยวจิ่วเข้าวังมาก่อน เลยตัดสินใจว่าจะพามันออกมาเปิดหูเปิดตาเสียหน่อย อีกทั้งเจียวเจียวยังเคยบอกเขาว่าเสี่ยวจิ่วไม่รู้ทาง ก็เลยกะว่าจะส่งเสี่ยวจิ่วไปที่แคว้นเหลียงเพื่อให้มันรู้ทางด้วย
…โดยที่ไม่ได้มีความคิดว่าเสี่ยวจิ่วอาจจะไปแล้วไปลับก็เป็นได้
เสี่ยวจิ่วเป็นนกอินทรีย์ที่ทรงพลังรวมทั้งมีแผงคนที่เรียงสวยเงางาม
ในตอนแรก คนที่ตำหนักเหรินโซ่วต่างพากันหวาดกลัวเสี่ยวจิ่ว แต่สักพักพอพวกเขารู้ว่าเสี่ยวจิ่วไม่ทำร้ายคน ก็เริ่มเข้าหามากขึ้นและช่วยป้อนอาหารให้
และในบางครั้ง พวกเขาเกิดนึกสงสัยว่าเหตุใดเจ้านกอินทรีย์ตัวนี้ถึงได้มีลักษณะละม้ายคล้ายคลึงกับไก่ยิ่งนัก
ตามหลักแล้ว นกต้องบินมิใช่หรือ ไฉนเจ้าตัวนี้ถึงได้เดินอย่างเดียวเล่า
ช่วงนี้ที่วังหลวงมีธุระต้องส่งจดหมายถึงแคว้นเหลียงจริงๆ จวงไทเฮาจึงวานให้คนในวังช่วยแนบจดหมายของเสี่ยวจิ้งคงไปด้วย โดยระบุว่าถึงจวนอวี้ชินอ๋อง
เสี่ยวจิ่วพอเล่นในวังได้สักพัก จู่ๆ ก็กระพือปีกบินออกไปเสียอย่างนั้น
เสี่ยวจิ้งคงจึงรีบวิ่งตามไป โดยฉินกงกงได้รีบวานให้มือดีสองคนช่วยตามด้วยอีกแรง
เสี่ยวจิ้งคงวิ่งไปจนถึงสวนดอกไม้หลวง ก็เห็นว่าเจ้าเสี่ยวจิ่วบินไปเกาะที่ไหล่ของร่างอ้วนๆ ของใครบางคน
และร่างอ้วนนั้นมิใช่ใครอื่น แต่คือฉินฉู่อวี้นั่นเอง
ฉินฉู่อวี้ไม่ได้ไปเข้าเรียนหลายวันแล้วเพราะเขาไม่สบาย เลยต้องพักฟื้นร่างกายที่ตำหนักคุนหนิงไประยะหนึ่ง
เขาต้องไปโรงหมอบ่อยๆ และในหลายๆ ครั้ง เวลาเสี่ยวจิ้งคงไปโรงหมอกับฉินฉู่อวี้ก็มักจะพาเจ้าเสี่ยวจิ่วไปด้วย แม้ความประทับใจแรกของพวกเขาจะไม่ค่อยดีนัก แต่ไปๆ มาๆ ทั้งสองก็เริ่มเข้ากันได้ดี
“ที่แท้เสี่ยวจิ่วก็บินมาหาท่านพี่ฉู่อวี้นี่เอง!” เสี่ยวจิ้งคงวิ่งตามหลังพลางตะโกนเรียกฉินฉู้อวี้
ปฏิกิริยาของฉินฉู่อวี้ที่มีต่อเสี่ยวจิ้งคงไม่ร่าเริงเหมือนเดิมอีกต่อไป เขาทำท่าลังเลก่อนจะตัดสินใจหันหลังให้เสี่ยวจิ้งคง
เสี่ยวจิ้งคงเดินเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจ “ท่านพี่ฉู่อวี้ เป็นอะไรไปหรือ”
ฉินฉู่อวี้กุมขมับพยายามบังคับตัวเองไม่ให้หันกลับไป
เขารู้ตัวตนขอองเสี่ยวจิ้งคงแล้ว แม้เสี่ยวจิ้งคงจะไม่ใช่คนของตระกูลจวง กระนั้นก็ยังเรียกจวงไทเฮาว่าท่านย่า ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีกับตำหนักเหรินโซ่ว
แม้เขาจะมีอายุแค่เจ็ดขวบ แต่เขาก็รู้ว่าจวงไทเฮากับเสด็จพ่อและเสด็จแม่นั้นไม่ถูกกัน
ตัวเขาเองและตำหนักเหรินโซ่วไม่ได้มีสัมพันธไมตรีอะไร
ทั้งเสี่ยวจิ้งคงและครอบครัวต่างสำคัญกับเขาทั้งคู่
แต่แน่นอนว่าเขาต้องเลือกครอบครัวก่อน เขามิอาจเลือกเสี่ยวจิ้งคงแล้วทิ้งครอบครัวไว้ข้างหลัง ดังนั้นเขาจึงรู้สึกผิดต่อเสี่ยวจิ้งคงมาก
แต่มันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน!
