หลังจากหลู่จิ้งจงนั่งลง สีหน้าก็ผ่อนคลายขึ้น เขายิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เจ้าสำนักอาจทราบว่าพรรคมารของพวกเราสืบทอดแยกออกจากกันเป็นสามสาย”
คนด้านหลังม่านเปิดปากพูด “ไม่ผิด จากที่ข้ารู้มา พรรคมารแบ่งออกมาเป็นสามสาย ได้แก่เพลิงสุริยา จันทราเหมันต์ และเร้นดารา ประมุขพรรคมารคนปัจจุบันมาจากนิกายสุริยา ส่วนท่านหลู่ ท่านเป็นผู้อาวุโสจากนิกายจันทรา ศิษย์นิกายสุริยาวรยุทธ์ล้ำเลิศ คนนิกายจันทราถนัดวางแผนการ ส่วนเร้นดารามิพบผู้สืบทอดมาหลายปีแล้ว”
หลู่จิ้งจงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าสำนักรู้ละเอียดดังคาด นับแต่โบราณพวกเราพรรคมารมีคำกล่าวสืบทอดกันมาว่า ‘ฟ้าดินโกลาหล สุริยาปรากฏ จันทราเกื้อหนุน ดาราเฝ้าพิทักษ์’ เจ้าสำนักเข้าใจความนัยของคำกล่าวหรือไม่”
เดิมทีสตรีนางนั้นนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้พับ เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ก็ลุกขึ้นยืนแล้วเยื้องย่างออกมาจากหลังม่าน จากนั้นเอ่ยเสียงราบเรียบ “คงหมายความว่ายามแผ่นดินวุ่นวาย ศิษย์สำนักสุริยาจะลุกฮือขึ้นก่อการกบฏ ส่วนศิษย์สำนักจันทราเช่นท่านก็จะเป็นกุนซือเกื้อหนุนนิกายสุริยาสินะ แต่ว่า ‘ดาราเฝ้าพิทักษ์’ นี่หมายความเช่นไร หมายความว่าปกปักษ์นิกายสุริยาหรือ ไม่ถูกต้องสิ นิกายสุริยาวรยุทธ์กล้าแกร่ง ไยต้องการคนปกป้อง หรือจะบอกว่านิกายดาราจะหลบเร้นมิปรากฏตัวก็มิถูกต้องอีก นิกายดาราของพวกเจ้าเคยได้ยินเพียงชื่อ มิเคยพบผู้สืบทอด ข้าสับสนแล้ว ขอท่านหลู่บอกตามตรงเถิด”
หลู่จิ้งจงเอ่ยอย่างนับถือ “เจ้าสำนักเดาได้ใกล้เคียงแล้ว แต่ยังมีจุดที่คลาดเคลื่อนไปบ้าง ปณิธานของพรรคมารเราคือทำเพื่อปวงประชาในใต้หล้า ฟ้าดินไร้เมตตาเห็นสรรพสิ่งเป็นเพียงเครื่องบูชา จักรพรรดิไร้เมตตาเห็นปวงประชาเป็นเพียงสิ่งไร้ค่า พรรคมารของข้าจึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อท้าทายต่ออำนาจ
ด้วยเหตุนั้นทุกครั้งที่ราชสำนักฟอนเฟะ สำนักมารของเราย่อมปรากฏตัว ทำให้โลกอันโกลาหลแห่งนี้ยิ่งสับสนวุ่นวายยิ่งดี กวาดล้างชนชั้นสูงผู้มีอำนาจเหล่านั้นให้ราบ ศิษย์นิกายสุริยาย่อมเป็นแม่ทัพหัวหอกแนวหน้า ศิษย์นิกายจันทราของข้าเป็นกุนซือคอยสนับสนุน พวกเราแต่ละคนมักจะเลือกสนับสนุนเจ้านายต่างคนกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมทำให้พวกเขาเข่นฆ่ากันเองได้ ครานี้ผู้ชนะที่เหลือรอดมาย่อมเต็มไปด้วยบาดแผลจนทำได้แต่ให้ประชาชนหยุดพักใช้ชีวิต นี่คือความตั้งใจของท่านบรรพจารย์
