บทที่ 104 ในสิบมีแปดเก้าสิ่งไม่สมหวัง
โดย
Ink Stone_Romance
ตั้งแต่ตอนนั้นที่จับภรรยารองซูออกมาได้ หลิงจือกับฟางจิ่นซิ่วก็ถูกคุมตัวไว้เหมือนกัน
เวลานั้นเพื่อล่อซ่งอวิ้นผิงออกมาจึงประกาศออกไปว่าหลิงจือตั้งครรภ์แล้วถูกภรรยารองซูทำร้าย
แน่นอนว่าวันนี้คนในบ้านล้วนรู้แล้วว่าหลิงจือท้องหลอก
แต่ท้องหลอกๆ นี่เป็นนางยินยอมหรือว่าถูกจัดการไม่แน่ชัด ดังนั้นต่อมาจึงไม่ได้ดูแลนางดีๆ แต่ก็ไม่ได้ปฏิบัติแย่ๆ กับนาง เพียงหลงลืมนางไป
“อยู่ดีๆ พานางเข้ามาทำไม…” ฟางอวิ๋นซิ่วสีหน้ายุ่งเหยิงเอ่ยขึ้น
ฟางอวี้ซิ่วมองหลิงจือที่ก้มหน้าเดินเข้าไปในเรือนของฟางเฉิงอวี่
“เรื่องอย่างไรก็เกิดขึ้นแล้ว หลงลืมจะทำเป็นไม่มีอยู่ได้จริงๆ หรือ?” นางเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ก็คงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรน่ะ อย่างไรตอนแรกเรื่องก็เป็นเฉิงอวี่เขาก่อขึ้นมาเอง”
ใช่สิ เรื่องนี้ช่างทำให้คน…
“น้องเล็กก็จริงๆ เลย ทำไมถึง…” ฟางอวิ๋นซิ่วทั้งร้อนใจทั้งทอดถอนใจ
ฟางอวี้ซิ่วพรูลมหายใจ
“ใครจะรู้ภายหลังได้เล่า…” นางว่า
ใครจะรู้ว่าภายหลังคนที่ทำให้เขาเกลียดชังคนนั้นถึงกับกลายเป็นสมบัติล้ำค่าบนยอดดวงใจของเขา
ฟางเฉิงอวี่ตั้งแต่กลับมาก็เปล่งประกายจับตาไม่มีสิ่งใดทำไม่ได้มาตลอด แต่ไม่รู้ว่าเขามองเห็นหลิงจือจะหนักใจหรือไม่
คิดถึงตรงนี้ฟางอวี้ซิ่วก็อยากหัวเราะอยู่บ้าง
“ดังนั้นถึงพูดกันว่าเรื่องราวในชีวิตคนนี้ไม่มีงดงามสมบูรณ์พร้อม ในสิบมีแปดเก้าสิ่งไม่ได้ดั่งใจ…” นางเอ่ยขึ้น
ฟางเฉิงอวี่ในใจก็ผุดประโยคนี้ขึ้นมาเช่นกัน เมื่อเขามองเห็นหลิงจือยืนอยู่ตรงกรอบประตู
เขาไม่ได้หลงลืมเรื่องนี้ แล้วก็ไม่ได้คิดจริงๆ ว่าข้ามไปแบบนี้ต่อไปจะไม่ถูกยกขึ้นมาอีก เพียงแต่ตลอดมาไม่ไปคิดเท่านั้น
ก็ไม่อาจพูดได้ว่าไม่ไปคิด เขาเคยคิดมาหลายครั้ง หลายครั้งตอนที่มองเห็นคุณหนูจวินอยากพูดเรื่องนี้
ครั้งนั้นคุณหนูจวินบุกป่าฝ่าดงกลับมา เขาอ้างว่ามีธุระพูดกับนางหลอกนอนบนเตียงเดียวด้วยกันกับนางเหมือนเก่า ที่จริงไม่ใช่แสร้งมีข้ออ้าง เขาอยากพูดเรื่องนี้กับนาง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้เอ่ยปาก
