ภาค 3 บทที่ 103

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

บทที่ 103 ผู้คนล้วนมีอดีต
โดย
Ink Stone_Romance
บรรดาชาวบ้านคิดมากเกินไปฟังจนสับสน แต่แม่ทัพใหญ่เถียนที่ความคิดเรียบง่ายกลับเข้าใจอย่างยิ่ง

เพราะเขารู้ว่าตนเองต้องฟังอะไร ดังนั้นบนใบหน้าจึงเต็มไปด้วยความเสียดาย

ต้องเสียไปเช่นนี้แล้วหรือ?

“ใต้เท้าเถียนไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือเสียดาย” เหลยจงเหลียนเอ่ยขึ้น บนใบหน้าที่นิ่งสนิทมาเสมอปรากฏรอยยิ้ม “ข้าทำความปรารถนาในใจสำเร็จแล้ว นี่เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก แม้ต้องจ่ายราคาก็คุ้มค่าแล้ว”

นั่นก็ใช่ ในสนามรบสังหารศัตรูได้คนหนึ่ง ก็นับว่าตายไม่เสียดายแล้ว

แม่ทัพใหญ่เถียนยิ้มสบายอารมณ์แล้ว

“แต่อาจารย์เหลยแม้ท่านไม่อาจเข้าสนามรบด้วยตนเองได้ แต่ก็สั่งสอนบรรดาทหารได้นะ” เขาเอ่ยขึ้น “ท่านเป็นผู้ฝึกสอนคนหนึ่งได้นิ”

เหลยจงเหลียนพยักหน้า

“ใช่ข้าก็คิดไว้เช่นนี้เหมือนกัน แม้มือของข้าพิการแล้ว ไม่อาจควงหอกคู่เผชิญศัตรูได้แล้ว แต่ตัวข้ายังไม่พิการ ใจก็ยังไม่พิการ ข้ายังสั่งสอนศิษย์ได้ ถ่ายทอดหอกคู่ต่อไป” เขาเอ่ยขึ้น

ก่อนหน้านี้แขนของเขาเสีย คนทั้งคนก็เสียตามไปด้วย แต่ตอนนี้มือเสียไปจริงๆ แล้ว คนกลับยิ่งมีชีวิตชีวา

แม่ทัพใหญ่เถียนยินดียิ่ง

“ถ้าเช่นนั้นอาจารย์เหลยรีบไปกับพวกข้าเถอะ” เขาเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าของพวกเราขอหนังสือรับตำแหน่งจากเบื้องบนมาแล้ว อาจารย์ท่านมาก็จะได้รับตำแหน่งขุนนางครึ่งขั้นเก้าได้ทันที”

แม้เป็นขุนนางทหารครึ่งขั้นเก้าคนหนึ่ง แต่นั่นก็ยังเป็นขุนนาง คนมากน้อยเท่าไรทั้งชีวิตเป็นทหารก็ ไม่อาจได้มา

เหลยจงเหลียนผู้นี้ถึงกับได้คำมั่นเช่นนี้ จากประชาชนรากหญ้ากระโดดทีหนึ่งเป็นขุนนาง

ดวงตาของชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่เบิกกว้างแล้ว

นี่เป็นเรื่องดีงามขนมสอดไส้ร่วงลงมาจากฟ้าชัดๆ คนโง่ยังรู้จักรับไว้

เหลยจงเหลียนไม่ใช่คนโง่ แต่ยังคงไม่รับไว้ เขาคำนับเอ่ยขอบคุณ

“ขอบพระคุณใต้เท้าส่งเสริม ผู้แซ่เหลยยังคงไม่อาจรับคำสั่งได้” เขาเอ่ยขึ้น

แม่ทัพใหญ่เถียนผู้ตรงไปตรงมาทนไม่ไหวโมโหหงุดหงิดแล้ว

“ท่านก็เป็นคนฝึกยุทธ์ ลูกผู้ชายในยุทธภพคนหนึ่ง ทำไมปฏิเสธแล้วปฏิเสธเล่าพูดพร่ำต่อรองราคาเหมือนเช่นบัณฑิตพวกนั้นเล่า” เขาเอ่ยขึ้น “ก็ไม่กลัวบอกแก่เจ้า ขุนนางครึ่งขั้นเก้านี่เป็นขีดสุดที่ใต้เท้าของพวกข้าทำได้แล้ว ให้หนทางก้าวหน้าใหญ่กว่านี้ให้เจ้าไม่ได้แล้ว”

