จั่งสื่อแห่งจวนอ๋องไปหาหมอเหลียง
“เมื่อครู่ไปตรวจอาการพระชายาอ๋องมาหรือ” ชายชราลูบเคราพลางเอ่ยถาม
ถ้าพระชายาอ๋องไม่สบายจริงๆ แล้วถูกคนจับได้ว่าไม่ไปไว้ทุกข์ เขาก็จะได้รับมือได้ง่ายหน่อย
หมอเหลียงพยักหน้าลง
“อาการของพระชายาอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง”
หมอเหลียงลังเลเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “เลือดลมอ่อนแรงเล็กน้อย จัดยาเพื่อบำรุงก็ดีขึ้นแล้ว จั่งสื่ออย่าได้กังวลไปเลย”
ชายชราจั่งสื่อเอามือรวบเคราไว้ครู่หนึ่ง
เลือดลมงั้นรึ นี่ไม่นับว่าป่วยนี่นา!
เมื่อเห็นสีหน้าของจั่งสื่อ หมอเหลียงก็รีบเอ่ยปลอบ “ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลไป พระชายาไม่เป็นอะไร”
จั่งสื่อ “…”
ชายชราโบกมือปัดอย่างหมดอาลัยตายอยาก “หมอเหลียงไปทำธุระเถอะ”
หมอเหลียงเดินจากไปด้วยความงุนงง
ตั้งแต่จั่งสื่อไปจนถึงท่านอ๋อง ทำไมจวนนี้ถึงไม่มีใครปกติเลยสักคน
ไม่นานจวนอี๋หนิงโหวก็ทราบข่าวว่าเจียงซื่อจะไม่มาไว้ทุกข์ ความรู้สึกของผู้ที่รู้ความจริงสลับซับซ้อนขึ้นมาโดยพลัน
ถึงแม้ว่าลุงใหญ่ซูจะเข้าใจเจียงซื่อ แต่ก็ไม่คิดเลยว่านางจะทำได้ถึงขนาดนี้
คนก็ตายไปแล้ว เห็นแก่หน้าตาของผู้อาวุโสทั้งสองฝ่ายก็ควรมาเคารพศพสักหน่อย
ในฐานะที่เป็นพระชายาอ๋อง แม้เจียงซื่อจะถือว่าเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงและอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาญาติๆ ทั้งหลายของจวนอี๋หนิงโหว ไม่รู้ว่ามีใครบ้างที่คอยจับตาดู ป้าสะใภ้ตายทั้งคน ถึงจะอยู่ในฐานะพระชายาอ๋องแต่เป็นหลานสาวกลับไม่มาไว้ทุกข์ ผู้อื่นจะคิดอย่างไร
จวนอี๋หนิงโหวอาจถูกหัวเราะเยาะนั้นเป็นส่วนหนึ่ง แต่เกรงว่าหลานสาวอาจถูกล่าวหาว่าไม่มีมารยาทได้
ลุงใหญ่ซูรู้สึกกังวลกับอนาคตของเจียงซื่อเล็กน้อย หลานสาวไม่รู้จักคิดเช่นนี้ เกรงว่าชื่อเสียงหน้าตาอาจจะอยู่ได้ไม่นาน
ห้องเซ่นไหว้ผู้ตายในจวนอี๋หนิงโหวถูกตกแต่งตามพิธีรีตอง บรรยากาศเคร่งขรึม ลูกสาวและลูกชายของโหยวซื่อสวมชุดป่านนั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้าง ต่างก็ร้องไห้กันจนตาบวมแดง
ตอนที่เจียงอันเฉิงพาเจียงอีกับเจียงจั้นมาไว้ทุกข์ ซูชิงซวงร่ำไห้กอดเจียงอีด้วยความที่เศร้าโศกเสียใจอย่างหนักจึงทำให้เป็นลมหน้ามืด
ภายในห้องเซ่นไหว้ศพชุลมุนวุ่นวายขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง
“ลุงใหญ่ ข้าจะพาน้องสาวไปพักที่ด้านหลัง” เจียงอีประคองซูชิงซวงพลางเข้าไปพูดกับลุงใหญ่ซู