ส่วนนิกายดาราเป็นนิกายลึกลับที่สุดในพรรคมาร เรื่องราวของพวกเขาแม้แต่พวกเราก็มิล่วงรู้ ดังนั้นจึงมิอาจอธิบายแก่เจ้าสำนักได้ แต่ยามนี้สถานการณ์ผิดจากที่คาด เริ่มแรกเมื่อจิงอู๋จี๋ศิษย์นิกายสุริยาขึ้นนั่งตำแหน่งประมุขพรรคมาร เขาสนับสนุนหยางเหล่าเซิงเต็มกำลังแต่กลับพ่ายแพ้ ทว่าพวกเรานิกายจันทราแต่ละคนยังทำงานอยู่ในราชสำนัก ดังนั้นจึงยังรักษากำลังไว้ได้อยู่ วันนี้จิงอู๋จี๋หนีไปไกลถึงเป่ยฮั่นก็ยังต้องการสร้างความลำบากให้ต้ายงต่อเพื่อผลาญกำลังของต้ายง แต่มนุษย์คนใดมิมีกิเลสเห็นแก่ตัว พวกเราศิษย์นิกายจันทราที่เหลืออยู่ในต้ายงเหล่านี้สละอำนาจความมั่งคั่งในยามนี้ไม่ลงจริงๆ และไม่ยินดีมองนิกายสุริยากดหัวพวกเรา พวกเรายินดีร่วมเสพลาภยศกับเจ้าสำนัก สนับสนุนรัชทายาทครองบัลลังก์ ถึงเวลาไยมิใช่สองฝ่ายต่างสมประสงค์”
สตรีนางนั้นครุ่นคิคครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “เจ้าพูดมีเหตุผล มีเจ้าอยู่ แม้รัชทายาทหวาดกลัวพวกเรา แต่ก็กล้าวางมือให้พวกเราดำเนินแผนการ แม้เจ้ากับข้าจะยืนอยู่คนละฝั่งแต่กลับได้ประโยชน์ร่วมกัน เอาเถิด พวกเราจะไม่เปิดโปงตัวตนของพวกเจ้า เรื่องในวันนี้ถือเสียว่าไม่เคยเกิดขึ้น”
หลู่จิ้งจงเอ่ยสีหน้าจริงจัง “แต่ยามนี้เจ้าสำนักคงคิดทิ้งรัชทายาทแล้วสินะ”
สตรีนางนั้นครุ่นคิดชั่วครู่แล้วเอ่ยอย่างเฉยเมย “ข้ามิปรารถนาจะปิดบัง รัชทายาททำตัวเหิมเกริมกระทำชั่วช้า หากพวกเราสนับสนุนเขา เกรงว่าชื่อเสียงคงเสียหาย พรรคมารของพวกเจ้าทำเช่นนั้นได้ แต่พวกเราทำเช่นนั้นมิได้”
หลู่จิ้งจงหัวเราะ “โบราณกล่าวว่าแต้มลายบนไหมมิสู้มอบถ่านกลางหิมะ หากพูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อยก็คือยามนี้ยงอ๋องมิจำเป็นต้องใช้ท่าน”
สตรีนางนั้นถอนหายใจ “อย่างไรก็ต้องลองดูสักครั้ง ไม่ว่าอย่างไร ยงอ๋องก็มีคุณสมบัติเป็นจักรพรรดิผู้ปรีชา หากเขายอมให้เกียรติสำนักเรา ถ้าเช่นนั้นสำนักเราก็ยินยอมพร้อมใจสละ”
