ผู้ที่ทราบข่าวก่อนก็คือฉีอ๋อง
“เจ้าเจ็ดนั้นมีนิสัยเอาแต่ใจ แต่ไม่นึกเลยว่าภรรยาของเจ้าเจ็ดก็เอาแต่ใจด้วยเช่นกัน” เมื่ออยู่ต่อหน้าคนสนิท ฉีอ๋องจึงพูดออกมาโดยไร้ความกังวลพร้อมกับรอยยิ้ม
เสนาธิการพูดเสริม “พระชายาเยี่ยนอ๋องเทียบไม่ได้กับพระชายาฉีอ๋องที่ทั้งใฝ่คุณธรรม อ่อนโยนและอยู่ในระเบียบ”
ใบหน้าของฉีอ๋องไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมา ทว่าในใจกลับรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาครู่หนึ่ง
สตรีที่หน้าตาสวยสดงดงามเอาแต่ใจเล็กน้อยยังพอให้อภัยได้ ส่วนภรรยาของเขาหน้าตาธรรมดาสามัญก็ควรจะมีข้อดีด้านอื่น ใฝ่คุณธรรม อ่อนโยนและอยู่ในระเบียบ? ข้อดีเหล่านี้สตรีคนไหนบ้างที่ไม่มี!
ฉีอ๋องมีความคิดพวกนี้แวบผ่านขึ้นมาในใจ ทว่ากลับพูดขึ้น “ที่ท่านพูดก็ถูก ได้ภรรยาเช่นนี้ นับว่าเป็นโชคดีของข้า”
เสนาธิการรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา จึงรีบเอ่ยชมฉีอ๋อง
“ท่านอ๋องไม่ได้คิดว่าความงามนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่ดีมาก ข้าสามารถติดตามเจ้านายเช่นนี้ได้ ในอนาคตน้ำขึ้นเรือย่อมสูง ข้าต้องพลอยได้ดีด้วยเป็นแน่…”
คำชื่นชมพวกนี้ฉีอ๋องได้ยินจนชินแล้ว พูดจบจึงยิ้มออกมามาดนิ่ง แล้วเอ่ยพูดด้วยความถ่อมตัวออกมาเล็กน้อย
เสนาธิการตาเป็นประกายออกมา พลางเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋อง พระชายาของเยี่ยนอ๋องทำตัวเสียมารยาทเช่นนี้ ท่านว่าต้อง…”
ฉีอ๋องลูบแหวนหยกที่สวมอยู่บนนิ้วหัวแม่มือพร้อมกับส่ายหน้า “ข้ากับเยี่ยนอ๋องเป็นพี่น้องแม่เดียวกัน ภรรยาของเยี่ยนอ๋องไม่รู้ว่าอะไรควรมิควร กลับไปหาโอกาสเตือนเป็นการส่วนตัวก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่”
เสนาธิการรีบพูดประจบสอพลอ “ท่านอ๋องช่างมีจิตใจเมตตากรุณา…”
“ท่านชมเกินไปแล้ว”
หลังจากที่เสนาธิการกลับไป ห้องตำราก็เงียบเหงา เหลือเพียงแค่ฉีอ๋องนั่งอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกออกจากเก้าอี้เตี้ยตัวหนึ่งไปที่หน้าต่าง
เมื่อเปิดหน้าต่างออก ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือค่ำคืนช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง มันทั้งเยือกเย็นและเงียบเหงา
ฉีอ๋องอมยิ้มขึ้นมา
การรับมือกับเจ้าเจ็ด ไม่จำเป็นต้องให้เขาลงมือเองหรอก มีพี่น้องอีกตั้งหลายคนที่คอยทำแทน
อย่างเช่นเจ้าห้าที่อารมณ์ร้อน เจ้าหกที่ถูกเปรียบเทียบการแต่งงานกับเจ้าเจ็ดเนื่องจากวันแต่งงานใกล้กัน และองค์รัชทายาทผู้โง่เขลา…
รอจนเจ้าเจ็ดตกอยู่ในสถานการณ์ที่ใครก็อยากจะรุม เขาเสนอหน้าออกไปช่วยนิดหน่อย เจ้าเจ็ดจะไม่ขอบคุณ แล้วหันมาสนับสนุนเขาได้อย่างไร
พอฉีอ๋องคิดเรื่องพวกนี้ ก็ยิ้มกว้างออกมา
……
ภายในจวนหลู่อ๋อง
หลังจากที่หลู่อ๋องทราบข่าวก็รู้สึกดีอกดีใจมาก จึงตบฉาดลงบนโต๊ะอย่างแรง “ดีเสียจริง ครั้งนี้ถือว่าเจ้าเจ็ดซวยแล้ว!”