เจียงอีเป็นคนจิตใจดีมีน้ำใจ ถึงแม้ว่าจะเกลียดโหยวซื่อที่นอนอยู่ในโลงมากก็ตาม แต่กลับไม่ได้พาลโกรธซูชิงซวงไปด้วย
ลุงใหญ่ซูสบายใจขึ้นมาก คิดอยู่ในใจ หากเปรียบเทียบกับเจียงซื่อ เจียงอีหลานสาวคนนี้ยังรู้จักคิดมากว่ายิ่งนัก
“ไปเถอะ ปลอบน้องสาวของเจ้าดีๆ ล่ะ” ลุงใหญ่ซูพูดจบ กวาดสายตามองไปที่ลูกสาวของอนุภรรยาทั้งสอง พร้อมกับเอ่ยเสียงขรึม “พวกเจ้าก็ไปที่ด้านหลังเถอะ”
คุณหนูรองซูชิงเสวี่ยและคุณหนูสามซูชิงอวี่รีบลุกขึ้น เดินขนาบข้างซ้ายขวาบตามซูชิงซวงออกไปจากห้องเซ่นไหว้
เจียงอันเฉิงเอ่ยพูดกับลุงใหญ่ซูออกไป “อย่าได้เศร้าโศกไปเลย”
ลุงใหญ่ซูแอบรู้สึกประหลาดใจ มองสำรวจดูเจียงอันเฉิงอย่างละเอียด เห็นสีหน้าแลดูเป็นห่วงจริงๆ จึงมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา หรือว่าเจียงอันเฉิงยังไม่รู้ความจริงเรื่องการตายของน้องสาว
ลุงใหญ่ซูเดาไว้ไม่ผิด ตอนนี้เจียงอันเฉิงยังคงไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย
หลังจากวันที่ออกไปจากจวนอี๋หนิงโหว เจียงซื่อสามพี่น้องได้ปรึกษากันแล้ว
ท่านพ่อรักท่านแม่มาก หากรู้ความจริงเข้า เกรงว่าอาจจะลงมือทำเรื่องน่าสะเทือนขวัญออกมาได้ อย่างเช่นถือมีดบุกเข้าไปในจวนอี๋หนิงโหวแล้วบั่นคอโหยวซื่อเสียให้ขาด
ในเมื่อจวนอี๋หนิงโหวรู้อยู่แก่ใจกันว่าต้องการให้โหยวซื่อชดใช้ด้วยชีวิต เช่นนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้มือท่านพ่อต้องสกปรก
ผ่านไปไม่กี่วัน ข่าวการตายของโหยวซื่อก็แพร่กระจายออกมาจริงๆ
จนถึงตอนนี้ก็ยังกังวลอยู่เลยว่าเจียงอันเฉิงจะพังห้องเซ่นไหว้จนแตกกระเจิง เจียงอีปรึกษาหารือกับเจียงจั้นว่าจะยื้อไปให้ถึงสุดท้ายแล้วค่อยบอก
เจียงอันเฉิงทนกับความเจ็บปวดจากการสูญเสียภรรยามานานนับหลายปี มันเจ็บปวดทุกข์ทรมานมาก เช่นนั้นจึงรู้สึกเข้าอกเข้าใจลุงใหญ่ซูที่เสียภรรยาไปเป็นอย่างมาก ก็เลยเอามือตบที่แขนของเขาเบาๆ พร้อมกับพูดปลอบไม่หยุด
ลุงใหญ่ซูเหลือบมองเจียงจั้นอย่างอดไม่ได้
เจียงจั้นพยักหน้าลงอย่างฝืนใจ
ที่จริงเขาก็อยากจะพังห้องเซ่นไหว้นี้ การเคารพศพโหยวซื่อเมื่อครู่ยิ่งทำเขารู้สึกสะอิดสะเอียนเหมือนกินแมลงวันเข้าไป
แต่พอนึกถึงคำเกลี้ยกล่อมร้อยแปดพันเก้าจากพี่สาวคนโต จึงทำได้เพียงอดทนเอาไว้
น้องสี่ช่างสบายเสียจริง ไม่มาร่วมงานเอาดื้อๆ เขาล่ะอิจฉา
ช่างเถอะ อย่างไรก็ตามโหยวซื่อได้ชดใช้ด้วยชีวิตไปแล้ว ถึงแม้สุดท้ายแล้วการตายของท่านแม่จะโทษคนในจวนอี๋หนิงโหวไม่ได้ ทว่าคนที่สมควรโดนลงโทษก็คือฆาตกรตัวจริงที่ฆ่าท่านแม่…องค์หญิงใหญ่หรงหยาง!
