ตอนที่ 458 เหรินเป่าจูผู้น่าเป็นห่วง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 458 เหรินเป่าจูผู้น่าเป็นห่วง

เมื่อหลินม่ายมาถึงโรงงานตัดเสื้อ เธอก็พบว่าเหรินเป่าจูไม่ได้อยู่ที่นั่น

เธอจึงถามโฮ่วซินอี้ว่าเหรินเป่าจูได้โทรกลับมาที่โรงงานบ้างไหม แต่โฮ่วซินอี้กลับส่ายหน้า “ไม่เลยครับ”

หลินม่ายไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหล่อนหรือไม่ จึงรู้สึกกังวลเล็กน้อย

เธอกลัวว่าเหรินเป่าจูที่เป็นคนไฟแรงอาจระงับอารมณ์เอาไว้ไม่ได้ แล้วไปคาดคั้นเอากับเถ้าแก่เกา

ในยุคนี้ คนที่สามารถประกอบกิจการและอยู่รอดได้บนถนนฮั่นเจิ้งล้วนไม่ใช่คนธรรมดา ทุกคนต่างก็มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งกันทั้งนั้น

คนอย่างเถ้าแก่เกาจะจัดการกับเหรินเป่าจูเมื่อไหร่ก็ได้

ต่อให้ท้ายที่สุดแล้วเธอจะพยายามใช้เส้นสายทั้งหมดที่มีเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับเหรินเป่าจู แต่ผู้หญิงไม่ได้มีภาษีดีไปกว่าผู้ชาย ดีไม่ดีอาจเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ต่อให้มีเงินก็ช่วยอะไรไม่ได้

พอคิดมาถึงตรงนี้ หลินม่ายก็ยิ่งกังวลหนักขึ้น

เธอรีบบอกเถาจืออวิ๋น ว่าถ้าเหรินเป่าจูกลับมาแล้ว ช่วยสั่งให้หล่อนอยู่แต่ในโรงงาน ห้ามออกไปไหนอีก

หลังจากนั้นก็ขี่จักรยานตรงไปที่ร้านของเถ้าแก่เกาอย่างไม่รอช้า

เมื่อมองจากระยะไกล เธอเห็นเหรินเป่าจูกำลังนั่งอยู่หน้าแผงขายซุปถั่วเขียวเย็น ระหว่างที่จิบซุปถั่วเขียว ก็จ้องมองไปทางร้านของเถ้าแก่เกาไปด้วย

ในที่สุดหัวใจของหลินม่ายที่จุกตื้นขึ้นมาถึงลำคอก็ร่วงกลับลงไปในช่องท้องเหมือนเดิม

เธอขี่จักรยานลัดเลาะผ่านฝูงชนอย่างระมัดระวัง ก่อนจะลงจากจักรยานเมื่อมาถึงตรงหน้าเหรินเป่าจู

เหรินเป่าจูหันหลังให้ เมื่อได้ยินเสียงเรียก พอหันกลับมาแล้วเห็นว่าเป็นหลินม่าย ก็ทำตาโตด้วยความประหลาดใจ “คุณมาที่นี่ทำไมคะ?”

พอเห็นว่าหลินม่ายเหงื่อออกเยอะ จึงหันไปพูดกับเจ้าของแผงว่า “คุณป้าคะ ขอซุปถั่วเขียวอีกชามค่ะ ขอแบบเย็นนะ”

คุณป้ายิ้มรับ ไม่ลืมถามว่ารับเฉาก๊วยด้วยไหม

หลินม่ายพยักหน้า “เอาค่ะ”

พอเห็นว่าซุปถั่วเขียวที่คุณป้าคนนี้ต้มมีสีออกแดง เธอก็ประหลาดใจมาก

ซุปถั่วเขียวควรมีสีเขียวเข้มสิถึงจะถูก ทำไมถึงมีสีแดงเข้มแบบนี้กัน?

หรือจะเป็นวิธีการต้มแบบโบราณ?

เธอถามว่า “คุณป้า ทำไมซุปถั่วเขียวของคุณถึงได้เป็นสีแดงแบบนี้ล่ะคะ?”

คุณป้าทำหน้างง “ฉันต้มถั่วเขียวกับน้ำตาลทรายแดง มันก็เลยออกมาเป็นสีแดงอย่างที่เห็นไงล่ะ”

หลินม่ายฟังคำอธิบายจากอีกฝ่าย จับสังเกตว่าสำเนียงไม่ค่อยเป็นแบบแผน แต่กลับพูดภาษาจีนกลางด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนเป็นพิเศษ จึงพอจะคาดเดาได้ทันทีว่าป้าคนนี้มาจากที่ไหน

เธอรับชามซุปถั่วเขียวที่คุณป้ายื่นให้ แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “คุณป้ามาจากกว่างสีใช่ไหมคะ?”

