หลังจากพิจารณาไปมา ในที่สุดเคธี่ก็ตอบตกลงลี่หุย
เมื่อได้รับคำยืนยันจากเคธี่ รอยยิ้มบนใบหน้าของลี่หุยก็ยิ่งสดใสขึ้นมาก ยังไงซะตอนนี้ก็ถือว่าเคธี่เป็นคนมีอำนาจที่สุดที่เขาสามารถใกล้ชิดได้
“งั้นก็รบกวนคุณด้วยนะครับ คุณเคธี่”
เคธี่เหลือบมองเขาเล็กน้อย แล้วเอ่ยพูด : “เรื่องของเจียงหยุนเอ๋อ หวังว่านายจะไม่ทำให้ฉันผิดหวังนะ”
“มันแน่นอนอยู่แล้วครับ” ลี่หุยยืนยันหนักแน่นกับเคธี่
หลังจากกลับถึงบ้าน เคธี่รู้ดีว่าเรื่องนี้เธอไม่สามารถตัดสินใจเองได้ จึงได้ไปขอร้องพ่อของตัวเอง
ตอนแรก พ่อของเคธี่ไม่เห็นด้วย ถึงขั้นประหลาดใจกับพฤติกรรมของเคธี่
“คนที่แกชอบคือลี่จุนถิงไม่ใช่เหรอ? ทำไมตอนนี้ถึงได้ไปข้องเกี่ยวกับลี่หุยอะไรนั่นล่ะ?”
เคธี่มองพ่อของตัวเองอย่างจนใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรอธิบายยังไงดี : “ก่อนหน้านี้เขาช่วยหนูไว้ หนูก็ต้องตอบแทนบุญคุณหน่อยสิค่ะ”
เดิมทีพ่อของเคธี่ไม่อยากตอบตกลง เพราะยังไงซะตอนนี้ลี่หุยก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง เขาไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องทำแบบนี้ แต่ในเมื่อเคธี่ขอร้อง สุดท้ายเขาก็ยอมตอบตกลง
“ก็ได้ ฉันรับปากแก”
“ขอบคุณค่ะแด๊ดดี้!” เคธี่อดไม่ได้ที่จะเข้าไปโอบกอดพ่อ พ่อของเคธี่จึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนใจ ยอมตามใจเธอเหมือนเดิม
จากนั้น เคธี่ก็ติดต่อไปยังลูกน้องที่มีความสามารถกลุ่มหนึ่งของพ่อตัวเอง ให้พวกเขาคอยชี้แนะลี่หุยสักหน่อย
เมื่อมีคนใหญ่คนโตมากมายคอยช่วยเหลือ ทำให้ลี่หุยได้รับงานโครงงานใหม่มากมาย ๆ อย่างรวดเร็ว และสำหรับคนพวกนี้นั้น เขาก็พยายามเอาใจ เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับพวกเขา ในอนาคตจะได้ช่วยเหลือตัวเองให้สามารถยึดอำนาจมาได้
และแน่นอนว่า เขาไม่ลืมที่จะประจบเอาใจชื่นชมเคธี่ เพื่อผลประโยชน์ระยะยาวในภายภาคหน้า เขาลุกขึ้นอย่างช้า ๆ มาหยุดที่ข้างหน้าต่าง หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดโทรหาเคธี่ เคธี่ที่อยู่ปลายสายราวกับรู้ล่วงหน้าไม่มีผิด เธอกดรับสายเร็วมาก
“เป็นยังไงบ้างล่ะลี่หุย เรื่องที่รับปากนายไว้ฉันทำได้แล้วนะ! ตอนนี้ดูท่าทางได้ผลดีทีเดียวเลยนี่!” เคธี่เอ่ยพูดอย่างสบาย ๆ
ลี่หุยยิ้มมุมปาก พูดออกมาด้วยความพอใจว่า “เคธี่ หลายครั้งหลายคราที่ผมประสบความสำเร็จได้รวมถึงคนใหญ่คนโตเหล่านี้ต้องขอบคุณการช่วยเหลือของคุณเลยนะ! ผมขอขอบคุณอย่างใจจริง คุณวางใจเถอะ ความร่วมมือระหว่างพวกเราผมให้ความสำคัญมาก ในเมื่อคุณช่วยผม ผมก็จะช่วยคุณแน่นอน”
ได้รับคำมั่นสัญญาจากลี่หุย เคธี่ก็ค่อย ๆ โล่งใจหน่อย แต่ยังคงไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวเขา จึงพูดอย่างระมัดระวังว่า “ในเมื่อฉันช่วยให้นายรู้จักคนใหญ่คนโตที่มีชื่อเสียงในวงการมากมายขนาดนี้แล้ว นายก็ห้ามลืมล่ะว่าเคยรับปากอะไรฉันไว้ ไม่อย่างนั้น ฉันจะไม่มีทางช่วยให้นายยืนหยัดอยู่ในบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปได้อย่างเด็ดขาด!”