หลู่จิ้งจงหัวเราะเบาๆ “แต่พวกเราจะสนับสนุนรัชทายาทแน่นอน หากเจ้าสำนักตัดสินใจสนับสนุนรัชทายาทด้วย ข้ากลับมีวิธีการหนึ่งปกป้องรัชทายาทได้”
สตรีนางนั้นหัวเราะหยัน “ยังมีสิ่งใดอีก จะใส่ร้ายว่ามีคนให้ร้ายรัชทายาทหรือ”
หลู่จิ้งจงไม่มีอายสักนิด เอ่ยว่า “เป็นเช่นนั้น ข้าส่งคนแฝงเข้าไปในกลุ่มองครักษ์ที่จักรพรรดิส่งมาสืบสวนแล้ว พวกเขาจะบอกว่าชาโสมที่รัชทายาททรงดื่มในวันนั้นถูกคนใส่ยาปลุกกำหนัดลงไป ด้วยเหตุนี้รัชทายาทจึงพระสติเลอะเลือน ส่วนฉุนผินกังวลว่าวันหน้าตนจะเปลี่ยวเหงา ก่อนหน้านี้จึงเคยยั่วยวนรัชทายาทอยู่หลายครั้ง ทั้งยังซื้อตัวองครักษ์ข้างกายรัชทายาทไว้เพื่อส่งจดหมายรักและผ้าเช็ดหน้าแทนใจ ดังนั้นหลังจากรัชทายาทสูญเสียพระสติจึงเสด็จไปยังตำหนักหันเซียง เมื่อเป็นเช่นนี้จักรพรรดิย่อมไปสืบหาว่าผู้ใดใส่ยาปลุกกำหนัด กลับกันจะไม่ตำหนิรัชทายาทมากนัก”
สตรีนางนั้นหัวเราะเย็นชา “เจ้าคิดจะโยนเรื่องนี้ใส่ยงอ๋อง เกรงว่าคงมิง่ายเช่นนั้น”
หลู่จิ้งจงหัวเราะหยัน “ไม่ว่าจักรพรรดิสงสัยผู้ใดก็จะไม่ทรงปลดรัชทายาทตอนนี้ เมื่อนานเข้าเรื่องนี้ย่อมถูกลืมเลือน อีกประการหนึ่ง ตอนนี้จักรพรรดิอายุมากแล้ว ขอเพียงถ่วงเวลาได้อีกหนึ่งปีครึ่ง ข้าคิดว่าคงเพียงพอแล้ว”
สตรีนางนั้นเงียบอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “หากข้าตัดสินใจแล้วจะแจ้งเจ้า เจ้าทำให้เต็มกำลังก่อนเถิด”
หลู่จิ้งจงลุกขึ้นขอตัวแล้วเอ่ยว่า “เจ้าสำนักมิต้องคิดมาก ยงอ๋องเก่งกาจมีปณิธาน ไฉนเลยจะทนให้มีคนขัดขวาง เจ้าสำนักเมตตาสรรพชีวิตในใต้หล้า หวังจะยืมมือจักรพรรดิองค์ใหม่แก้ไขบ้านเมือง แต่ในสายตาของผู้อื่น นั่นคือการแย่งชิงแผ่นดินตระกูลหลี่ของพวกเขา”
เจ้าสำนักเฟิงอี้ถอนหายใจเบาๆ แต่ไม่พูดอันใด
หลังจากหลู่จิ้งจงจากไป เหวินจื่อเยียนก็ก้าวเข้ามาเอ่ยว่า “อาจารย์ ท่านเชื่อพวกเขาหรือ คนของพรรคมารล้วนเป็นพวกสับปลับปลิ้นปล้อน”
สตรีนางนั้นเอ่ยอย่างเย็นชา “แม้พวกเขาปลิ้นปล้อน แต่ก็ใช้งานได้ ให้พวกเขาแบกรับชื่อเสียงเลวทรามเพิ่มมีอันใดไม่ดี รอหลังจบเรื่องแล้วย่อมบอกว่าพวกเขายุงยงรัชทายาท สังหารพวกเขาให้หมดสิ้นได้อย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ถึงเวลายังมีผู้ใดแย่งชิงใต้หล้ากับพวกเราได้อีก ศิษย์น้องเหล่านี้ของเจ้าแต่ละคนหยิ่งผยองเอาแต่ใจ ทำการทำงานไม่สำเร็จต้องคอยให้ตามล้างตามเช็ด ครั้งนี้ข้ามาคุมด้วยตัวเอง ข้าก็อยากดูสิว่าผู้ใดจะพลิกแผ่นฟ้าได้”