คุณป้าถามด้วยความแปลกใจ “คุณรู้ได้ยังไง? หรือว่าสำเนียงของฉันชัดเกินไป?”

หลินม่ายส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะสำเนียงหรอกค่ะ แต่เพราะคุณต้มซุปถั่วเขียวกับน้ำตาลทรายแดง ดังนั้นฉันเลยเดาว่าคุณน่าจะมาจากกว่างสี”

ชาติที่แล้ว เธอรู้จักกับคนกว่างสีที่ชอบต้มซุปถั่วเขียวใส่น้ำตาลทรายแดง ราวกับว่าพวกเขาใส่น้ำตาลทรายแดงลงในซุปถั่วเขียวเป็นเรื่องปกติ

กลับกัน ชาวเจียงเฉิงกลับนิยมต้มซุปถั่วเขียวกับน้ำตาลทรายขาว เพราะน้ำตาลทรายขาวให้ฤทธิ์เย็นตามธรรมชาติเช่นเดียวกันกับถั่วเขียว เมื่อต้มสองอย่างรวมกันจึงบรรเทาความร้อนได้ดียิ่งขึ้น

น้ำตาลทรายแดงมีฤทธิ์ร้อน ในขณะที่ถั่วเขียวมีฤทธิ์เย็น ในทางการแพทย์แผนจีนแล้วอาจจะเข้ากันได้ แต่สรรพคุณในการบรรเทาความร้อนไม่ดีเท่าการต้มกับน้ำตาลทรายขาว

หลินม่ายยิ้ม แนะนำให้คุณป้าต้มถั่วเขียวกับน้ำตาลทรายขาว เพราะเป็นที่นิยมมากกว่า

แต่คุณป้ากลับปฏิเสธ โดยอธิบายว่าน้ำตาลทรายแดงจากกวางสีเป็นน้ำตาลทรายแดงที่มีคุณภาพสูงที่สุดในประเทศ ช่วยบำรุงเลือดและพลังชี่ แถมยังมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย

ซึ่งนั่นก็เป็นความจริงอีกเช่นกัน

ถึงหลินม่ายไม่ค่อยชอบกินน้ำตาลทรายแดงเท่าใด แต่เมื่อได้จิบซุปถั่วเขียวเย็นตรงหน้า บวกกับความหวานจากน้ำตาลทรายแดงที่ไม่หวานแหลมจนเกินไป พบว่ารสชาติค่อนข้างอร่อยทีเดียว

หลินม่ายเดินไปนั่งลงข้าง ๆ กับเหรินเป่าจู พูดกับเธอว่า “เราตกลงกันว่าจะไปเจอกันที่โรงงานตอนบ่ายสอง แต่คุณไม่ได้กลับไป ฉันเริ่มกังวล เลยมาดูสักหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณหรือเปล่า?”

เหรินเป่าจูมองด้วยสายตาว่างเปล่า “กลางวันแสก ๆ แบบนี้ คุณยังกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉันอีกเหรอ!”

“ที่นี่คือถนนฮั่นเจิ้ง มีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกัน ฉันเลยกังวลว่าอาจเกิดอะไรขึ้นกับคุณไงล่ะ!”

หลินม่ายเตือนว่า “อยู่ข้างนอกอย่าได้หุนหันพลันแล่นเชียว เจอเรื่องใหญ่ก็อย่าจัดการตามลำพัง ไว้กลับไปที่โรงงานแล้วเราค่อยหาทางออกร่วมกันก็ได้”

เหรินเป่าจูคืนชามซุปถั่วเขียวให้กับคุณป้าเจ้าของแผง “คุณอายุน้อยกว่าฉัน ยังไม่ทึกทักเอาอารมณ์เป็นใหญ่เลย ฉันแต่งงานแล้ว แถมยังมีลูกด้วย คิดว่าฉันอยู่ในจุดที่ควรจะหุนหันพลันแล่นหรือเปล่าล่ะ? ไม่เห็นต้องกังวลเลย”

หลินม่ายแอบคิดในใจ ฉันไม่ได้อายุน้อยกว่าคุณซะหน่อย ฉันเป็นป้าแก่ ๆ ที่มาอยู่ในร่างเด็กต่างหาก

เธอถาม “งั้นคุณมานั่งดูอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ?”

เหรินเป่าจูพยักพเยิดคางไปทางร้านของเถ้าแก่เกา “ฉันกำลังจับตามองธุรกิจขายส่งเสื้อผ้าแบรนด์ซีม่านอยู่”

หลินม่ายมองไปยังร้านของเถ้าแก่เกาด้วย “ธุรกิจเป็นยังไงบ้าง?”

