ในเวลานี้ที่จวนยงอ๋อง ความวุ่นวายเริ่มก่อตัวขึ้น รัชทายาทจู่ๆ ก็เกิดเรื่อง ยงอ๋องย่อมเรียกผู้ใต้บังคับบัญชาเข้ามาหารือ เพราะเรื่องสำคัญยิ่ง ภายในโถงบุปผา กวนซิว ต่งจื้อและโก่วเหลียน สามยอดอัจฉริยะใต้บัญชาของยงอ๋องจึงมากันพร้อมหน้า ซือหม่าสยงไปคุมกองทัพองครักษ์ แต่จิงฉือกับจ่างซุนจี้ล้วนมาประชุม ที่ปรึกษาคนอื่นกับแม่ทัพคนสนิทของยงอ๋องล้วนนั่งอยู่ซ้ายขวา แม้แต่เจียงเจ๋อที่แทบจะมิเคยเข้าร่วมการประชุมก็มาเข้าประชุมอย่างมิเคยเป็นมาก่อน เขานั่งจิบชาถัดลงมาจากยงอ๋องอย่างสบายอารมณ์
ทุกคนมิมีผู้ใดไม่ดีใจระริกระรี้ หลายปีที่ผ่านมาถูกรัชทายาทกดไว้ ยงอ๋องเอาแต่อดกลั้น แม้พวกเขารู้ว่าจำต้องทำเช่นนี้แต่ก็ยากจะไม่ขุ่นเคือง ยามนี้รัชทายาทถูกกักบริเวณ หากผลักดันให้เรื่องใหญ่จนปลดรัชทายาทสำเร็จ ไยมิใช่การใหญ่สำเร็จแล้ว ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาหารือกันล้วนเป็นเรื่องที่ว่าจะเติมน้ำมันเข้ากองไฟเช่นไร ข้ายิ้มตาหยีฟังอยู่ด้านข้าง ไม่แสดงความคิดเห็นทั้งสิ้น หลี่จื้อส่งสายตามาหลายครั้ง ข้าล้วนแสร้งทำเป็นไม่เห็น ตอนนี้ไม่ให้พวกเขาได้ระบายโทสะสักหน่อย มิใช่รนหาความยุ่งยากหรือไร
แม้หลี่จื้อเองคิดว่านี่เป็นโอกาสดีครั้งหนึ่ง แต่เขารู้สึกว่าบางอย่างผิดปกติ ราวกับว่าหากทำเช่นนี้จะเกิดปัญหา ดังนั้นจึงยิ่งหวังว่าเจียงเจ๋อจะเอ่ยความคิดเห็นของตนเองออกมา ทุกคนถกเถียงกันอยู่นาน ล้วนแต่อภิปรายว่าจะยื่นฎีการ้องเรียนรัชทายาทเช่นไร ขณะที่กำลังถกกันอย่างคึกคัก ทันใดนั้นเสียงตวาดเกรี้ยวกราดก็ดังมาจากด้านนอก “ผู้ใด”
ทุกคนตกตะลึง มีคนบุกเข้ามาในห้องโถงประชุมได้เช่นไร จ่างซุนจี้กับจิงฉือแลกสายตากัน จิงฉือเดินไปที่ประตูห้องโถงแล้วผลักประตูเปิด จึงเห็นสตรีสวมชุดชาวบ้านพกกระบี่ยาวผู้หนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนัก สีหน้าของนางเรียบเฉย ผ่อนคลายคล้ายอยู่ในอาณาเขตของนางเอง แม้ถูกองครักษ์ล้อมเอาไว้แต่ไม่มีสีหน้าหวาดกลัวแม้แต่น้อย จิงฉือเห็นสตรีนางนี้ก็ตกตกลึงก้าวเข้าไปคำนับเอ่ยว่า “ที่แท้เทพธิดาเหวินมาเยือน มิทราบมีธุระอันใด ทำให้ท่านเทพธิดาบุกเข้ามาในจวนยจงอ๋อง”
สตรีนางนั้นมองจิงฉืออย่างเย็นชา แล้วเอ่ยว่า “เจ้าสำนักกำลังสนทนาอยู่กับพระชายาที่ด้านหลัง หากองค์ชายสนพระทัย เจ้าสำนักขอเชิญองค์ชายไปพบหน้ากันด้านหลัง”
