บทที่ 304 แลกเสบียงอาหาร 1

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 304 แลกเสบียงอาหาร 1

โจวกุ้ยหลานยิ้มและส่ายหน้า “ท่านลุง ข้ารับแค่การแลกเปลี่ยนที่นา ถ้าใช้เงินซื้อ เกรงว่าพวกเขาจะเอาไปขายต่อ ถ้าเป็นเช่นนั้น ไม่สู้ข้าเอาไปขายให้เถ้าแก่ไป๋จะดีกว่า ยังได้เงินมากกว่าด้วย”

“แต่ที่นาเป็นชีวิตของชาวบ้านเลยนะ……”หวังโหยวเกินยังพยายามดิ้นรน

โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า “แทบจะสูญเสียชีวิตกันแล้ว จะมีที่นาไว้ทำไม พวกท่านไม่มีเมล็ดพันธุ์สำหรับปลูกแล้วไม่ใช่หรือ”

คำพูดประโยคนี้วทำให้หวังโหยวเกินรู้สึกกระดากอายอีกครั้ง สายตาไม่กล้ามองไปที่โจวกุ้ยหลาน

ในเมื่อพูดกันถึงขั้นนี้แล้ว โจวกุ้ยหลานก็ไปปกปิดอะไรอีกต่อไป พูดว่า “ข้าจะขอพูดตรงๆ พวกท่านมีที่นามาก สามารถเอามาแลกแค่แปลงสองแปลงก็ได้ ยังสามารถเอาเมล็ดพันธุ์ไปปลูกต่อเพื่อประทังชีวิต หรือภายหน้าจะเช่าที่นาของข้าในการปลูกก็ได้ ”

หวังโหยวเกินพยักหน้า จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ได้ เช่นนั้นข้าจะไปคุยกับชาวบ้านให้”

“เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ฝากท่านลุงด้วย ออใช่แล้ว คนที่ไปปล้นเสบียงอาหาร บ้านข้าทางหมู่บ้านจะจัดการอย่างไร”โจวกุ้ยหลานพูดขึ้น หรี่ตามองหวังโหยวเกิน

“เจ้า เจ้าว่าพวกเราควรจะจัดการอย่างไรดี”หวังโหยวเกินถามอย่างระมัดระวัง

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็ไม่เกรงใจแล้ว “ถ้าหากคนในหมู่บ้านทำร้ายกันเองจนตาย จะทำอย่างไร”

“เช่นนั้น เช่นนั้นก็ต้องตีให้ขาหัก แล้วชดใช้เงิน ……”หวังโหยวเกินพูด เห็นสีหน้าของโจวกุ้ยหลานไม่ค่อยจะดีนัก ก็รีบหุบปากทันที

โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า “เบาเกินไป ฆ่าคนแล้ว ย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิต”

“กุ้ยหลาน ต่างก็ ต่างก็เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน พวกเขา พวกเขาก็ไม่ได้ฆ่าใครด้วย ……”หวังโหยวเกินตกใจจนต้องรีบอธิบาย

คนเหล่านั้นล้วนเป็นแรงงานสำคัญของหมู่บ้าน ถ้าหากจัดการให้ตายไปจริงๆ แล้วครอบครัวของพวกเขาจะทำอย่างไร

หวังโหยวเกินร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง ใครจะไปคิดว่ากุ้ยหลานที่แต่งงานไปแล้วไม่เคยมีปากมีเสียงมาก่อนจะมีความสามารถขนาดนี้

คนเหล่านั้นก็สมควรตายจริงๆ เขาแทบจะเป็นบ้าแล้ว ทำไมจึงต้องก่อเรื่องตอนที่เขาไม่อยู่ด้วยนะ

โจวกุ้ยหลานส่ายหน้า “เป็นเพราะบ้านข้ายังมีเสบียงอาหาร อยู่ ถ้าหากไม่มีเสบียงอาหาร แล้ว ที่พวกเขาปล้นไปเท่ากับเป็นเสบียงอาหาร ที่เอาไว้ช่วยชีวิตคนในบ้านข้า ไม่เท่ากับทำให้คนบ้านข้าต้องตายหรือ”

เมื่อพูดประโยคนี้ออกมาทำเอาหวังโหยวเกินไม่มีคำพูดใดจะโต้ตอบได้

ในเวลานี้แม้แต่เสบียงอาหาร เพียงเล็กน้อยก็ช่วยชีวิตคนได้ ถ้าหากบ้านพวกเขามีผู้ชายอยู่ด้วย เกรงว่าคงจะต้องเกิดเรื่องถึงขั้นเอาชีวิตแน่