ยังมีตอนที่คุณหนูจวินจะออกจากบ้านไปยังเมืองหลวง คุณหนูจวินถามเขาว่ายังมีเรื่องอะไรอยากถามอยากพูดอีก ที่จริงเขาก็คิดจะพูดเรื่องนี้อยู่นิดๆ แต่ก็…
ฟางเฉิงอวี่ถอนหายใจ คิ้วของเด็กหนุ่มขมวดกลัดกลุ้มลำบากใจ
พูดแล้วมีประโยชน์อะไร เรื่องก็ทำไปแล้ว ความเกลียดชังในอดีตก็เป็นของจริงเช่นกัน
มองฟางเฉิงอวี่ขมวดคิ้วถอนหายใจ นายหญิงใหญ่ฟางก็วิตกอยู่บ้าง
“เฉิงอวี่ ข้าไม่ได้จะมาให้เจ้าลำบากใจ…” นางครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “อย่างไรตอนแรกเจ้ากับหลิงจือ…”
คำพูดนี้พูดออกจากปากไม่ลงจริงๆ โชคดีที่ฟางเฉิงอวี่เห็นได้ชัดว่าไม่อยากฟังเหมือนกัน
“อา ใช่…” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยปากขัดนาง
ในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง บรรยากาศกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
“เฉิงอวี่ ข้าไม่ได้จะเพิ่มความหนักใจให้เจ้า…” นายหญิงใหญ่ฟางสูดหายใจลึกเอ่ยขึ้นเด็ดขาด
นางไม่ใช่มองไม่เห็นความชมชอบที่ฟางเฉิงอวี่มีต่อคุณหนูจวิน นางไม่ใช่เด็กน้อยไม่เดียงสาเรื่องโลก แล้วฟางเฉิงอวี่ก็ไม่ได้ปิดบังความรักชอบของตนเองสักนิด
“เพียงแต่ตอนที่นางยังไม่ได้ยกขึ้นมาพูด เจ้าก็ประกาศไปข้างนอกว่าเจ้ากับนางไม่ได้แต่งงานกัน การแต่งงานของพวกเจ้าเป็นเรื่องหลอก…” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยจึ้น “พวกเจ้าไม่ใช่สามีภรรยา พวกเจ้าเป็นเพียงพี่สาวกับน้องชาย ข้า ข้าไม่รู้ว่าในใจเจ้าคิดอย่างไร ดังนั้นเรื่องหลิงจือ ข้าก็ไม่กล้าตัดสินใจแทนเจ้าแล้ว…”
หากฟางเฉิงอวี่แสดงความต้องการออกมาชัดๆ ในฐานะมารดาคนหนึ่ง จัดการเรื่องเหลวไหลไร้สาระยามเยาว์วัยสักเรื่องแทนบุตรชายนั่นย่อมไม่มีอะไรง่ายดายและสมเหตุสมผลไปมากกว่านี้
นางมีร้อยวิธีทำให้หลิงจือหายไป แต่นางกลับไม่อาจทนให้บุตรชายมีความเสียใจแม้แต่น้อยในหัวใจ
ฟางเฉิงอวี่ยื่นมือมานวดใบหู
“ไม่ ไม่ ท่านแม่ ที่ท่านทำไม่ผิด…” เขาสูดหายใจลึกทีหนึ่งยิ้มเอ่ยขึ้น “นี่เดิมทีก็เป็นเรื่องของข้า จะให้ท่านแม่ตัดสินใจแทนข้า แบกรับผลที่ตามมาแทนข้าได้อย่างไร”
นายหญิงใหญ่ฟางมองฟางเฉิงอวี่ดีใจ หัวใจอบอุ่นจนจะละลายแล้ว ยื่นมือลูบหัวไหล่ของฟางเฉิงอวี่
