ถือโอกาสขณะที่ซูชิงอวี่ไปส่งเจียงอี จึงหันมามองซูชิงซวงที่ท่าทางใจลอย ซูชิงเสวี่ยกลอกตาพลางพูดขึ้น “ท่านพี่ ท่านว่าที่พี่เจียงซื่อไม่มาไว้ทุกข์ให้ท่านแม่ เป็นเพราะว่าไม่ค่อยสบายจริงหรือ”
ซูชิงซวงตั้งสติได้ ทำหน้าขรึมลงเล็กน้อย “น้องรองพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
ซูชิงเสวี่ยเม้มริมฝีปากลง พลางเอ่ยขึ้น “ข้าก็แค่รู้สึกว่าท่านแม่จากไปอย่างกะทันหันเกินไป เมื่อไม่กี่วันก่อนยังดีอยู่แท้ๆ แต่หลังจากพวกพี่ๆ มาเยี่ยมท่านย่าท่านแม่ก็ได้จากไปเลย…”
“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ!” ซูชิงซวงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
ซูชิงอวี่เบะปาก “ข้ารู้ว่าท่านพี่กับสนิทกับลูกพี่ลูกน้องทั้งสองท่านจากตระกูลเจียง ข้าพูดเช่นนี้ ท่านรู้สึกไม่สบายใจ แต่ว่าท่านไม่รู้สึกว่ามันแปลกหรือ”
ซูชิงซวงขมวดคิ้วขึ้น “จากนี้ไปข้าไม่อยากได้ยินคำพูดพวกนี้อีก เจ้าออกไปเถอะ”
“เช่นนั้นท่านพี่พักผ่อนเถอะ ข้าขอตัวลา” ซูชิงเสวี่ยลุกขึ้นคำนับ เดินมาถึงหน้าประตูห้อง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ความรู้สึกลำพองใจฉายผ่านออกมา
ในวันเกิดปีที่แล้วของท่านย่า นางราวกับถูกถอดเสื้อผ้าจนเปลือยล้อนจ้อนต่อหน้าผู้คน ไม่เหลือศักดิ์ศรีแม้แต่นิดเดียว
คนที่ทำให้นางต้องอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นก็คือแม่แท้ๆ ผู้โง่เขลา และท่านแม่ใหญ่ที่อำมหิต อีกทั้งเจียงซื่อที่ไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่นิดเดียว
วันนี้ท่านแม่ใหญ่ตายแล้ว ภูเขาลูกใหญ่ที่ทับอยู่บนหัวนางได้หายวับไป กว่าสองปีสมควรแล้วที่นางได้จะได้โล่งใจ
หึหึ นางปล่อยให้เจียงซื่อกลายเป็นพระชายาอ๋องเพราะทำอะไรไม่ได้ แต่ฝังหนามไว้ในใจของพี่สาวแท้ๆ น่าจะพอ ในอนาคตหากพี่สาวกับเจียงซื่อทะเลาะกันขึ้นมา มันก็ไม่เกี่ยวข้องกับนางอยู่แล้ว ผู้ที่โชคร้ายยังไงก็เป็นพี่สาวคนละแม่ผู้นี้
สำหรับโหยวซื่อนั้น ซูชิงซวงทั้งหวาดกลัวและจงเกลียดจงชัง แต่ตอนนี้โหยวซื่อได้ตายไปแล้ว เพียงแค่คิดว่าพี่สาวคนละแม่จะโชคร้ายเพราะถูกคำยุยงของนางเพียงไม่กี่คำ นางก็อดใจรอดูผลลัพธ์ขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
ซูชิงซวงนั่งอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เมื่อได้ยินเสียงประตูปิดลง อันที่จริงในใจราวกับมีระลอกคลื่นเล็กๆ ซัดเข้ามา
การตายของท่านแม่ เกี่ยวข้องกับพวกลูกพี่ลูกน้องจริงหรือ