เหรินเป่าจูพยักหน้า “ไม่เลวเลย จุดพีคสูงสุดของวันผ่านไปแล้วก็จริง แต่ฉันนั่งอยู่ตรงนี้มาเกินครึ่งชั่วโมงแล้ว ยังมีคนมารับสินค้าที่ร้านสักห้าคนได้ แต่ละคนกลับออกไปพร้อมกับกระสอบบรรจุสินค้าใบใหญ่”

ขณะที่เหรินเป่าจูพูด หล่อนก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง “ซีม่านก๊อปปี้สไตล์เสื้อผ้าของเรา แต่ล่าสุดยังขายดิบขายดี พวกเขาอยู่ได้เพราะปล้นอาหารของเราไปชัด ๆ คุณหลิน คุณต้องคิดหาวิธีจัดการกับคนพวกนี้ให้ได้นะ!”

หลินม่ายครุ่นคิดก่อนจะพูดว่า “งั้นคุณต้องหาหน้าร้านเพิ่มแล้วเปิดชนกับร้านซีม่านไปเลย ไม่งั้นคงไม่มีวันล้มคู่แข่งลงได้”

เหรินเป่าจู “เรายังมีหน้าร้านเล็ก ๆ บนถนนสายอื่นที่ตั้งใจซื้อไว้เปิดร้านขายส่งเครื่องประดับไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนมาเปิดร้านขายส่งเสื้อผ้า Unique ไปเลยสิคะ ก่อนหน้านี้คุณเคยบอกว่าทำเลอาจไม่ดีมาก แต่ก็พอจะเปิดร้านขายส่งเสื้อผ้าได้”

หลินม่ายพยักหน้า “ฉันเคยพูดแบบนั้นก็จริง แต่หน้าร้านที่ว่าไม่ได้ตั้งอยู่บนถนนเส้นเดียวกันกับเถ้าแก่เกา ต่อให้เปิดจริงก็แทบไม่ส่งผลอะไรต่อร้านซีม่านเลย ทั้งสองร้านต้องตั้งอยู่บนถนนเส้นเดียวกันเท่านั้น การซื้อขายแบบ door-to-door จะเห็นผลชัดกว่า วิธีนี้แย่งลูกค้าจากอีกร้านมาที่เราได้สะดวกกว่า เหยียบย่ำธุรกิจซีม่านให้ย่อยยับได้จริง”

เหรินเป่าจูหันมองไปรอบ ๆ แล้วพูดอย่างเป็นกังวล “แต่แถวนี้ไม่มีโกดังไหนที่เปิดให้เช่าเลยนะคะ”

หลินม่ายกำลังจะบอกว่า ถ้าไม่มีทางออกอื่นแล้วจริง ๆ คงต้องเปลี่ยนร้านค้าขนาดเล็กนั้นให้กลายเป็นร้านขายส่งเสื้อผ้า Unique ไปก่อน

ถึงยังไงเธอก็ไม่ยอมให้ซีม่านผูกขาดธุรกิจขายส่งเสื้อผ้าแค่เจ้าเดียว

ไม่อย่างนั้นคงมีโอกาสสูงที่ซีม่านจะกลับมาตั้งตัวได้อีกครั้งผ่านช่องทางการค้าส่ง ซึ่งจะกลายเป็นภัยคุกคามอันใหญ่หลวงต่อ Unique ในอนาคต

คุณป้าชาวกว่างสีที่อยู่ข้างหลังพวกเธอลดระดับเสียงลง แล้วถามสองสาวว่า “พวกคุณอยากเช่าร้านกันเหรอ?”

หลินม่ายตาเป็นประกายทันที รีบหันกลับมาถาม “คุณพอรู้ไหมคะว่ามีตึกไหนเปิดให้เช่าร้านบ้าง?”

คุณป้าชี้ไปที่อาคารสองชั้นเบื้องหลัง มีความกว้างรวมทั้งหมดประมาณหกเมตร “เจ้าของตึกนี้เขาเปิดให้เช่าหน้าร้านด้วยล่ะ”

หลินม่ายอดสงสัยไม่ได้ “ในเมื่อเจ้าของเขาต้องการปล่อยเช่า แล้วทำไมถึงไม่ยอมติดประกาศล่ะคะ?”

คุณป้ามองย้อนกลับไปพร้อมกับถอนหายใจ “เมื่อเช้าฉันยังเห็นป้ายประกาศอยู่เลย ทำไมตอนนี้มันหายไปแล้วกันนะ? หรือว่าโดนลูกหาบ*ฉีกออกไปทำกระดาษชำระซะแล้ว?”