“ดูคุณพูดเข้าสิ ในเมื่อพวกเราตกลงกันไว้แล้ว ผมจะผิดคำพูดได้ยังไงกันล่ะ? วางใจเถอะน่า เรื่องลี่จุนถิงน่ะผมจะช่วยคุณแน่ ขอแค่คุณช่วยผมต่อไปก็พอแล้ว!” ลี่หุยเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยพูดอย่างเรียบ ๆ
ลี่หุยที่วางสายไปยืนมองเมืองที่คึกคักที่มีรถวิ่งไปมาพลุกพล่านอยู่ด้านล่างตึก แล้วยกมุมปากขึ้นมาข้างหนึ่ง ใบหน้าผุดรอยยิ้มที่แปลกประหลาดออกมา เขาเงียบอยู่นาน จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ จัดแจงรอยยับที่อยู่บนเสื้อเชิ้ต แล้วเอ่ยพูดอย่างช้า ๆ ว่า “ลี่จุนถิง ต้องมีสักวัน ที่บริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปตกอยู่ภายใต้การนำของฉัน พวกเรามาคอยดูแล้วกัน!”
……
ลี่จุนถิงไม่รู้เลยว่าลับหลังลี่หุยคอยทำเรื่องพวกนี้อยู่ เขาไม่เคยเห็นลูกนอกสมรสคนนี้อยู่ในสายตา วันนี้ที่ยังปล่อยให้เขาอยู่ในบริษัทได้ก็เพื่อทำตามคำขอของพ่อแค่นั้น ถ้าเขาตั้งใจทำงาน ลี่จุนถิงก็ไม่ทำอะไรเขาหรอก แต่ถ้าเขาคิดทำอะไรไม่ดี ก็อย่าโทษตัวเองที่ต้องกำจัดเขาให้สิ้นซากแล้วกัน
เงาที่อยู่บนปากกาหมึกซึม ได้สะท้อนใบหน้าด้านข้างที่ดูดุร้ายของลี่จุนถิง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วทำงานต่อไป
ณ คฤหาสน์ตระกูลลี่
ภายในสวนที่สวยงามและเงียบสงบ ชาเถี่ยกวนอินเหยือกหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ มีกลิ่นหอมของชาโชยมาเป็นระยะ ๆ ท่านปู่ลี่กำลังหลับตาพักผ่อนเอนหลังพิงเก้าอี้อยู่ ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ผสมกับกลิ่นชาโชยมาจากรอบทิศไม่หยุดหย่อน ทำให้เขาสบายใจไม่น้อยเลยทีเดียว คิ้วที่ขมวดเป็นปมก็ค่อย ๆ คลายออก
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าที่รีบร้อนของพ่อบ้านก็ดังขึ้นทำให้รบกวนท่านปู่ลี่ เขาลืมตาขึ้นอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ คิ้วขมวดเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามเสียงขรึมว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? แกบุ่มบ่ามอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือไม่รู้งั้นเหรอว่าฉันกำลังพักผ่อนอยู่ที่นี่?”