เมื่อเข้าสู่ยามรัตติกาล ห้องเซ่นไหว้ศพเงียบเหงาเล็กน้อย มีเพียงลูกหลานเฝ้าอยู่ตรงกระถางสุมไฟ
ซูชิงสวินเติมกระดาษเงินกระดาษทองเผาลงในกระถาง พลางจ้องกระดาษที่ถูกเผามอดกลายเป็นขี้เถ้า จากนั้นจึงลุกเดินเข้าไปด้านใน
ลุงใหญ่ซูกำลังพักผ่อน ทว่าว่ากลับไม่ง่วงนอน
“ท่านพ่อ อยู่ไหมขอรับ”
ลุงใหญ่ซู พลิกตัวลุกขึ้น แล้วบอกให้ซูชิงสวินเข้ามา
ซูชิงสวินผลักประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เพียงแค่เวลาสองวันลูกชายก็ผอมลงอย่างเห็นได้ชัด ลุงใหญ่ซูถอนหายใจ “สวินเอ๋อร์ ถึงแม้ว่าเจ้าต้องเฝ้าห้องเซ่นไหว้ แต่ก็ต้องดูแลสุขภาพตัวเองด้วย”
“ลูกรู้ขอรับ” ซูชิงสวินพูดจบ ก็เงียบไม่พูดไม่จา
“มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
ซูชิงสวินมองลุงใหญ่ซูแล้วถามออกไป “ท่านพ่อ เพราะเหตุใดท่านแม่ถึงได้จากไปกันแน่”
ลุงใหญ่ซูขมวดคิ้วขึ้นมาโดยพลัน เอ่ยพูดน้ำเสียงดุดัน “ข้าพูดไปแล้ว แม่ของเจ้าตายเพราะป่วยเฉียบพลัน…”
“นั่นเป็นเพียงข้ออ้างที่ใช้บอกคนนอก” ซูชิงสวินพูดแทรกลุงใหญ่ซูขึ้นมา
เขาเป็นหลานชายของจวนอี๋หนิงโหว หลังจากที่น้องชายคนรองจากไป เขาจึงเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวของตระกูลในรุ่นนี้ เช่นนั้นเรื่องบางเรื่องเขาจึงต้องรู้
ลุงใหญ่ซูยังคงดึงดัน “สวินเอ๋อร์ นี่เจ้าพูดอะไรน่ะ!”
ซูชิงสวินสบตากับลุงใหญ่ซู ต่างไม่มีใครยอมละสายตา “ท่านพ่อ อีกไม่นานลูกก็ต้องขึ้นครองตำแหน่งแล้ว ลูกมีสิทธิ์ที่จะรู้ความจริง โดยเฉพาะคนๆ นั้นเป็นท่านแม่ของข้า เป็นหนึ่งในสองคนที่ใกล้ชิดสนิทกับข้ามากที่สุด”
ลุงใหญ่ซูจ้องลูกชายไม่วางตา
ถึงแม้ดวงตาของชายหนุ่มตรงหน้าจะบวมแดงเล็กน้อย และเต็มไปด้วยความอ่อนล้า ทว่ากลับมองเห็นได้อย่างทะลุปุโปร่ง
หลังจากผ่านไปนาน ลุงใหญ่ซูก็เอ่ยถาม “เจ้าอยากรู้จริงหรือ”
ซูชิงสวินรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจ พยักหน้าลง “ลูกอยากรู้ขอรับ”
เขาเดาไม่ผิดจริงๆ การตายของท่านแม่มีเรื่องปิดบังอยู่
เมื่อเห็นลูกชายยืนกรานเช่นนี้ ลุงใหญ่ซูยกมือขึ้นมานวดระหว่างคิ้ว พลางถอนหายใจ “แม่ของเจ้าทำความผิดมหันต์”
“ท่านแม่ทำความผิดอันใดหรือขอรับ”
“นางวางยาพิษท่านย่าของเจ้า”
“อะไรนะขอรับ” ซูชิงสวินรู้สึกตกตะลึง คงท่าทีสงบเสงี่ยมไว้ไม่อยู่แล้ว
ในเมื่อพูดออกมาแล้ว ลุงใหญ่ซูก็ไม่อยากให้ยุ่งไปกันใหญ่ จึงพูดต่อออกมา “อาของเจ้า น้องสาวของข้าก็ถูกท่านแม่เจ้าวางยาจนตาย!”