(ลูกหาบ : เป็นภาษาถิ่น ใช้เรียกคนงานที่รับจ้างแบกสินค้าให้ผู้คนบนถนนฮั่นเจิ้ง)

ยุคสมัยนี้ ตามครัวเรือนทั่วไป ผู้หญิงจะใช้กระดาษชำระเฉพาะช่วงที่ตัวเองมีประจำเดือนเท่านั้น ในขณะที่ผู้ชายใช้กระดาษอะไรก็ได้ทั้งนั้นเวลาเข้าห้องน้ำ

คนที่ใช้ชีวิตปากกัดตีนถีบไปวัน ๆ และไม่สนใจอะไรอย่างพวกลูกหาบ มีความเป็นไปได้มากว่าพวกเขาอาจนิสัยเสียฉีกป้ายประกาศตามรายทางแล้วเอาไปใช้แทนกระดาษชำระ

หลินม่ายกับเหรินเป่าจูชำเลืองมองกันและกัน จากนั้นก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านนั้น เพื่อถามเจ้าของตึกว่ายังเปิดให้เช่าหน้าร้านอยู่หรือเปล่า

หลินม่ายคืนชามซุปให้คุณป้า กล่าวขอบคุณ จากนั้นก็เดินเข้าไปในร้านข้างหลังพร้อมกับเหรินเป่าจู

คุณป้าหันหน้ากลับไปมองแผ่นหลังของสาวสวยทั้งสอง ก่อนจะแสดงสีหน้าโล่งใจออกมา

นางตั้งแผงลอยเล็ก ๆ อยู่บนถนนฮั่นเจิ้งมานานกว่าครึ่งปีแล้ว ก่อนหน้านี้มักจะตั้งแผงขายอยู่ตรงหน้าร้านของเถ้าแก่เกา

ความจริงเถ้าแก่เกาไม่ค่อยชอบใจนักเมื่อเห็นแบบนั้น แต่ตอนที่ตั้งแผงขายอยู่หน้าร้านเขาก็ไม่ได้ตั้งแผงบังหน้าร้านเขาเสียทีเดียว แต่ตั้งเยื้อง ๆ มาหน่อย ดังนั้นเขาเลยไม่ขับไล่หล่อนไปไหน

วันนี้เป็นวันแรกที่คนจากโรงงานซีม่านมาทำธุรกิจร่วมกับร้านของเถ้าแก่ พวกเขาต่างรุมขับไล่นางออกไป แถมยังห้ามไม่ให้มาตั้งแผงขายของอยู่หน้าร้านเถ้าแก่เกาอีก

เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับแม่ค้าแผงลอย ตราบใดที่เจ้าของที่ไม่อนุญาตให้ตั้งแผง นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องย้ายออกไป

คุณป้าผู้อ่อนโยนรีบเก็บข้าวของ กำลังจะย้ายร้านออกไปจากที่นั่นอยู่แล้ว แต่นางอาจจะทำอะไรช้าไม่ทันใจอีกฝ่าย จึงโดนพนักงานของร้านซีม่านเตะแผงลอยจนล้มระเนระนาด

คุณป้าได้แต่ร้องไห้โฮอยู่ตรงนั้น

ถ้าซุปถั่วเขียวในหม้อไม่หกลงพื้นซะก่อน มันจะสร้างรายได้ให้นางอย่างน้อยห้าหยวน ซึ่งสำหรับธุรกิจขนาดเล็กแบบนางแล้ว นี่ไม่ใช่ความสูญเสียน้อย ๆ เลย

ถึงคุณป้าจะมีนิสัยนุ่มนิ่มอ่อนโยน แต่ตุ๊กตาดินเผายังมีอารมณ์โกรธสามส่วน(1)

นี่เป็นเหตุผลที่นางเกลียดร้านเสื้อผ้าซีม่านเข้าไส้ และต้องการใช้หลินม่ายเป็นเครื่องระบายความโกรธของตัวเอง

……………………………………………………………………………………………………………

ตุ๊กตาดินเผายังมีอารมณ์โกรธสามส่วน หมายความว่า ทุกคนต่างก็มีอารมณ์ส่วนตัวกันทั้งนั้น ถ้าถูกยั่วยุมีหรือจะไม่โกรธ

สารจากผู้แปล

ไปทำกับคุณป้าแบบนี้ คุณป้าเลยจัดการให้ม่ายจื่อมาเช่าร้านเสียเลย พลาดแล้วซีม่าน พนักงานทำตัวเองซวยแล้ว

ไหหม่า(海馬)