ตอนที่ 459 เถ้าแก่เนี้ยหุ่นอวบขาว

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 459 เถ้าแก่เนี้ยหุ่นอวบขาว

หลินม่ายกับเหรินเป่าจูเดินเข้าไปในตึกที่ด้านหน้าเปิดเป็นร้านขายเครื่องเขียนชื่อลี่หวา เห็นผู้หญิงรูปร่างอวบท้วมผิวขาวนอนงีบหลับอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบ

ในร้านไม่มีลูกค้าคนอื่น ๆ กิจการค่อนข้างเงียบเหงา

สำหรับยุคสมัยที่ย่านการค้าส่งอย่างถนนฮั่นเจิ้งกำลังรุ่งเรือง การที่กิจการใดก็ตามมีสภาพซบเซาจนผิดจากร้านค้าอื่น ๆ แบบนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าของถึงยอมปล่อยเช่า

ผู้หญิงที่นอนอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบไม่ได้หลับเสียทีเดียว หลินม่ายร้องเรียกว่าเถ้าแก่เนี้ยแค่รอบเดียว หล่อนก็ลืมตาตื่นขึ้น

เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงตอนหลับตาเรียกง่ายกว่าตอนตื่นเป็นไหน ๆ

ผู้หญิงที่เพิ่งจะลืมตาขึ้นมีใบหน้าอ้วนกลม ดูเป็นคนดุและไม่เป็นมิตรเท่าใด

หล่อนเช็ดน้ำลายออกจากมุมปาก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงห้วนกระด้าง “จะซื้ออะไรล่ะ? ถามฉันก็ได้ แต่บอกก่อนว่าไม่มีการต่อรองราคาใด ๆ ทั้งสิ้น”

หลินม่ายชำเลืองมองไปยังเครื่องเขียนทั้งหมดในร้าน เห็นว่าราคาขายส่งที่เขียนกำกับไว้ถูกกว่าราคาขายปลีกไม่มากนัก

ตราบใดที่ราคาขายส่งถูกกว่าราคาขายปลีกแค่ไม่เท่าไร อย่าหวังเลยว่าจะมีใครสนใจซื้อ

ไม่ว่ายังไงก็ควรขายถูกกว่ากันครึ่งต่อครึ่ง คนซื้อถึงจะเต็มใจจ่าย นี่คือหลักการ

มิน่าล่ะร้านนี้ถึงได้ขายไม่ดีเอาซะเลย

หลินม่ายพูดกลั้วหัวเราะ “ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อซื้อของค่ะ พอดีได้ยินมาว่าเจ้าของตึกนี่ต้องการปล่อยเช่าหน้าร้าน ก็เลยแวะมาสอบถามราคาค่าเช่า”

หลังจากได้ยินแบบนั้น เถ้าแก่เนี้ยก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ผ้าใบทันที ถามว่า “คุณอยากเช่าเหรอ?”

หลินม่ายพยักหน้า “ฉันจะเช่าถ้าราคาสมเหตุสมผล”

เถ้าแก่เนี้ยชูสามนิ้วขึ้นมา “เดือนละสามร้อยหยวน”

ถึงแม้อาคารพาณิชย์บนถนนฮั่นเจิ้งจะมีราคาสูงลิ่วมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ค่าเช่าสามร้อยหยวนต่อเดือนก็ยังถือว่าแพงเกินไปอยู่ดี แถมยังดูขูดเลือดขูดเนื้อไปหน่อย

หลินม่ายถามหยั่งเชิง “ลดให้หน่อยได้ไหม” ยังไม่ทันจะพูดจนจบประโยค เถ้าแก่เนี้ยก็สวนกลับขึ้นมาทันทีด้วยความไม่พอใจ “ไม่มีการต่อรอง!”

เหรินเป่าจูเห็นแบบนั้นก็มีน้ำโหขึ้นมาทันที แต่ยังไม่ทันจะโต้ตอบอะไร หลินม่ายก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีปัญหาค่ะ”

เหรินเป่าจูรีบหันขวับไปจ้องมองเธอพร้อมกับทำตาโตเท่าไข่ห่าน

คุณหลินเป็นคนฉลาด รู้วิธีการต่อรองมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทำไมถึงได้ยอมตกลงราคาง่าย ๆ แบบนี้ล่ะ!