นี่คือบุตรชายของนางล่ะ นี่คือบุตรชายที่ดีที่สุดในใต้หล้าล่ะ
“เรื่องนี้ท่านแม่ทำเช่นนี้ถูกต้องแล้ว…” ฟางเฉิงอวี่คล้องแขนนายหญิงใหญ่ฟางยิ้มเอ่ยขึ้น “มอบให้ข้าเถอะ ท่านทำให้สบายเป็นนายหญิงมีความสุขเถอะขอรับ”
นายหญิงใหญ่ฟางยิ้มจิ้มหน้าผากเขานิดหนึ่ง ตอนนี้ถึงมองตรงไปยังหลิงจือที่คุกเข่าอยู่ที่มุมประตู
“ถ้าอย่างนั้นข้าออกไปก่อน เจ้าก็ระวังเรื่องการพักผ่อน ร่างกายเพิ่งหายดีนะ พี่สาวของเจ้าก็บอกแล้ว เจ้ายังต้องค่อยๆ บำรุง…” นางว่า
เรื่องที่พี่สาวบอกย่อมต้องเชื่อฟัง ฟางเฉิงอวี่ยิ้มพยักหน้า
มองนายหญิงใหญ่ฟางจากไป รอยยิ้มบนหน้าของฟางเฉิงอวี่ก็ค่อยๆ หายไป ม่ายตงกับไป๋เสาเงยหน้าอย่างระวังระไวอยู่ด้านนอกประตู เหล่มองหลิงจือที่คุกเข่าอยู่บนพื้นทีหนึ่งเป็นพักๆ
หลิงจือไม่รู้ว่าหวาดกลัวหรือตื่นเต้น ทั้งร่างสั่นเทา
คืนนั้นที่เรื่องเกิดขึ้นคิดว่าตนเองตายแน่แล้ว คิดไม่ถึงมีชีวิตอยู่มาได้นานขนาดนี้ แต่มีชีวิตอยู่นี่ก็ทนทรมานจริงๆ
จนกระทั่งถูกนายหญิงใหญ่ฟางพาออกมา นางถึงรู้ว่าฟางเฉิงอวี่กลับมาแล้ว
นางตกใจจริงหวิดจะก้าวเดินไม่ออก แต่ก็ไม่กล้าอีก
ในใจนางยังหวังโชคดีอยู่น้อยนิด ตอนแรกคนเหล่านั้นไม่ได้บอกว่ามีคนเกิดสภาวะครรภ์หลอกได้หรือ อย่างไรนางก็ทำเรื่องใกล้ชิดขนาดนั้นกับนายน้อยแล้ว แม้ท้ายที่สุดไม่ได้ไปถึงขั้นสุดท้าย แต่นางยังเล็กย่อมไม่เข้าใจ คิดว่าลูบคลำใกล้ชิดจะตั้งครรภ์ก็ไม่แปลก
อีกอย่าง นายน้อยก็คงจะชอบนางด้วยล่ะมั้ง
หลิงจือคุกเข่าอยู่บนพื้นตั้งแต่เข้าประตูมาก็ไม่กล้าเงยศีรษะ ได้ยินเพียงเสียงพูดใสกังวานของเด็กหนุ่ม รวมไปถึงชายเสื้อที่สะบัดไหวตามการเดิน รองเท้างดงาม รวมถึงกลิ่นหอมสดชื่นจางๆ
นายน้อยก่อนหน้านี้นางชอบ นายน้อยเช่นนี้ตอนนี้นางย่อมยิ่งชอบ
นางอดไม่ได้ร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมา ฟุบศีรษะลงบนพื้น
ไป๋สาวม่ายตงด้านนอกประตูรีบหดกลับไปยืนดีๆ
“เจ้าออกไปเถอะ”
ราวกับผ่านไปเนิ่นนานแล้วก็ราวกับผ่านไปพริบตาเดียว เสียงของฟางเฉิงอวี่ก็เอ่ยขึ้น
ไม่ได้ดุด่าไม่ได้เอ่ยถามไม่มีอะไรทั้งสิ้น หลิงจือไม่รู้ควรทำอย่างไรอยู่บ้าง
หลังจากนั้นให้นางออกไป ออกไปไหน?