เมื่อรับรู้ได้ว่าน้ำเสียงของท่านปู่ลี่ฟังดูไม่พอใจ พ่อบ้านจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็กัดฟัน แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างหมดเปลือก “คุณท่านครับ บริษัทลูกในเครือของลี่ซื่อกรุ๊ปเกิดปัญหาแล้วครับ! ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่บัญชีตัวเลขไม่สอดคล้องกัน ภายหลังเหมือนพบว่ามีบัญชีหนึ่งขาดดุล ตอนนี้ขาดสภาพคล่องทางการเงิน จะทำยังไงดีครับ!”
ได้ยินดังนั้น คิ้วของท่านปู่ลี่ก็ยิ่งขมวดเป็นปมมากขึ้นไปอีก เขายืนขึ้นแล้วเดินไปเดินมาอยู่ในสวนเป็นเวลานาน ใคร่ครวญอยู่สักพักใหญ่ถึงได้ค่อย ๆ เอ่ยปากพูดว่า “จุนถิงล่ะ? เขาได้พูดไหมว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไง? เงินทุนของบริษัทใหญ่เอามาใช้แก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ไหม? อยู่ดี ๆ ทำไมถึงได้เกิดปัญหาโครงการขาดทุนได้ล่ะ?”
น้ำเสียงท่านปู่ลี่ไม่ค่อยดีนัก พ่อบ้านที่ยืนอยู่ตรงนั้นจึงทำตัวไม่ค่อยถูก สายตาของเขามองไปรอบ ๆ อย่างลุกลี้ลุกลน แล้วถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “คุณชายใหญ่ยังไม่ได้บอกวิธีจัดการเรื่องนี้ครับ ตอนนี้เขากำลังยุ่งอยู่กับงานโครงการพัฒนาอีกโครงการหนึ่งอยู่ คงน่าจะยังไม่ทราบเรื่องครับ”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเขา คุณท่านที่กำลังจะเอ่ยปากพูด ก็เห็นผู้รับผิดชอบของบริษัทลูกเดินเข้ามาอย่างไม่เร่งรีบเท่าไหร่ เขาขมวดคิ้ว คิดว่าบริษัทเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก จึงรีบเอ่ยปากถาม “บริษัทเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแล้วใช่ไหม? เงินที่ขาดดุลไปพวกนั้นยังคิดหาวิธีแก้ปัญหาไม่ได้เหรอ?”
ผู้รับผิดชอบยิ้มแล้วส่ายหน้า ใบหน้าของเขาดูปลื้มปิติ เอ่ยพูดด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อยว่า “หลังจากที่เพิ่งพูดกับคุณพ่อบ้านเสร็จก็หาวิธีแก้ปัญหาได้แล้วครับ ไม่รู้ว่าคุณชายเล็กไปหาเงินทุนมากมายขนาดนั้นจากที่ไหน ได้เอามาโปะส่วนที่ขาดดุลไปแล้วครับ ผมกลัวท่านจะร้อนใจ เลยรีบมาบอกข่าวนี้กับท่าน!”
ลี่หุยเหรอ?
ท่านปู่ลี่ไม่ได้ดีใจเหมือนอย่างที่คิดไว้ เขานวดหัวคิ้วไปมา ค่อย ๆ ยกชาที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาจิบหนึ่งคำ แล้วเคาะโต๊ะเบา ๆ ผ่านไปสักพักใหญ่ถึงได้เอ่ยพูดขึ้นอย่างเรียบ ๆ ว่า “เป็นลี่หุยที่แก้ปัญหาเรื่องนี้ได้งั้นเหรอ คาดไม่ถึงเลยจริง ๆ ดูท่าฉันประเมินเขาต่ำไปสินะ!”
พ่อบ้านรู้ดีว่าถึงแม้ท่านปู่ลี่ยอมให้ลี่หุยเข้ามาทำงานในบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ป แต่ในใจของเขายังคงเห็นว่าลี่จุนถิงเป็นทายาทที่เหมาะสมที่สุด คิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้กลับเป็นลี่หุยที่แก้ไขปัญหาได้ เขาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ดูท่าทางคุณชายเล็กก็ค่อนข้างมีความสามารถนะครับ!”
ครั้งนี้ท่านปู่ลี่ไม่ได้เอ่ยพูดอะไรอีก เขาได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วก้มหน้าไม่พูดไม่จา