ลูกชายเขาเป็นคนเฉลียวฉลาดรอบคอบ แทนที่จะทำให้เขาต้องหมกมุ่นอยู่กับสาเหตุการตายของมารดาตนเองและเกิดการเข้าใจผิดกับตระกูลเจียง โดยเฉพาะเกิดการขัดแย้งกับหลานสาวที่อยู่ในตำแหน่งพระชายาอ๋อง พอถึงตอนนั้นมารู้สึกเสียใจต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไปมันก็สายไปเสียแล้ว
ซูชิงสวินรู้สึกเพียงแค่ว่าสิ่งที่เขารู้และเข้าใจทุกสิ่งอย่างได้พังทลายลง เขาอ้าปากพะงาบๆ น้ำเสียงพูดราวกับปลาที่ต่อสู้ดิ้นรนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำภายใต้แสดงแดดที่แผดเผาลงมา “ท่านพ่อ ไม่ได้มีอะไรเข้าใจผิดกันใช่หรือไม่”
ท่านแม่จะทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร
ภายในใจซูชิงสวิน โหยวซื่อก็คือมารดาที่ดี เหมือนกับมารดาท่านอื่นๆ ที่รักลูก
“แม่ของเจ้ายอมรับด้วยตัวเอง” ลุงใหญ่ซูฝืนยิ้ม เขากลัวว่าลูกชายยังไม่เชื่อ จึงพูดเสริมต่อออกไป “และยังยอมรับต่อหน้าท่านปู่ ท่านย่า อารอง อาสะใภ้รองและก็ข้าด้วย”
ในที่สุดซูชิงสวินก็ล้มเลิกความคิด แล้วเอ่ยพึมพำออกไป “มิน่าล่ะ…”
มิน่าล่ะท่านพ่อถึงไม่เศร้าโศกนัก มิน่าล่ะท่านปู่และท่านย่าถึงสุขุมเยือกเย็นเช่นนี้ มิน่าล่ะสายตาของอาสะใภ้รองที่มองมาที่เขาถึงผิดปกติเล็กน้อย มิน่าล่ะท่านแม่…
ซูชิงสวินตกตะลึงขึ้นมาโดยพลัน พูดโพล่งออกมา “การตายของท่านแม่…”
“นางจบชีวิตด้วยตัวเอง”
“แต่ว่า…” ซูชิงสวินเหมือนอยากจะพูดอะไร ทว่าคำพูดมากมายกลับจุกอยู่ในอก
แต่ว่าอะไรกัน หรือต้องพูดว่าท่านแม่ไม่ได้จบชีวิตด้วยตัวเอง แต่ถูกบังคับให้ตาย
ฆ่าท่านอาแถมยังทำร้ายท่านย่า ความผิดเช่นนี้หากถูกเปิดโปง จะทำอย่างไรได้นอกจากท่านแม่จะต้องตาย
หากบอกว่ามารดาถูกกดดันให้ตาย เช่นนั้นก็คงจะกดดันตัวเองจนมาถึงทางตันเองมากกว่า…
เมื่อคิดได้เช่นนี้ น้ำตาก็ไหลก็พรั่งพรูออกมาจากดวงตาของซูชิงสวิน
“เหตุใดท่านแม่ถึงต้องทำร้ายท่านอากับท่านย่าด้วย” นี่เป็นเรื่องที่ซูชิงสวินคิดยังไงก็คิดไม่ออก
ลุงใหญ่ซูหลับตาลง พลางเอ่ยขึ้น “เป็นเพียงเพราะความโง่เขลาและความรู้ที่มีเท่าหางอึ่งของแม่เจ้าเท่านั้น”