ไป๋เสา ม่ายตงอยู่ด้านนอกก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน
“นายน้อย…” หลิงจือในที่สุดก็รวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นเอ่ยเรียกเสียงเครือ
คำพูดเพิ่งออกจากปากก็ถูกฟางเฉิงอวี่เอ่ยขัด
“ออกไปเถอะ จัดห้องห้องหนึ่งให้นาง ไม่ต้องรับใช้ข้า…” เขาเอ่ย พูดจบคนก็หมุนตัวเข้าไปห้องด้านใน
หลิงจือเงยหน้าเห็นแต่แผ่นหลังเหยียดตรงสง่างามของนายน้อย
“เจ้ารีบไปเถอะ…” ม่ายตงและไป๋เสาไม่กล้าชักช้า เข้ามากดเสียงเบาเอ่ยเร่ง
พวกนางเคยถูกหลิงจือลากลงโคลนไปแล้ว ถูกหลิ่วเอ๋อร์สาวใช้คนนั้นด่าเหมือนสุนัข ตอนนี้อย่าถูกนางลากลงโคลนให้นายน้อยไล่ออกไปเลย
หลิงจือก็ไม่กล้าชักช้า กลัวจะทำให้ฟางเฉิงอวี่โกรธ ถ้าอย่างนั้นหนทางรอดสักนิดนางก็คงไม่มีแล้ว
ฟางเฉิงอวี่ยืนอยู่ที่ห้องด้านใน บนหน้าไม่มีรอยยิ้มสำราญใจ มองสาวใช้คนนั้นในลานผ่านหน้าต่าง
อืม อืม นี่ควรทำอย่างไรเล่า
เขาหันหน้ามองไปด้านในห้องอีกครั้ง
เตียงว่างเปล่า ห้องว่างเปล่า ไม่เคยรู้สึกว่าความเงียบสงบน่าชังเช่นนี้
“จิ่วหลิงอา…” เขาเอ่ยขึ้น สีหน้าไม่ได้รับความยุติธรรมทั้งน่าสงสาร “เมื่อไรเจ้าจะกลับมานะ”
สายลมร้อนกลางเดือนหกพัดปะทะใบหน้าตามการเร่งฝีเท้าของม้า แม้สวมผ้าคลุมหน้าสวมหมวก หลิ่วเอ๋อร์ก็ยังคงต้องหรี่ตา กอดคุณหนูจวินด้านหน้าตัวไว้แน่นกว่าเดิม
“คุณหนู ท่านกระหายหรือไม่เจ้าคะ?”
แม้ตลอดทางได้คุณหนูดูแล แต่หลิ่วเอ๋อร์ก็ยังพยายามสุดกำลังทำหน้าที่ของสาวใช้
ด้านหน้าคุณหนูจวินที่แต่งกายเช่นเดียวกับนางคุมบังเหียนม้าไว้สบายๆ ขาเท้าแตะท้องม้าเป็นจังหวะปรับความเร็ว
“ไม่กระหาย อีกเดี๋ยวก็จะมองเห็นเมืองหลวงแล้ว…” นางเอ่ยขึ้น
จะถึงแล้วหรือ?
หลิ่วเอ๋อร์ผู้เหน็ดเหนื่อยจากการโคลงเคลงบนม้า ฉับพลันยืดหลังตรงมองไปข้างหน้าทันที
ใต้แสงตะวันร้อนระอุ เมืองแห่งหนึ่งค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากใต้เส้นขอบฟ้า ปรากฏในสายตาของนาง
“คุณหนู คุณหนู พวกเราต้องไปที่ไหนก่อนเจ้าคะ?”
แม้ตั้งหน้าตั้งตารอมาตลอดทาง แต่นาทีนั้นเมื่อมองเห็นเมืองหลวงเข้าจริงๆ หลิ่วเอ๋อร์ก็ยังคงตื่นเต้นลนลาน
ถามคำนี้ออกมานางก็เสียใจแล้ว
คุณหนูก็เพิ่งมาเมืองหลวงครั้งแรกเหมือนกันนี่ ตนเองไม่รู้จะไปที่ไหน คุณหนูก็ย่อมไม่รู้
หลิ่วเอ๋อร์กำลังจะพูดต่อ คุณหนูจวินด้านหน้าร่างก็ผ่อนสายบังเหียน หยิบม้วนกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากบนหลังม้ากางออก ปล่อยมือปล่อยม้าเดินอย่างนั้น
หลิ่วเอ๋อร์เบิกตาโตมองม้วนกระดาษแผ่นนั้นข้ามหัวไหล่ของคุณหนูจวิน
“แผนที่เดินทางเยือนในเมืองหลวง” นางอ่านตัวหนังสือตัวใหญ่สะดุดตาที่เบี้ยวโย้เย้ด้านบนนั้น
……………………………………….