พอคิดถึงตรงนี้ เจียงจั้นก็เกิดความคิดอยากจะฆ่าคนฉายผ่านขึ้น จึงคลำมีดพกที่ห้อยอยู่ที่เอว
เจียงอันเฉิงไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกภายในใจของลูกชายเลยสักนิด แล้วถอนหายใจพลางเอ่ยถามลุงใหญ่ซูออกไป “ทำไมถึงกะทันหันเช่นนี้นะ”
ลุงใหญ่ซูตีหน้าเศร้า ทว่านัยน์ตากลับเย็นชา “เป็นโรคร้ายแรงเฉียบพลันน่ะ”
“ไม่นึกเลยจริงๆ ว่า…”
“ใช่ ใครจะคิดกัน” ลุงใหญ่ซูยกมือขึ้นมาลูบที่หางตา
ใครจะคิดว่าโหยวซื่อจะเป็นคนฆ่าน้องสาวและทำร้ายท่านแม่อีก ไม่นึกเลยว่าเขาจะอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนกับหญิงชั่วเช่นนี้มานานถึงยี่สิบปี!
ซูชิงสวินมองลุงใหญ่ซูด้วยตาที่แดงก่ำ ความสงสัยในใจคล้ายกับลูกหิมะที่ยิ่งกลิ้งก็ยิ่งใหญ่ขึ้น
ท่านแม่ดูร่างกายแข็งแรงดีชัดๆ เหตุใดถึงได้จากไปอย่างกะทันหัน
หากว่ากันว่าป่วยตายเฉียบพลัน ทำไมความเศร้าโศกของท่านพ่อถึงทำให้เขารู้สึกแปลกว่ามันไม่ลึกซึ้งมากเท่าที่ควร และการแสดงออกของท่านปู่ ท่านย่าก็นิ่งมากเกินไป…
ทันใดนั้นเอง ซูชิงสวินก็ได้ยินเจียงอันเฉิงถามขึ้น “ซื่อเอ๋อร์ยังมาไม่ถึงหรือ”
ซูชิงสวินเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ลุงใหญ่ซูที่ถูกถามตะลึงไปชั่วขณะ เอ่ยขึ้น “จวนอ๋องส่งจดหมายมาบอกว่าพระชายาอ๋องไม่ค่อยสบาย…”
เจียงอันเฉิงได้ยินก็รู้สึกกังวลขึ้นมา หันหน้าไปถามเจียงจั้น “สองสามวันก่อนพวกเจ้าทั้งสามยังไปเยี่ยมท่านยายด้วยกันอยู่เลย ตอนนั้นน้องสี่ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เจียงจั้นทำได้เพียงแต่ปั้นเรื่องพูดขึ้น “ตอนนั้นสีหน้าของน้องสี่ดูไม่ค่อยดีนัก…”
เจียงอันเฉิงจ้องเจียงจั้นเขม็ง “เช่นนั้นตอนที่เจ้ากลับมาเหตุใดถึงไม่พูดไม่กล่าวอะไรเลย หากรู้แต่แรกจะได้ส่งคนไปเยี่ยมน้องสี่ของเจ้า”
เจ้าลูกชายคนนี้ไม่ได้เรื่องจริงเลย
เจียงจั้นแอบกลอกตาใส่เงียบๆ
ยังมีพี่สาวคนโตอีกคนหนึ่งที่รู้นะ ทำไมเขาถึงโดนด่าอยู่คนเดียวล่ะ
ลุงใหญ่ซูมุมปากกระตุกขึ้นมา
มิน่าล่ะหลานสาวถึงได้เอาแต่ใจเช่นนี้ เป็นเพราะถูกพ่อตามใจนี่เอง