เหลยจงเหลียนไม่ได้โกรธ

“ใต้เท้าข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าไม่อาจรับคำสั่ง ประการที่หนึ่งหอกคู่ของข้าเหมาะกับการท่องยุทธภพต่อสู้ตัวต่อตัว ไม่เหมาะกับบรรดาทหารร่ำเรียน บรรดาทหารยังคงร่ำเรียนวิชาหอกที่เรียบง่ายหน่อยแต่ได้ผลจำนวนหนึ่งแล้วพิถีพิถันกับกระบวนทัพและการร่วมมือกันในสนามรบจะดีกว่า เช่นนี้เทียบกับหอกคู่ของข้ากลับร้ายกาจยิ่งกว่า” เขาเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจ

แม่ทัพใหญ่เถียนสีหน้าผ่อนคลายลง

“ท่านพูดก็ถูก” เขาเอ่ยขึ้น “ร่ำเรียนวิชาหอกของท่านต้องทุ่มเวลาและความตั้งใจมากยิ่งนัก ทหารเหล่านี้ของพวกเราไม่มีเวลาเช่นนี้จริงๆ แต่ท่านก็ทำให้วิชาหอกของท่านง่ายลงได้นี่ เช่นนี้ใช้กับกระบวนทัพการต่อสู้เป็นหมู่ต้องมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นแน่”

เหลยจงเหลียนขอบคุณอีกครั้ง

“ขอบพระคุณความเมตตาของใต้เท้า” เขาเงยหน้าขึ้น “นอกจากประการแรกแล้ว ยังมีที่สำคัญยิ่งกว่าอีกหนึ่งประการก็คือข้าต้องการทำอี้โหย่วสิงขึ้นมาอีกครั้ง จะได้ไม่ผิดต่ออาจารย์และเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่เสียไป”

พูดถึงตรงนี้เสียงก็ขมขื่นไปบ้าง

“ข้าให้พวกเขารอมาสิบสี่ปีแล้ว ไม่อาจรอต่อไปได้อีกแล้ว”

จงรักภักดีกตัญญูยึดถือธรรมเนียมคุณธรรม นี่เป็นความเชื่อที่แม่ทัพใหญ่เถียนเคารพเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่บีบบังคับคนให้ฝืนความเชื่อนี้ เอ่ยประโยคเคารพเหลยจงเหลียนอีกหลายประโยคก็ขึ้นม้าพาทหารเร่งรีบจากไปอย่างฉับไว

ชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่หน้าประตูรุมเข้ามา

“ตาเฒ่าเหลย จะเชิญเจ้าไปเป็นขุนนางจริงหรือ?”

“นี่เรื่องอะไรกัน? มือของเจ้าพิการจริงๆ แล้วหรือ?”

“เจ้าคือหอกคู่ดอกบัว? เจ้าเป็นหอกคู่ดอกบัวจริงๆ?”

คำถามนับไม่ถ้วนโถมเข้าใส่เหลยจงเหลียน เหลยจงเหลียนไม่ได้ตระหนกทำอะไรไม่ถูก แต่แปะประกาศรับสมัครลูกศิษย์ใบหนึ่งไว้นอกประตู หลังจากนั้นก็ปิดประตูดังปัง

ถึงกับไม่มีเจตนาจะคุยสักนิด

“เหลยจงเหลียนคนนี้ก็เป็นเช่นนี้” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยกับฟางอวี้ซิ่ว “คนแข็งทื่อยิ่งนัก ให้เขาทำอะไรเขาก็ทำอันนั้น ประโยคหนึ่งไม่ได้พูดถึงเขาก็จะไม่พูดเพิ่มสักประโยคไม่ทำเพิ่มสักก้าว”

“ให้เงินก็ไม่ได้?” ฟางอวี้ซิ่วตั้งใจเอ่ยถาม

ฟางเฉิงอวี่พยักหน้า

“ให้เงินก็ไม่ได้” เขาตอบอย่างตั้งใจ

ฟางอวี้ซิ่วเม้มปากยิ้ม

“คุณหนูจิ่วหลิงร้ายกาจจริงๆ นะ” นางถอนหายใจพูดออกมาอีกครั้ง

“ใช่ นางร้ายกาจมาก” ฟางเฉิงอวี่ก็ถอนหายใจตาม ดูชาวบ้านที่รวมตัวถกเถียงกันครึกครื้น บนหน้ารอยยิ้มยิ่งกดลึก “ทุกคนควรรู้ความร้ายกาจของนาง”