จิงฉืออึ้งงัน เขาหันกลับไปมอง ผู้คนในห้องโถงยามนี้ล้วนได้ยินเสียงของเหวินจื่อเยียน พวกเขาต่างมองหน้ากัน หลี่จื้อสีหน้าเคร่งขรึมเดินออกจากประตูห้องโถงมาแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะไปคารวะเจ้าสำนักเดี๋ยวนี้” เขามองเจียงเจ๋อแวบหนึ่ง สายตาฉายแววลังเลจางๆ
ข้าเอ่ยเสียงนิ่งสงบ “ขออนุญาตกระหม่อมติดตามไปด้วย ได้พบหน้าเจ้าสำนักเฟิงอี้ ช่างเป็นโชคดีของข้า”
ยามนี้เสี่ยวซุ่นจื่อปรากฎตัวขึ้นไม่ไกล เขามองเหวินจื่อเยียนอย่างมาดร้าย เหวินจื่อเยียนสบตาเขาอย่างยอมถอยสักนิด ดวงตาสี่ดวงสบกัน ไอเย็นยะเยือกแผ่ไปรอบด้าน
ข้าคำนับยงอ๋องแล้วเอ่ยว่า “องค์ชาย โปรดให้เสี่ยวซุ่นจื่อติดตามไปรับใช้ อีกอย่างหนึ่งให้จิงฉือรีบไปสวนเหมันต์เชิญปรมาจารย์ซือเจินไปพบเจ้าสำนัก”
ดวงตาของเหวินจื่อเยียนทอประกายเย็นเยียบประหลาดวูบหนึ่ง นางรู้ว่าปรมาจารย์ซือเจินมายังฉางอันแล้ว แต่มิทราบว่าซือเจินมาพักอยู่ที่จวนยงอ๋อง เรื่องนี้ก็มิแปลก ร่องรอยของปรมาจารย์ซือเจินไฉนเลยคนธรรมดาจะติดตามได้
ภายในศาลาที่ครอบครัวของท่านอ๋องมักจะมานั่งเล่น มีสตรีสวมอาภรณ์สีขาวโพลนสวมผ้าโปร่งปิดบังใบหน้าผู้หนึ่งยืนเอามือไพล่หลังอยู่ นางเงยหน้ามองทะเลสาบน้อยทอประกายไหวๆ ที่อยู่ไม่ไกล พระชายาของยงอ๋องเกาซื่อพาชายารองสองนางมายืนรอรับใช้อยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม ใต้ต้นไม้ไม่ไกล บุตรีทั้งสองของยงอ๋องกำลังเล่นสนุกอยู่กับเจียงโหรวหลัน เดิมทีพระชายาอยากให้เด็กๆ ออกไป แต่ถูกสตรีนางนั้นห้ามไว้ นางมิกล้าขัดขืน นางรู้ความเป็นมาของสตรีนางนี้ ต่อให้สามีของตนมาถึงก็ต้องคารวะตามมารยาทของผู้ด้อยอาวุโสกว่า
บุตรีทั้งสองของยงอ๋องถึงอย่างไรก็เป็นคนในราชวงศ์ พวกนางย่อมรับรู้ว่าสถานการณ์ผิดแปลกจึงระวังตัวขึ้นเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้ ทว่าโหรวหลันได้รับความเอ็นดูมาตลอดจึงไม่ระวังตัวเช่นนั้น ตรงกันข้าม นางกลับวิ่งไปวิ่งมาไล่ตามลูกหนังสำหรับใช้เล่นชู่จวี[1]อย่างสนุกสนานอย่างยิ่ง การเล่นชู่จวีเดิมทีก็เป็นการแข่งกันว่าใครจะเตะได้พิสดารน่าดูกว่า แต่โหรวหลันอายุยังน้อย ด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจเตะเช่นนั้นได้ ทำได้เพียงวิ่งไปวิ่งมาเตะลูกบอล