“ท่านลุงโหยวเกิน ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายและแม่ข้า หมู่บ้านจะทำอย่างไร ถ้าหากพวกเขากินอาหารเหล่านั้นหมดแล้วไปปล้นบ้านอื่นๆในหมู่บ้านอีก ถึงตอนนั้นท่านจะทำอย่างไร ถ้าหากไม่ควบคุมพวกเขา คนอื่นที่เหลือในหมู่บ้านฆ่าคนเพื่อปล้นเสบียงอาหาร แล้วท่านจะจัดการอย่างไร”

รัวคำถามมาเป็นชุด ทำให้หวังโหยวเกินรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนยิ่งนัก

“ถ้าหากเป็นคนหมู่บ้านอื่น ข้าคงจัดการทันที แต่เห็นแก่ที่พวกเขาเป็นคนในหมู่บ้าน ข้าจึงปล่อยพวกเขาไปสักครั้ง แต่ในเมื่อเอาเสบียงอาหาร ของบ้านข้าไปกิน ที่นาของพวกเขาย่อมต้องเป็นของข้า ส่วนบ้านและที่ดินของพวกเขา ยังคงเก็บไว้ให้พวกเขา”

นางไม่ใช่คนที่เจรจาได้ง่ายๆ หรือปล่อยให้คนอื่นมารังแก ถ้าหากปล่อยพวกเขาไปโดยไม่ทำอะไรเลย ถึงเวลาใครจะมาแลกเสบียงอาหาร กับนาง คงเข้ามาปล้นนางจนหมด

หวังโหยวเกินได้ยินสิ่งที่นางพูดแล้วสีหน้าแดงสลับซีด

“กุ้ยหลาน พวกเขาต่างก็มีครอบครัวเป็นภาระ เอาอย่างนี้ ถือว่าเห็นแก่หน้าลุงก็แล้วกัน ปล่อยพวกเขาไปสักครั้ง ข้ารับประกันว่าวันหน้าพวกเขาจะไม่กล้าทำผิดอีก”

“แล้วถ้าพวกเขายังทำผิดอีกเล่า ท่านลุงจะรับผิดชอบอย่างไร”โจวกุ้ยหลานก็ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้เช่นเดียวกัน จ้องมองหวังโหยวเกินโดยตรง

หวังโหยวเกินประสานสายตากับนางชั่วครู่ รู้สึกตระหนกในใจยิ่งนัก

ถ้าหากพวกเขาไปปล้นอีก เช่นนั้น กุ้ยหลานจะปฏิบัติต่อเขาอย่างไร

ไม่แลกเปลี่ยนเสบียงอาหาร ให้เขา

ไม่ได้ไม่ได้ ทำอย่างนั้นเท่ากับเอาชีวิตคนในครอบครัวเขาเชียวนะ

“เรื่องนี้ เรื่องนี้อาพูดมากไปเอง กุ้ยหลาน ทำตามที่เจ้าว่าก็แล้วกัน”

พูดจบแล้ว ก็รู้สึกว่าความคมกริบในแววตาของโจวกุ้ยหลานหายไปหลายส่วน เขาก็แอบโล่งใจเล็กน้อย

ขณะเดียวกันโจวกุ้ยหลานก็ไม่ได้บีบคั้นอะไรอีก น้ำเสียงนุ่มนวลลง “ท่านลุง หากตอนนี้ท่านเป็นข้า พวกเขาวิ่งเข้ามาในบ้านปล้นเสบียงอาหาร ของท่านไป คนในครอบครัวท่านไม่มีอะไรกิน ท่านจะทำอย่างไร ”

หวังโหยวเกินคิดถึงเรื่องนี้ หัวในก็สั่นระรัวขึ้นมาอีกครั้ง

“ท่านลุง ใจเขาใจเรา อย่างไรเสียคนในครอบครัวย่อมสำคัญกว่าอยู่แล้วใช่หรือไม่”โจวกุ้ยหลานพูดต่อ

“ปล่อยพวกเขาไปไม่ได้ กุ้ยหลาน อาทำให้เจ้าลำบากใจ เจ้าวางใจได้ เรื่องนี้อาต้องยืนอยู่ข้างเจ้าอย่างแน่นอน ”

ในที่สุดหวังโหยวเกินก็คิดได้ จึงไม่ได้มีทีท่าแข็งกร้าวเหมือนเมื่อครู่แล้ว

เมื่อเห็นว่าเขาเข้าใจดีแล้ว โจวกุ้ยหลานก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ได้แต่พยักหน้าเล็กน้อย และไม่เสียเวลาอยู่ต่อ เอ่ยคำลาและไปจากบ้านหวังโหยวเกิน