แม้เหลยจงเหลียนไม่ได้พูดเรื่องเกี่ยวกับเขาอย่างละเอียด แต่นี่ไม่ได้ขัดขวางเรื่องไม่ให้แพร่ออกไป อย่างไรนอกจากเหลยจงเหลียน ตระกูลฟางก็ยังมีผู้คุ้มกันคนอื่นเข้าร่วมด้วย

นักเล่านิทานหยางเฉิงดีใจอีกครั้งในทันที เสียเงินทองร่อนได้รายละเอียดของเหตุการณ์ตอนเผชิญการดักซุ่ม ฝ่ากับดับ โซเซผ่านสนามรบ โครงเรื่องของช่วงเวลาอันตรายแสดงพลังเช่นนี้ยิ่งดึงดูดคน พัดตลบไปทั้งเมืองทันที แย่งพื้นที่ซึ่งถูกคนหรู่หนานยึดครองไปคืนมาได้ใหม่อีกครั้ง

แม้นิทานเรื่องนี้ตัวเอกคือเหลยจงเหลียน แต่ภาพลักษณ์ของคุณหนูจวินกลับถูกเสริมให้เพิ่มความลึกลับและร้ายกาจ

คนมากมายรู้สึกว่าคุณหนูจวินที่ตนเองรู้จักคุ้นเคยที่แท้ไม่ใช่เช่นนี้ รอคอยยิ่ง อยากเห็นคุณหนูจวินตอนนี้นัก ทว่าน่าเสียดายที่คุณหนูจวินออกจากบ้านไปแล้ว

นี่ยิ่งยืนยันว่าการแต่งงานของคุณหนูจวินเป็นเรื่องหลอก

ไม่เช่นนั้นจะวิ่งวุ่นทุกแห่งตามใจเช่นนี้ได้อย่างไร นี่มีแต่ญาติที่มาเป็นแขกถึงจะเป็นเช่นนี้ได้ เป็นสะใภ้ของผู้อื่นย่อมไม่อิสระเช่นนี้

“คุณหนูจวินมีธุระสำคัญต้องทำ”

“ได้ยินมาว่าถูกเชิญไปรักษาโรค”

“ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน พวกเราช้าไปก้าวหนึ่งไม่ทันให้คุณหนูจวินตรวจโรคสั่งยาให้”

“คุณหนูจวินต้องกลับมาสิ รอคุณหนูจวินกลับมาพวกเราก็ไปลองดู”

“แต่คุณหนูจวินกลับมาเมื่อไรเล่า”

นายหญิงน้อยฟางคำเรียกนี้ค่อยๆ ไม่มีใครพูดถึง คนหยางเฉิงก็เริ่มเรียกขานว่าคุณหนูจวินหรือคุณหนูจิ่วหลิงตามความคุ้นชินของชาวหรู่หนาน นอกจากนี้ยังรอคอยการกลับมาของคุณหนูจวินอย่างกระตือรือร้นอีกด้วย

เทียบกับคนหยางเฉิงที่รอคอยคุณหนูจวินกลับมาด้วยความอยากรู้ คนตระกูลฟางกลับเป็นห่วงยิ่งกว่าว่าคุณหนูจวินไปถึงที่ใดแล้ว

“วันนี้ควรถึงที่ใดแล้ว…” ฟางเฉิงอวี่กางแผนที่มองด้านบนอย่างละเอียดหลายรอบ ถึงชี้จุดหนึ่งเอ่ยขึ้น

ฟางอวี้ซิ่วและฟางอวิ๋นซิ่วยังไม่ทันก้าวเข้ามาดูให้ละเอียด ฟางเฉิงอวี่ก็ส่ายศีรษะอีกครั้ง

“ไม่ถูก” เขาเอ่ย มือไหลเลื่อนไปบนแผนที่ “ควรเป็นที่นี่ จิ่วหลิงคุ้นเคยกับการเดินทางข้างนอก ครั้งนี้ไม่พาข้าตัวถ่วงคนนี้ไปด้วย นางต้องยิ่งเดินทางเร็วแน่นอน”

ฟางอวิ๋นซิ่วอดไม่ไหวหัวเราะขึ้น

“นางร้ายกาจขนาดนี้จริงหรือ อะไรก็รู้?” นางเอ่ยถาม

“แน่นอน…” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยตอบไม่ลังเลสักนิด “นางร้ายกาจมาก”