สตรีอาภรณ์สีหิมะมองแล้วนึกสนใจ จึงแย้มรอยยิ้มถามว่า “เด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้เป็นธิดาของผู้ใดหรือ” สายตาจับบนร่างของเกาซื่อ พระชายายงอ๋องยอบกายคำนับตอบว่า “เรียนท่านเจ้าสำนัก เด็กน้อยผู้นี้เป็นธิดาบุญธรรมของเจียงเจ๋อซือหม่าประจำจวน ท่านอ๋องรับสั่งหม่อมฉันให้ดูแลแทน”
สตรีอาภรณ์ขาวแววตาไหววูบ เอ่ยว่า “ช่างเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่ฉลาดเฉลียวน่ารักน่าชัง หายากจริงๆ”
พระชายายงอ๋องแย้มรอยยิ้มเอ่ยตอบ “ท่านเจ้าสำนักกล่าวถูกต้อง ท่านผู้สูงศักดิ์ในวังหลายท่านล้วนชมชอบเด็กน้อยผู้นี้ยิ่งนัก แม้นางอายุน้อย แต่กลับรู้ความทั้งที่ไร้เดียงสา เข้าใจความกลัดกลุ้มของผู้คนแต่ก็ซุกซนอยู่บ้าง มักจะลากบิดาของนางมาเป็นม้าให้ขี่อยู่บ่อยครั้ง” เล่าถึงตรงนี้ก็อดกลั้นมิไหว แย้มรอยยิ้มเล็กน้อย
สตรีอาภรณ์สีหิมะขยับยิ้มจางๆ เช่นกัน คิ้วเรียวยาวของนางเดิมทีมีไอสังหารแฝงอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อแย้มรอยยิ้ม ดวงหน้าก็อ่อนโยนขึ้นหลายส่วน ดวงตาเป็นประกายดุจดวงดาราที่มองทะลุเรื่องราวทั้งหลายในโลก เผยกลิ่นอายอ่อนโยนสายหนึ่ง
หลังจากนั้น สายตาของนางจึงเคลื่อนไปจับไกลๆ ที่ตรงนั้นยงอ๋องหลี่จื้อกำลังเดินมาทางด้านนี้ หลังร่างเขามีบุรุษอาภรณ์สีเขียวผู้หนึ่งกำลังก้าวเดินอย่างเชื่องช้า หากมิใช่ว่าหลี่จื้อจงใจผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง เกรงว่าบุรุษผู้นั้นคงตามมิทันนานแล้ว แม้เป็นเช่นนี้ แต่คนผู้นั้นก็ยังเหงื่อผุดพรายบนหน้าผาก หลังร่างเขามีเด็กหนุ่มอาภรณ์สีเขียวเดินตามมา แม้ยังอยู่ไกล แต่ด้วยวรยุทธ์ของสตรีชุดขาวย่อมเห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง
เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี สีหน้าของยงอ๋องหลี่จื้อสุขุมขึ้นหลายส่วน ขณะที่ความแข้งกร้าวลดน้อยลงหลายส่วน แต่ความห้าวหาญเยี่ยงวีรบุรุษที่แผ่จากด้านในออกมายังด้านนอกนั่นกลับไม่ลดทอนลงแม้แต่น้อย ส่วนบบุรุษหนุ่มผู้นั้น หน้าตาสุภาพเกลี้ยงเกลา ท่วงท่าสง่างามสุขุมนั่นทำให้เขาไม่หม่นหมองเลือนรางแม้อยู่ท่ามกลางผู้คนพันหมื่น สุดท้ายเด็กหนุ่มอาภรณ์สีเขียวผู้นั้น แม้เขาแต่งกายด้วยชุดของบ่าวรับใช้ แต่ดวงตาเย็นยะเยือกคู่นั้นและท่วงท่าสง่างามที่ซ่อนเร้นอยู่ในทุกการเคลื่อนไหวกลับบรรเลงบอกความไม่ธรรมดา