เมื่อส่งโจวกุ้ยหลานไปถึงหน้าประตู เห็นนางจากไปแล้ว หวังโหยวเกินก็แอบโล่งใจ

หลังจากนี้หวังโหยวเกินจะประกาศให้ชาวบ้านรู้อย่างไรโจวกุ้ยหลานไม่สนใจ นางเดินทางไปบ้านของโจวต้าซาน เรียกโจวต้าซานกับเอ้อร์เฉียงไปที่บ้านของตน เดินไปที่เรือนทิศเหนือ หอบเอาฟางที่คลุมเอาไว้ออกไป จากนั้นก็เปิดฝาที่ปิดอยู่ด้านบนออก พวกเขาจึงมองเห็นห้องใต้ดินที่อยู่ข้างใน

เดินตามโจวกุ้ยหลานเข้าไป มองเห็นเสบียงอาหาร ในนั้น ทุกคนต่างก็รู้สึกตะลึง

“ทะ ทำไมจึงมีเสบียงอาหาร มากมายขนาดนี้ ”โจวต้าซานอุทานออกมา

คนอื่นๆถามไม่ออก ต่างก็มีสีหน้าตกตะลึง

โจวกุ้ยหลานพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าสะสมไว้ก่อนหน้านี้ เสบียงอาหาร เหล่านี้ขนขึ้นไปให้หมด ตั้งแต่พรุ่งนี้เราจะแลกมันกับที่นาแล้ว”

เมื่อพูดจบ โจวต้าไห่ก็อดไม่ได้ที่จะพุ่งไปตรงหน้าเสบียงอาหาร อาหาร นั่งลงกับพื้น กอดเสบียงอาหาร ไว้ถึงหนึ่งพลางยิ้ม พลางยิ้มพลางน้ำตาไหลพราก

ล้วนเป็นเสบียงอาหาร อาหารทั้งสิ้น เป็นเสบียงอาหาร ที่ล้ำค่าที่สุด

เอ้อร์เฉียงอดไม่ได้ อุ้มเสบียงอาหาร ไว้ถุงหนึ่ง นั่งอย่างมีความสุขอยู่บนพื้น

โจวต้าซานมองดูเสบียงอาหาร เหล่านี้ ในใจรู้สึกสับสนวุ่นวายมาก

เขามีชีวิตอยู่มาหกสิบกว่าปี ไม่เคยเห็นเสบียงอาหาร เยอะแยะมากมายขนาดนี้มาก่อน

เมื่อคิดถึงคนในครอบครัวที่ต้องอดอยาก เขาก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา

โจวกุ้ยหลานปล่อยให้พวกเขาระบายอารมณ์ตามใจ ช่วงที่ผ่านมาพวกเขาใช้ชีวิตอย่างหวาดวิตก เอาแต่คิดว่าตนเองจะไม่มีข้าวกินแล้ว คงต้องอดตายแน่ๆ

รอจนกระทั่งทุกคนปรับอารมณ์กลับมาเป็นปกติแล้ว นางจึงพูดขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้เกรงว่าถ้ามีคนรู้แล้วจะมาปล้นเสบียงอาหาร ที่บ้านพวกเราไป ก็ดี ตอนนี้พวกเราต่างก็อยู่บ้าน มีคนมาคอยช่วยสอดส่องดูแล ก็ไม่รู้สึกกลัวแล้ว”

โจวต้าซานขยี้ตาตนเอง น้ำเสียงยังคงแฝงด้วยแววสะอื้น “ดี กุ้ยหลานเจ้าเป็นคนดี ดีๆๆ”

ครอบครัวนี้ถ้าไม่ได้กุ้ยหลานคงอดตายกันไปนานแล้ว เขาที่เป็นลุงใหญ่ ก็ได้แต่เป็นภาระหลานสาวคนนี้

“ท่านลุงใหญ่ เสบียงอาหาร เหล่านี้พวกเราขนขึ้นไปให้หมด เตรียมไว้พรุ่งนี้จะได้สะดวก”

โจวต้าซานพยักหน้ารับ โจวกุ้ยหลานให้พวกเขาขนเสบียงอาหาร ส่วนนางก็ลงจากภูเขาไป ไปคุยกับหลิวเกาที่กำลังสอนหนังสือเด็กๆเรื่องที่จะเขียนข้อตกลงในวันพรุ่งนี้ เขารับปากทันที นี่ก็ทำให้โจวกุ้ยหลานประหลาดใจอยู่บ้าง

“นี่ท่านไม่คิดว่าข้าฉวยโอกาสขึ้นราคา หวังร่ำรวยในช่วงวิกฤติหรือ”โจวกุ้ยหลานถามหลิวเกา

หลิวเกาส่ายหน้า เอ่ยอย่างจนใจว่า “ถ้าหากไม่มีเสบียงอาหาร ของเจ้า พวกเขาก็คงไม่มีทางรอด เจ้ากำลังทำความดี อีกอย่าง ข้ากับหลิวอ้ายยังกินอาหารจากเจ้าอยู่เลย”

พูดถึงเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกซาบซึ้งในตัวโจวกุ้ยหลานมาก