ฟางอวี้ซิ่วสะบัดพัดกลับไปนั่ง

“จำได้ว่าไม่นานก่อนหน้านี้น้องเล็กยังสาบานจากใจอยู่เลยว่าพี่สาวสองคนเป็นคนร้ายกาจที่สุด” นางเอ่ย “นี่เพิ่งนานเท่าไรกันหืม คนใหม่ก็เปลี่ยนคนเก่าแล้ว”

ฟางอวิ๋นซิ่วเม้มปากยิ้ม ฟางเฉิงอวี่มองข้ามไป

“พี่รอง คำพูดนี้ท่านไม่มีเหตุผล” เขาประหลาดใจและตั้งใจเอ่ยขึ้น “ใครบอกว่าผู้อื่นร้ายกาจแล้ว พวกท่านจะไม่ร้ายกาจแล้วเล่า?”

ฟางอวี้ซิ่วตะลึง ส่ายพัดยิ้มแล้ว

“มีเหตุผล…” นางเอ่ยขึ้น “ข้าผิดจริงๆ”

กำลังคุยเล่นกันอยู่ นายหญิงใหญ่ฟางเดินเข้ามา

“มีความสุขขนาดนี้?” นางหัวเราะเอ่ยขึ้น

วันนี้ในบ้านทุกที่ล้วนเป็นเสียงหัวเราะ บรรยากาศทั้งหมดล้วนเปลี่ยนเป็นความสุข

“กำลังดูว่าน้องสาวเดินทางไปถึงที่ไหนเจ้าค่ะ…” ฟางอวิ๋นซิ่วยิ้มตอบ

“เด็กคนนี้ตัวคนเดียวพาสาวใช้คนนั้นไปคนเดียว ช่างทำให้คนเป็นห่วงเหลือเกินจริงๆ…” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยขึ้น

“ท่านแม่ไม่ต้องกังวล น้องสาวแจ้งผ่านร้านแลกเงินกลับมาว่าเรียบร้อยดีทันท่วงทีเสมอ เห็นได้ว่ารู้สมควรอยู่มาก…” ฟางอวิ๋นซิ่วยิ้มเอ่ย

นายหญิงใหญ่ฟางดวงตามีรอยยิ้ม

“ใช่ รู้ความกว่าก่อนหน้านี้มากแล้วจริงๆ…” นางยิ้มเอ่ยขึ้น

ฟางอวิ๋นซิ่วยังต้องการพูดอะไร ฟางอวี้ซิ่วก็เอ่ยปากก่อนก้าวหนึ่ง

“ท่านแม่พวกเราควรไปตรวจบัญชีแล้ว ทุกวันนี้แม้มีเฉิงอวี่ทำงาน แต่พวกเราร่ำเรียนมานานปีขนาดนี้ก็ไม่อาจเสียเปล่าได้นะเจ้าคะ…” นางยิ้มเอ่ยขึ้น

นายหญิงใหญ่ฟางพยักหน้า

“แน่นอนว่าไม่ได้ พวกเจ้าพี่น้องคนน้อย ย่อมต้องประคับประคองกันและกัน…” นางเอ่ย

ฟางอวี้ซิ่วกับฟางอวิ๋นซิ่วคำนับขอตัว

“เป็นอะไร?” ฟางอวิ๋นซิ่วเดินออกมาก็เอ่ยถาม

แม้ความคิดในใจนางไม่มาก แต่ก็ไม่ใช่สังเกตสีหน้าไม่เป็น เห็นได้ชัดว่าฟางอวี้ซิ่วจงใจขอตัวออกมา

“ท่านแม่มีธุระจะพูดกับเฉิงอวี่…” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยขึ้น มองสาวใช้สองคนที่เดินออกมาด้านนอกประตูบานหนึ่ง “พวกเราไม่เหมาะอยู่”

มีเรื่องอะไรพวกนางไม่เหมาะจะอยู่? ฟางอวิ๋นซิ่วไม่เข้าใจอยู่บ้าง มองตามสายตาของฟางอวี้ซิ่วไป สีหน้าฉับพลันเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิงด้วยทันที

สาวใช้คนหนึ่งกำลังนำสาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามา สาวใช้ที่เดินอยู่ด้านหลังก้มศีรษะขลาดกลัว หลิงจือที่ไม่ได้เห็นมานานนั่นเอง

……………………………………….