ถึงอย่างนั้นเหรินเป่าจูก็ยอมตามน้ำไปก่อน เพราะเชื่อว่าหลินม่ายต้องมีจุดประสงค์บางอย่างถึงตัดสินใจแบบนั้น

ถึงกรามของหล่อนจะแทบอ้าค้างด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงเล็ดลอดออกมา นับประสาอะไรกับเอ่ยปากห้าม

เถ้าแก่เนี้ยเห็นว่าหลินม่ายยอมตกลงอย่างง่ายดาย รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าทันที

หล่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้ผ้าใบ แล้วชี้ไปที่เครื่องเขียนทั้งหมดในร้านพร้อมกับพูดว่า “นอกเหนือจากค่าเช่าแล้ว คุณยังต้องเหมาของพวกนี้ด้วยนะ”

ในยุคนี้ เครื่องเขียนรวมถึงสินค้าประเภทใกล้เคียงไม่ใช่อะไรที่ขายดีขนาดนั้น

คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับอาหารและเครื่องนุ่งห่มเป็นหลัก ต่อให้มีเงินสำรองเหลืออยู่บ้าง พวกเขาก็ยังลังเลที่จะจ่ายเงินส่วนนั้นเพื่อซื้อเครื่องเขียนให้ลูกหลานตัวเอง

ถ้าซื้อก็ซื้อเท่าที่จำเป็น

เด็กยุคนี้ใช้สมุดการบ้านจนคุ้ม เหลือหน้ากระดาษว่างก็ไม่ปล่อยให้เสียเปล่า เขียนจนหมดเล่ม

ต่างจากในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า เด็ก ๆ ใช้สมุดสำหรับทำการบ้านกันไม่ถึงสองเล่ม ที่เหลือก็ปล่อยทิ้งไว้

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงครอบครัวที่ยากจนในยุคสมัยนี้ เด็ก ๆ จะใช้ดินสอเขียนลงในสมุดการบ้าน พอใช้จนหมดเล่มแล้ว ก็เอายางลบมาลบให้สะอาด แล้วใช้สมุดเล่มเดิมอีกครั้ง

กว่าพวกเขาจะทิ้งดินสอก็ต้องรอให้เหลาจนความยาวของมันเหลือแค่หนึ่งนิ้ว จากนั้นค่อยไปซื้อดินสอแท่งใหม่ แต่ละแท่งใช้งานติดต่อกันได้เป็นหลายสัปดาห์

อีกทั้งการบ้านที่คุณครูในยุคนี้มอบหมายให้นักเรียนก็มีไม่มาก ทำให้เครื่องเขียนมีความจำเป็นกับนักเรียนน้อยลง เครื่องเขียนจึงยิ่งขายออกยากเข้าไปใหญ่

ทันใดนั้นหลินม่ายก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเย็นชาทันที “ลำพังค่าเช่าร้านคุณก็แพงจนกระเป๋าฉีกอยู่แล้ว ยังหวังจะให้ฉันเหมาของพวกนี้อีกเหรอ! ช่างเถอะ ฉันไม่เช่าร้านนี้แล้วก็ได้ ฉันว่าถ้าคุณยังตั้งราคาค่าเช่าสูงแบบนี้ต่อไป แถมยังพ่วงเงื่อนไขว่าต้องเหมาสินค้าที่ตัวเองขายไม่ออกอีก คงไม่มีใครสนใจอยากเช่าแน่ แล้วคุณนั่นแหละที่จะต้องเสียใจ”

พูดจบ เธอก็หันมาพูดกับเหรินเป่าจูว่า “เราเปลี่ยนไปใช้หน้าร้านเล็ก ๆ ที่เพิ่งซื้อมาเพื่อเปิดร้านขายส่งเสื้อผ้าแทนเถอะ”

เถ้าแก่เนี้ยคิดว่าหลินม่ายแค่จงใจพูดว่าตัวเองมีหน้าร้านอื่นเพื่อบีบบังคับทางอ้อมให้ตัวเองยอมจำนนเท่านั้น จะได้ต่อรองต่อไปง่าย ๆ

หล่อนจึงถามกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “หน้าร้านของคุณที่ว่าอยู่แถวไหนล่ะ ลองบอกหน่อยสิเผื่อฉันจะรู้จัก”

หลินม่ายบอกที่ตั้งร้านขนาดเล็กของตัวเองไปตามตรง

สีหน้าของเถ้าแก่เนี้ยกลายเป็นซับซ้อนขึ้นมาทันที

หน้าร้านขนาดเล็กที่ว่าเพิ่งจะถูกซื้อไปได้ไม่นานจริง ๆ ตอนนี้ก็ยังอยู่ในระหว่างปรับปรุงร้าน แน่นอนว่าหล่อนรู้เรื่องนี้

พอเห็นว่าหลินม่ายกับเหรินเป่าจูตั้งท่าว่าจะจากไปอีกครั้ง เถ้าแก่เนี้ยก็ตื่นตระหนก รีบเรียกให้พวกเธอหยุดอย่างร้อนใจ “นี่! อย่าเพิ่งรับร้อนนักสิ ค่อยพูดค่อยจากันก็ได้”

เหรินเป่าจูชะงักฝีเท้า อยากรู้เหมือนกันว่าเถ้าแก่เนี้ยจะเสนอข้อตกลงอย่างไร

แต่หลินม่ายยังคงลากหล่อนออกไปจากร้าน พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนโกรธมาก “ไม่ต้องพูดจากันแล้ว!”