อันที่จริงเหตุผลที่ทำร้ายเหล่าฮูหยินนั้นไม่ใช่เพราะถูกเหล่าฮูหยินถอดอำนาจการดูแลเรือน แต่เป็นเพราะกลัวเรื่องที่เหล่าฮูหยินจะพบว่านางวางแผนทำร้ายเจียงซื่อต่างหาก ส่วนที่ทำร้ายน้องสาวของเขา ก็เป็นเพราะถูกองค์หญิงใหญ่หรงหยางขู่บังคับจนเลอะเลือนจัดการลงมือโดยไร้ขอบเขต
ซูชิงสวินยังต้องการจะถามรายละเอียดอีก ลุงใหญ่ซูเบิกตาโพลงมองไปที่เขา เอ่ยพูดพลางถอนหายใจออกมา “สวินเอ๋อร์ ไว้หน้าแม่ของเจ้าเสียบ้างเถอะ”
ซูชิงสวินทำปากขมุบขมิบ ท่าทางท้อใจ
ที่ท่านพ่อพูดมาก็ถูก รู้เรื่องที่ท่านแม่ทำร้ายท่านย่ากับท่านอาแล้ว หากถามต่อไปอีกมันก็เป็นเพียงการเปิดโปงเรื่องอันฉาวโฉ่ของท่านแม่เท่านั้น ภาพลักษณ์ความเป็นแม่ที่ดีในใจเขาก็คงจะพังทลายลงไปในที่สุด
ทำเป็นเลอะเลือนอย่างน้อยก็ยังปลอบใจตัวเองได้ว่าท่านแม่ทำไปคงเพราะมีเรื่องลำบากใจ
“ท่านพ่อ เช่นนั้นลูกขอตัวไปที่ห้องเซ่นไหว้ก่อนขอรับ” ซูชิงสวินราวกับถูกสูบพลังไปจนหมด เขาก้าวเท้าเดินออกไปอย่างหนักหน่วง
ลุงใหญ่ซูโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย
เขาไม่อยากเอ่ยถึงองค์หญิงใหญ่หรงหยาง เพื่อลูกชายที่ยังหนุ่มจะได้ไม่โมโหจนบุ่มบ่ามก่อเรื่อง
ซูชิงสวินอยู่ในระหว่างทางเดินไปห้องเซ่นไหว้ศพ โคมไฟสีขาวที่ห้องอยู่ใต้ระเบียงทางเดินสะท้อนแสงสีซีดออกมา
ใต้ต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลนัก มีเด็กสาวอรชรอ้อนแอ้นสวมชุดผ้าป่านสีขาวยืนอยู่
“นั่นน้องชิงซวงงั้นหรือ” ซูชิงสวินผ่อนฝีเท้าลงเล็กน้อย แล้วสาวเท้าก้าวเดินเข้าไปหา
คืนฤดูใบไม้ร่วงมีอากาศหนาวเย็น แก้มของซูชิงซวงจึงแดงระเรื่อขึ้นมาเพราะความเย็น
“พี่ใหญ่ไปหาท่านพ่อมาหรือเจ้าคะ”
เมื่อสบตาเข้ากับดวงตาอันเศร้าโศกสีดำขลับคู่นั้นของเด็กสาว ซูชิงสวินก็ถอนหายใจพลางเอ่ยขึ้น “น้องข้า เจ้าตามข้ามา”
เรื่องที่เขาอยากรู้ แล้วเหตุใดน้องสาวจะไม่อยากรู้ล่ะ
เมื่อฟังซูชิงสวินเล่าทุกอย่าง ซูชิงซวงก็ยกมือที่สั่นระริกขึ้นมาปิดหน้า ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดโดยไม่ส่งเสียง
“มิน่าล่ะ…น้องสี่ถึงไม่ไม่มาร่วมงาน…”
ไม่นานเรื่องที่เจียงซื่อไม่มาร่วมไว้ทุกข์ที่จวนอี๋หนิงโหวให้กับท่านป้าสะใภ้ก็ได้รับความสนใจจากผู้คน