เหวินจื่อเยียนเอ่ยจากใจจริง “เจ้าสำนักทรงอำนาจ มาถึงแล้วต้องทำการสำเร็จเป็นแน่”
สตรีนางนั้นเอ่ยอย่างเฉยเมย “จะประมาทมิได้ พวกเราพลาดเพราะยงอ๋องมาหลายครั้งแล้ว ครานี้จะทำเสียเรื่องมิได้อีก หลังจากข้าไปพบเขา หากเขายังไม่รู้จักดูสถานการณ์อีกก็อย่าโทษว่าข้าไร้ไมตรี จื่อเยียน ข้ามิได้หลงใหลอำนาจ ทว่าข้ามิวางใจมอบแผ่นดินให้ผู้อื่น ไม่ว่าครอบครัวใด ตระกูลใด หรือราชวงศ์ใดล้วนรุ่งเรืองเพียงชั่วพริบตา มอดมลายเพียงชั่วข้ามคืน ข้าปรารถนาให้สำนักเฟิงอี้ควบคุมราชสำนักอยู่เบื้องหลังทุกยุคทุกสมัย ให้ประชาชนสงบสุข มิต้องทุกข์ทนเพราะกลียุคอีกต่อไป เจ้าเป็นศิษย์รักของข้า ทว่าน่าเสียดายเจ้าด้อยในกลอุบาย มิเช่นนั้นข้าคงส่งต่อตำแหน่งเจ้าสำนักให้เจ้า ให้เจ้าสืบทอดงานใหญ่ของข้าแล้ว”
เหวินจื่อเยียนเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “อาจารย์ ไม่ว่าท่านส่งต่อตำแหน่งเจ้าสำนักให้ผู้ใด ศิษย์ล้วนเคารพบัญชาของอาจารย์ ศิษย์จะจับตามองการกระทำของพวกนาง หากทรยศต่อคำสั่งสอนของอาจารย์ ศิษย์จักเอาชีวิตของนางแน่นอน”
เจ้าสำนักเฟิงอี้พยักหน้าอย่างพอใจ “ข้ายังไม่ได้ตัดสินใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็คือขุนนางตรวจการผู้มีตำแหน่งสูงส่ง วรยุทธ์ที่ข้าตรากตรำบ่มเพาะมาหลายปีล้วนมอบให้เจ้า เจ้าจงทำงานให้ดี ทำก้าวแรกของการใหญ่ครานี้ให้สำเร็จก่อนจึงจะเป็นเรื่องสำคัญ”
เหวินจื่อเยียนขานตอบอย่างยินดี “ศิษย์น้อมรับคำสั่งสอน”
เมื่อเซี่ยจินอี้ฟื้นจากการสลบ เขาก็เต็มไปด้วยความซาบซึ้งอย่างแท้จริง มีชีวิตรอดมาได้จริงๆ เจียงเจ๋อมิได้สังหารคนปิดปาก ตนหนีพ้นความตายมาได้จริงๆ เขาครวญครางออกมาคำหนึ่งแล้วลุกขึ้นนั่ง จากนั้นจึงเห็นว่าบนเก้าอี้ด้านข้างวางน้ำกับผ้าเอาไว้ เขากระโดดลงจากเตียงแล้วพบอย่างประหลาดใจว่าร่างกายไม่มีอาการผิดปกติ ยาพวกนั้นดีปานนี้เชียวหรือ เขาล้างหน้าอย่างรวดเร็วแล้วสวมเสื้อตัวบางที่เตรียมไว้ด้านข้าง หลังจากนั้นจึงมองประตู ตัดสินใจไม่ได้ว่าตนเองต้องออกไปหรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรฐานะของตนเองในตอนนี้ก็กระอักกระอ่วน เป็นสายลับมิได้เพราะตนเองกลายเป็น ‘คนตาย’ คนหนึ่งแล้ว หนทางจัดการที่สะดวกที่สุดก็คือสังหารตนเสีย ทว่าในเมื่อพวกเขาเปลืองแรงช่วยตนมาก็น่าจะไม่สังหารคนปิดปากกระมัง ขณะที่กำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่ ชื่อจี้ที่ตนเคยพบหน้าสองครั้งก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นเซี่ยจินอี้กำลังนั่งงงอยู่ สายตาก็ฉายแววประหลาดใจเบาบาง แล้วเอ่ยปากว่า “พี่เซี่ยช่างมีพื้นฐานดีจริง บาดเจ็บหนักทั้งยังถูกพิษเล่นงาน แต่ยังมีกำลังวังชาเต็มเปี่ยม”
เซี่ยจินอี้ฉุกใจคิดถามว่า “อะไรกัน มิใช่ผลจากยาของใต้เท้าหรือ”
ชื่อจี้มองเขาแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้คุณชายมิได้บอกไว้ คุณชายบอกว่าพักนี้สถานการณ์ไม่มั่นคง ขอให้คุณชายเซี่ยอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง รอสถานการณ์โดยรวมสงบแล้วค่อยมาพบหน้าคุณชาย”
เซี่ยจินอี้ตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “ล้วนทำตามคำสั่ง มิทราบว่าข้าไปไหนมาไหนได้อิสระหรือไม่”
ชื่อจี้ตอบว่า “ภายในเรือนหลังนี้คุณชายเดินไปมาได้ตามใจ แต่อย่าออกไปด้านนอก หลังสถานการณ์สงบ คุณชายย่อมตัดสินใจได้เองว่าจะจากไปหรืออยู่ต่อ มิทราบว่าท่านมีงานอดิเรกอันใดหรือไม่ ชื่อจี้จะตระเตรียมแทนท่าน มิให้ท่านอยู่ว่างจนเบื่อหน่าย”
เซี่ยจินอี้หัวเราะ “ชีวิตสบายเช่นนี้ ข้าปรารถนานัก หากมิติดขัด โปรดนำพวกตำราบทเพลงกับขลุ่ยสักเลามาให้ข้าเถิด”
ชื่อจี้เอ่ยว่า “สิ่งเหล่านี้มีอยู่ภายในเรือนครบแล้ว ภายในห้องหนังสือด้านข้างมีตำราหลากหลายชนิดให้อ่าน เรือนหลังนี้ตั้งอยู่ชานเมืองห่างไกล มิมีผู้ใดรบกวน ขอเพียงคุณชายไม่ออกไปข้างนอกย่อมปลอดภัยไร้กังวล”
เซี่ยจินอี้เอ่ยอย่างนิ่งสงบ “ข้าเป็นคนตายคนหนึ่ง ใครจะสนใจข้า น้องชายโปรดบอกต่อใต้เท้าว่า ข้าเซี่ยจินอี้ยินดีน้อมรับคำสั่ง มิแปรเปลี่ยนเป็นอื่นแน่นอน”
ชื่อจี้เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คุณชายสั่งลงมาแล้ว พวกเราจะดูแลคุณชายเซี่ยมิให้บกพร่องแน่นอน”
เซี่ยจินอี้ยิ้มน้อยๆ ชีวิตของเขาเคยผ่านความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงมาแล้วย่อมมองทุกสิ่งทะลุปรุโปร่ง ขอเพียงความปรารถนาเป็นจริงได้ ต่อให้ตายยังไม่เสียดาย ฉะนั้นย่อมไม่จู้จี้กับสิ่งตอบแทนอันใด
ตอนต่อไป