ยิ่งเธอก้าวฉับ ๆ ออกไปเร็วแค่ไหน เถ้าแก่เนี้ยก็ยิ่งมั่นใจว่าหญิงสาวคนนี้ต้องเป็นคนซื้อหน้าร้านที่ว่านั้นแน่ ไม่งั้นเธอคงไม่กล้าสะบัดหน้าใส่

หล่อนรีบก้าวยาว ๆ ให้ทัน ก่อนจะอาศัยเรี่ยวแรงจากน้ำหนักของตัวเอง ฉุดดึงให้หลินม่ายเดินกลับเข้าไปในร้าน

ใครบ้างจะอยากเปิดกิจการบนถนนฮั่นเจิ้งโดยที่ตัวเองไม่มีวิสัยทัศน์เฉียบแหลมพอ?

ถึงหลินม่ายจะดูอายุน้อยกว่าเหรินเป่าจูอย่างเห็นได้ชัด แต่เถ้าแก่เนี้ยสามารถระบุได้ทันทีว่าเธอคนนี้แหละที่มีอำนาจในการตัดสินใจ

นี่คือเหตุผลว่าทำไมหล่อนถึงพยายามจะรั้งหลินม่ายไว้คนเดียว โดยที่ไม่สนใจเหรินเป่าจู

หลินม่ายถามพร้อมสะบัดเสียงใส่ “เปลี่ยนใจแล้วเหรอคะ? หรือยังคิดจะให้ฉันเหมาของพวกนั้นเหมือนเดิม?”

เถ้าแก่เนี้ยบ่นอุบ “ถ้าคุณเช่าร้านของฉันจริง ๆ แล้วฉันจะเอาของพวกนั้นไปขายที่ไหนล่ะ? ฉันถึงอยากให้คุณเหมาเครื่องเขียนทั้งหมดไปด้วยไง”

หลินม่ายไม่พอใจ “คิดว่าฉันว่างงานมากเหมือนตัวเองจนมีเวลาคุยกับคุณทั้งวันหรือไง ถึงได้พยายามจะดึงฉันกลับไปอยู่นั่นแหละ?”

ท้ายที่สุด เธอก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะชักแขนกลับ ตั้งท่าจะเดินจากไปอีกครั้ง

เถ้าแก่เนี้ยพยายามรั้งเธอไว้อย่างแน่นหนา “สาวน้อย คุณควรฟังฉันพูดก่อนนะ”

พอหลินม่ายเห็นว่าตัวเองขัดขืนไม่ได้แน่แล้ว จึงเหล่ตามองค้อน “งั้นคุณลองพูดมาสิ”

เถ้าแก่เนี้ย “เธอเหมาเครื่องเขียนทั้งหมดในร้านฉัน แล้วฉันจะลดราคาให้สามสิบเปอร์เซ็นต์”

พอเห็นว่าหลินม่ายไม่มีทีท่าว่าจะสนใจ หล่อนก็พูดเสริมขึ้นมา “นี่เป็นราคาที่ต่ำสุดแล้วนะ”

หลินม่ายต่อรอง “ลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์ และจะเหมาแค่สินค้าที่วางขายอยู่ในร้าน ไม่รับเหมาสินค้าที่ค้างสต็อก”

ถ้าสามารถซื้อเครื่องเขียนทั้งหมดในร้านได้ในราคาลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์ นั่นจะเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาขายส่งทั่วไปในท้องตลาด หลินม่ายจึงรู้สึกว่าไม่ขาดทุน

เถ้าแก่เนี้ยตะลึงพรึงเพริด ตอบกลับด้วยใบหน้าแข็งกระด้าง “ฉันไม่ยอมลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์แน่”

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็เก็บเอาไว้ใช้เองเถอะ ทำอย่างกับฉันอยากซื้อพวกมันมากนักแหละ” ว่าแล้วหลินม่ายก็หันหลังกลับ

เถ้าแก่เนี้ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมอ่อนให้ “ถ้าคุณอยากซื้อในราคาลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์ งั้นก็ต้องเหมาของที่ค้างสต็อกด้วย”

หลินม่ายเลิกวิ่งหนี

ทั้งสองฝ่ายเจรจาต่อรองกันอยู่สักพัก ในที่สุดก็บรรลุข้อตกลงร่วมกัน

หลินม่ายตกลงเช่าหน้าร้านของเถ้าแก่เนี้ยในราคาสามร้อยหยวนต่อเดือน และเหมาเครื่องเขียนทั้งหมดในร้านของหล่อนในราคาลดสี่สิบเปอร์เซ็นต์

ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยก็หายใจคล่องเสียที หล่อนตั้งราคาเช่าหน้าร้านไว้สูงขนาดนี้ แต่ก็ยังมีคนสนใจซื้อพร้อมกับเหมาสินค้าในร้านโดยดี ถึงแม้ราคาจะไม่เป็นที่น่าพอใจก็ตาม

เครื่องเขียนทั้งหมดในร้านเป็นสามีของหล่อนนั่นเองที่รับซื้อมา ตอนนั้นเขาถูกความโลภบังตา แถมยังกินเหล้าเมามายไม่ได้สติ ไม่รู้ทิศเหนือใต้ออกตก จึงเผลอไปเซ็นสัญญาซื้อขายกับใครบางคนเข้า

เครื่องเขียนพวกนี้วางขายอยู่ในร้านมาพักใหญ่ ๆ แล้ว ตั้งแต่ผู้เช่าคนก่อนยุติสัญญาเช่า หล่อนก็ไม่มีโอกาสได้ขายเครื่องเขียนพวกนี้อีกเลย

แต่ธุรกิจกลับขาดสภาพคล่อง

ดังนั้นหล่อนจึงคิดว่าควรขายมันพร้อมกับการปล่อยเช่าหน้าร้านถึงจะคุ้มค่ากว่า นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมหล่อนถึงตั้งเงื่อนไขว่าคนที่สนใจเช่าจะต้องเหมาสินค้าพวกนี้ไปด้วย

ค่าเช่าต่อเดือนแพงมาก ถึงมีคนสู้ราคาค่าเช่า แต่ก็ต้องมาเจอกับเงื่อนไขที่ร้ายแรงยิ่งกว่า

ทำให้หน้าร้านถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลาหลายเดือน โดยที่ไม่มีใครสนใจเช่าเลย

แต่วันนี้หล่อนบรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้ว ในที่สุดก็หาคนเช่าได้สักที แบบนี้จะไม่ให้หล่อนรู้สึกโล่งใจได้อย่างไร?

พอเถ้าแก่เนี้ยเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเซ็นสัญญาในขณะที่เหล็กยังร้อนอยู่ หลินม่ายก็โพล่งขึ้นโดยที่ไม่แสดงสีหน้าใด ๆ “อีกสามวันฉันจะมาเซ็นสัญญา”

เหรินเป่าจูเหลือบมองเธอด้วยความสงสัยอีกครั้ง

ในเมื่อตกลงกันได้แล้ว ทำไมถึงไม่รีบเซ็นสัญญาล่ะ เพื่อที่พวกเธอจะได้เปิดร้านขายส่งเสื้อผ้าให้เร็วที่สุดแข่งกับร้านขายส่งเสื้อผ้าซีม่าน

ถึงจะสงสัย แต่เธอก็ยังนิ่งเงียบ

เถ้าแก่เนี้ยใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม “ทำไมต้องรออีกตั้งสามวันล่ะ? เซ็นสัญญากันวันนี้เลยไม่ได้เหรอ”

ขืนรอต่อไปอีกสามวัน หลินม่ายอาจไปเจอหน้าร้านอื่นที่ปล่อยเช่าในราคาต่ำกว่าก็ได้ ถึงเวลานั้นเธอคงไม่หวนกลับมาเช่าหน้าร้านของหล่อนแน่

ข้อตกลงทางวาจาแทบไม่มีประโยชน์ ไม่ว่ายังไงก็ต้องเซ็นสัญญาก่อน หลังได้รับเงินแล้วถึงจะสบายใจได้จริง ๆ

เพื่อหลีกเลี่ยงค่ำคืนอันยาวนานในห้วงฝัน เถ้าแก่เนี้ยจึงพยายามยืนกรานให้หลินม่ายเซ็นสัญญาให้จบ ๆ ภายในวันนี้

หลินม่ายตอบกลับอย่างเสียไม่ได้ “เอาล่ะ ในเมื่อคุณกังวลขนาดนั้น เรามาเซ็นสัญญากันตอนนี้เลยก็ได้”

สีหน้าเคร่งเครียดของเถ้าแก่เนี้ยผ่อนคลายลง หล่อนยิ้มรับพลางพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันขอไปเรียกสามีก่อน จะได้ให้เขามาร่างเอกสารสัญญากับคุณ อีกประมาณครึ่งชั่วโมงเดี๋ยวเจอกันที่ร้านนะ”

จนถึงตอนนี้ เหรินเป่าจูเพิ่งจะเข้าใจว่าที่แท้หลินม่ายก็กำลังเล่นแง่ทางจิตวิทยาอย่างหนักหน่วง เพื่อที่ตัวเองจะได้เป็นฝ่ายคุมเกมอย่างสมบูรณ์นั่นเอง

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เออ มันต้องอย่างนี้สิ สมกับที่ได้มาเกิดใหม่อีกชาติหน่อย

ไหหม่า(海馬)