สตรีอาภรณ์สีหิมะถอนหายใจเบาๆ หากมิใช่ยงอ๋องเก่งกล้าสามารถมีปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ การสนับสนุนเขาก็เป็นการตัดสินใจที่ดีจริงๆ ถ้าวันนี้ยงอ๋องยอมถอยก้าวหนึ่ง เช่นนั้นมิสู้ตนผลัดสายพิณเปลี่ยนทางรถเสียจะดีกว่า
ไม่นานยงอ๋องก็มาถึงเบื้องหน้า เขาก้าวเข้าไปคำนับเอ่ยว่า “หลี่จื้อคารวะท่านเจ้าสำนัก มิพบหน้ากันหลายปี เจ้าสำนักสบายดีหรือไม่”
มือเรียวงามของสตรีอาภรณ์ขาวแสร้งทำท่าประคองพลางตอบว่า “ยงอ๋องสุขสบายดีสินะ ข้าบังเอิญมาเมืองหลวง นึกถึงไมตรีที่เคยเกื้อหนุนกันในสนามรบครั้งอดีตจึงตั้งใจมาเยี่ยมเยียน”
ยงอ๋องเอ่ยอย่างนอบน้อม “เจ้าสำนักเปี่ยมไมตรี หลี่จื้อซาบซึ้งใจยิ่งนัก ท่านเจ้าสำนักได้พบเสด็จพ่อแล้วหรือไม่ หลายปีนี้เสด็จพ่อมักคิดถึงท่านเจ้าสำนักเสมอ ท่านมักตรัสว่าหากมิได้เจ้าสำนักยื่นมือช่วยเหลือคงไม่มีต้ายงของเราในวันนี้”
สตรีอาภรณ์ขาวยิ้มจาง จากนั้นหันไปมองเจียงเจ๋อแล้วเอ่ยว่า “ผู้นี้คือเจียงซือหม่าสินะ ข้าได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว วันนี้ได้พบหน้า ท่าทางมิธรรมดาจริงๆ”
ข้าก้าวเข้าไปคำนับแล้วเอ่ยว่า “ผู้เยาว์คารวะเจ้าสำนัก วันนี้ได้พบเจ้าสำนักเฟิงอี้ เป็นโชคดีของชีวิตสามชาติโดยแท้” ข้าพูดพลางก็มองสำรวจเจ้าสำนักเฟิงอี้ แม้ใบหน้าซ่อนอยู่หลังผืนผ้าโปร่ง แต่ความงามที่เหยียดมองใต้หล้าได้นั้นกลับถูกปิดบังไว้ไม่มิด ดวงเนตรสุกสกาวประหนึ่งดวงดาวคู่นั้นใสกระจ่างดั่งลำน้ำหนาวยามสารทฤดู มิมีห้วงอารมณ์ให้เห็นแม้สักนิด แต่กลับแฝงความเมตตาเลือนราง
เจ้าสำนักเฟิงอี้มองไปยังเสี่ยวซุ่นจื่อแล้วเอ่ยว่า “ผู้นี้คือเงามารหลี่ซุ่นสินะ ได้ยินว่าวรยุทธ์ของเจ้าไม่เลว”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบอย่างเย็นชา “บ่าวเป็นเพียงคนต้อยต่ำผู้หนึ่ง มิกล้ารับคำชมของเจ้าสำนัก”
เจ้าสำนักเฟิงอี้เอ่ยอย่างแฝงความนัย “คนต้อยต่ำเช่นเจ้านี้ เกรงว่าใต้หล้าคงมิมีสักกี่คนเรียกใช้งานได้”
กล่าวจบเจ้าสำนักเฟิงอี้ก็ยิ้มละไมแล้วเอ่ยว่า “ยงอ๋อง เจียงซือหม่า เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ข้าชมชอบยิ่งนัก หากพวกเจ้าไม่รังเกียจ ยกนางให้เป็นศิษย์ของข้าเถิด” กล่าวจบ นางก็ชี้ไปที่โหรวหลัน ข้ากับยงอ๋องนิ่งงันในทันใด
[1]ชู่จวี การละเล่นของจีนโบราณที่คล้ายฟุตบอลในปัจจุบัน
ตอนต่อไป