เห็นๆ กันอยู่ว่าพวกเขาออกจะรักกันฉันท์พี่น้องขนาดนั้น!
ทั้งเคยมีเรื่องด้วยกัน โดดเรียนด้วยกัน เคยพาไก่ไปเดินเล่นด้วยกัน!
“ท่านพี่ฉู่อวี้!” เสี่ยวจิ้งคงเดินอ้อมมาที่ด้านหน้า “อ้าว ร้องไห้รึ”
“ข้าเปล่าร้องนะ!” ฉินฉู่อวี้ตะโกนตอบตอบพลางปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มออก!
เสี่ยวจิ้งคงไม่เข้าใจว่าอารมณ์เศร้าของฉินฉู่อวี้นั้นมาจากไหน เขาพยายามครุ่นคิดหาคำตอบอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวลปนจริงจัง “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไม่สบาย ที่ร้องไห้นี่เพราะว่ายังไม่หายดีใช่ไหม เจียวเจียวเป็นหมอที่เก่งมากเลยนะ และตอนนี้นางก็อยู่ที่วังนี้ด้วย เดี๋ยวข้าพาเจ้าไปหานางเอง!”
ฉินฉู่อวี้บ่นอุบอิบในใจ
ข้าไม่ได้เศร้าเพราะเรื่องนี้สักหน่อย!
“ท่านพี่ฉู่อวี้” เสี่ยวจิ้งคงเอียงหัวแล้วมองคนตรงหน้า
เฮ้อ เจ้าเด็กน้อย ช่างไม่รู้อะไรบ้างเสียเลย ฉินฉู่อวี้มองเจ้าตัวเล็กด้วยความละเหี่ยใจ ก่อนจะลดเสียงตัวเองลง “ไม่ใช่…ไม่ใช่… คือ…ข้าไปที่ตำหนักเหรินโซ่วไม่ได้…”
รวมถึง ข้ามาเจอเจ้าแบบนี้ไม่ได้ด้วย
พวกเราสองพี่น้องทำไมถึงได้บุญมีแต่กรรมบังเช่นนี้นะ!
เรื่องราวของพวกเรา…ข้าจะจดจำมันไว้ไปตลอดชีวิตของข้าเลยล่ะ!