ซูชิงสวินฟังอยู่เงียบๆ ทว่าในใจกลับคิดอย่างอื่น หลังจากที่พวกลูกพี่ลูกน้องมา ผ่านไปสองวันท่านแม่ก็ได้จากไป และน้องซื่อก็ไม่ได้มาไว้ทุกข์ มันมีความเกี่ยวข้องอะไรกันรึเปล่านะ
เขายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าต้องมีอะไรปิดบังอยู่แน่ หากไม่ใช่เพราะว่าภายในห้องเซ่นไหว้ศพมีคนคอยจับจ้อง เดินผ่านไปผ่านมา เขาคงถามโพล่งออกไปแน่
มีคนเดินเข้ามาไว้ทุกข์ด้านหน้าอีก ซูชิงสวินจึงข่มความคิดที่ยุ่งเหยิงภายในหัวไว้แล้วน้อมคำนับตามมารยาท
……
ภายในห้อง ซูชิงซวงที่ได้สติขึ้นมา จับมือเจียงอีไว้ร้องไห้ระงม
เจียงอีถอนหายใจ เอ่ยปลอบ “คนตายแล้วไม่อาจฟื้นกลับมาได้ อย่าได้เศร้าไปเลย”
ซูชิงซวงปาดน้ำตาออก “พี่เจียงอี ข้าเข้าใจ แต่ข้าก็อดไม่ได้จริงๆ…ข้ารู้สึกทุกข์ใจมาก…”
เจียงอียื่นมือออกไปดึงซูชิงซวงเข้ามากอด พร้อมกับตบลงบนบ่าเป็นเชิงปลอบนางโดยไม่พูดอะไรออกมา ถึงแม้จะมีคำพูดปลอบมากมายแต่กลับพูดออกมาไปไม่ได้
ว่ากันตามจริง นี่คงเป็นเพราะความแน่วแน่ของพวกเขาที่ต้องการให้โหยวซื่อชดใช้ด้วยชีวิต
แต่นางไม่นึกเสียใจเลย
ถึงนางจะไม่ได้เก่งเหมือนกับน้องสี่ แต่ก็ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับผู้ที่ฆ่ามารดาได้ และไม่มีที่ว่างสำหรับคนเช่นนั้นด้วย แม้ตอนนี้จะพูดปลอบใจซูชิงซวงที่เจ็บปวดเพราะเสียแม่ไปมากแค่ไหน ก็รู้สึกได้ว่ามันปลอม
เจียงอีเป็นคนจริงใจ จึงทำได้เพียงแต่ตบบ่าซูชิงซวงเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบใจ
“พี่ใหญ่ทำไมพี่เจียงซื่อถึงไม่มาหรือ” จู่ๆ คุณหนูรองซูชิงเสวี่ยก็เอ่ยถามขึ้น
เจียงอีเหลือบมองซูชิงเสวี่ย เอ่ยเสียงเรียบ “จวนอ๋องไม่ได้ส่งจดหมายมาหรือ”
ซูชิงซวงไม่นึกเลยว่าจะถูกเจียงอีปฏิเสธแบบอ้อมๆ จึงเงียบไปด้วยสีหน้าเหยเก ทว่าในใจกับโล่งอกมาก
ท่านแม่ใหญ่ตายแล้ว นางก็จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องที่ในอนาคตจะถูกท่านแม่ใหญ่จัดการเพราะทำเรื่องน้องรองที่สติไม่ดีพัง
มีความสุขจริงๆ เลย