เสี่ยวจิ้งคงเดินเข้าไปตบบ่าของเขาพลางเอ่ย “เอาน่า ไม่ต้องกังวลไป เจียวเจียวน่ะเป็นหมอที่เก่งมากเลยนะ นางต้องรักษาเจ้าให้หายดีได้อย่างแน่นอน”
เจ้าตัวเล็กเอ่ยพลางกุมมืออ้วนกลมของฉินฉู่อวี้
เดิมทีฉินฉู่อวี้อยากจะสะบัดมือทิ้ง แต่ท้ายที่สุดก็ถูกเสี่ยวจิ้งคงลากไปที่ตำหนักเหรินโซ่วด้วยความมึนงง
ฉินฉู่อวี้รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองไม่ควรมาเหยียบตำหนักเหรินโซ่ว เขาไม่เคยคิดอยากจะมาที่นี่ นอกเสียจากมีโอกาสพิเศษที่จำเป็นต้องมา
พอมาถึงหน้าตำหนัก ฉินฉู่อวี้ทำท่าเตรียมจะเดินหนีออกไป แต่ก็บังเอิญหันไปเห็นกู้เจียวที่กำลังนั่งอยู่บนชิงช้ายักษ์ ส่วนกู้เจียวพอเห็นเด็กสองคนมาทางนี้ก็รีบโบกมือทักทาย “อ้าว ฉู่อวี้ มาแล้วหรือ มาเล่นด้วยกันกับจิ้งคงสิ”
“ข้าไม่…”
ฉินฉู่อวี้ที่กำลังจะออกปากปฏิเสธกลับชะงักเมื่อได้เห็นชิงช้ายักษ์ที่สูงชะลูดยิ่งกว่าต้นไม้
เด็กๆ มักชอบเล่นสนุกมิใช่หรือ
ไหนจะกู้เจียวที่อยู่ตรงนี้ด้วย ยิ่งทำให้เขาสับสนว่าตัวเองกำลังอยู่ในสวนหย่อมในโรงหมอ
ที่จริงแล้วนี่คือสวนที่ถูกออกแบบใหม่ที่พยายามทำให้ดูคล้ายกับตรอกปี้สุ่ยและโรงหมอของกู้เจียว
ฉินฉู่อวี้เดินเข้าไปที่สวนในทันที
นอกจากชิงช้ายักษ์แล้ว ยังมีม้าหกและกระดานลื่นที่กู้เจียวเป็นผู้ออกแบบ
ฉินฉู่อวี้ถึงกับตาลุกวาว
“เจียวเจียว ท่านพี่ฉู่อวี้ไม่สบาย ช่วยดูอาการให้เขาหน่อยได้ไหม” เสี่ยวจิ้งคงทำหน้าอ้อนให้กู้เจียว
“อืม” กู้เจียวกวักมือเรียกฉินฉู่อวี้ “มานี่สิ”
ฉินฉู่อวี้เดินเหม่ออเข้าไปใกล้ๆ
กู้เจียวใช้หลังมืออังที่หน้าผากของเขา ก่อนจะวัดชีพจรให้ “ไม่เป็นอะไรแล้วนี่นา ปกติดีทุกอย่าง”
เสี่ยวจิ้งคงทำท่าดีใจ “ได้ยินแล้วใช่ไหม เจียวเจียวบอกว่าไม่เป็นอะไร! วางใจได้แล้วน่า! ต่อไปก็ไม่ต้องร้องไห้ตาบวมแล้วนะ!”
“ออกไปเล่นเถอะ” กู้เจียวยิ้มให้หนึ่งที
การเล่นสนุกคือธรรมชาติของเด็ก ไม่ว่าเขากับจวงไทเฮาจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างไร แต่ในเวลานี้ ในช่วงที่มีกู้เจียวแล้วเสี่ยวจิ้งคงอยู่ข้างๆ เขาก็คือเด็กอ้วนคนหนึ่งที่ชอบเล่นสนุก!
ทั้งสองเล่นด้วยกันจนเหงื่อท่วมไปทั้งตัว
ฉินฉู่อวี้ในตอนแรกที่ดูเงียบๆ พอลองได้เล่นเยอะๆ เข้าก็เริ่มติดใจและส่งเสียงหัวเราะดังจนแม้แต่เสี่ยวจิ้งคงยังสู้ไม่ได้
จวงไทเฮาที่อยู่ในห้องหนังสือถึงกับหน้าดำคร่ำเครียด
เจ้าเด็กอ้วน หนวกหูจริงๆ !
ฉินฉู่อวี้เล่นเพลินจนลืมเวลา อาหารเย็นมื้อนี้จึงลงเอยที่ตำหนักเหรินโซ่ว
พอถึงเวลากู้เจียวเรียกพวกเขาไปทานข้าว ฉินฉู่อวี้ตอบตกลงอย่างลืมตัว