“ซวยอะไร” พระชายาหลู่อ๋องก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา ได้ยินอยู่ประโยคหนึ่ง
หลู่อ๋องขมวดคิ้วขึ้น “ทำไมถึงไม่เคาะประตูก่อนเข้ามาในห้องตำรา”
ภรรยาผู้อำมหิตคนนี้ นับวันยิ่งไร้มารยาท
พระชายาหลู่อ๋องเหล่ตามองเสนาธิการที่อยู่ในห้องตำรา พลางเอ่ยเชิญเขาออกไปอย่างสุภาพ จากนั้นเอ่ยพูดน้ำเสียงเย็นชา “เป็นการตรวจกะทันหัน”
เมื่อหลู่อ๋องได้ยินก็ทำหน้าขรึมทันที พร้อมกับพับแขนเสื้อขึ้นเป็นเชิงอยากจะคุยด้วยดีๆ
หากคนธรรมดาทั่วไปมีภรรยาเช่นนี้คงอยู่ไม่ได้แน่ ปกติจับตาดูเขาก็พอแล้ว เขาก็แค่แอบจับเนื้อต้องตัวบ่าวในห้องตำราเอง ไม่นึกเลยว่าจะถูกภรรยาที่น่ารำคาญผู้นี้ถือมีดพร้อมกับถีบประตูเข้ามา
หลังจากนั้นเป็นต้นมา สาวรับใช้ที่หน้าตาสะสวยเนื้อตัวอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมก็ถูกเปลี่ยนเป็นชายชราใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น แม้แต่เด็กรับใช้ที่หน้าตาจิ้มลิ้มก็ไม่ให้เขาเรียกใช้
พอคิดถึงเรื่องพวกนี้ หลู่อ๋องก็โกรธจนกัดฟันกรอด พร้อมกับเอ่ยพูดสีหน้าขรึม “ทำเกินไปแล้วนะ!”
พระชายาหลู่อ๋องแอบหยิบมีดหั่นผักออกมาจากอ้อมอกหนึ่งด้าม ถือไว้ในมือ อมยิ้มพลางเอ่ยถาม “ท่านอ๋องบอกว่าข้าทำเกินไปงั้นรึ”
หลู่อ๋องกระโดดตัวโยน ความโกรธมลายหายไปทันที “มีเรื่องอะไรจะพูดก็คุยกันสิ อยู่ดีๆ จะหยิบมีดหั่นผักออกมาทำไมกัน”
ภรรยาผู้นี้ช่างกล้าถือมีดหั่นผักมาไล่ฆ่าเขา หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปต้องขายหน้าแย่แน่
พระชายาหลู่อ๋องเก็บมีดหั่นผักลง แล้วเอ่ยถามออกไป “เมื่อครู่ท่านอ๋องพูดว่าใครซวย”
“ข้าพูดว่าเจ้าเจ็ด” หลู่อ๋องเล่าสิ่งที่ได้ยินมาให้พระชายาหลู่อ๋องฟัง
พระชายาหลู่อ๋องพูดพึมพำออกมา “พระชายาเยี่ยนอ๋องเอาแต่ใจเสียจริง”
หลู่อ๋องหัวเราะเยาะออกมา “เจ้าเจ็ดผู้โง่เขลา อยู่กับข้าดีๆ ไม่ได้ ตอนนี้ถึงคราวซวยของเจ้าแล้ว!”
“ท่านอ๋องคิดจะทำอะไร” พระชายาหลู่อ๋องพูดอย่างระมัดระวัง
“ก็ต้องไปหาพวกขุนนางเพื่อยื่นมติไม่ไว้วางใจเจ้าเจ็ดสักหน่อย” หลู่อ๋องลูบกำปั้น นึกถึงสภาพคู่สามีภรรยาเยี่ยนอ๋องซวยเพราะถูกขุนนางยื่นมติไม่ไว้วางใจ
พระชายาหลู่อ๋องเบิกตาโพลงจ้องหลู่อ๋อง “ท่านอ๋อง เรื่องพวกนี้พวกเราไม่ควรจะเข้าไปยุ่งจะดีกว่า”
หลู่อ๋องมองกลับอย่างไม่ยอม
หาได้ยากที่พระชายาหลู่อ๋องจะอ่อนเสียงลง “ถือว่าคู่สามีภรรยาเยี่ยนอ๋องโชคร้ายไป และมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับพวกเรา ท่านอ๋องทำไมต้องทำให้ผู้อื่นเสียหาย แล้วตัวเองก็ไม่ได้ประโยชน์ด้วยเล่า”
“ใครบอกว่าไม่มีประโยชน์กัน เห็นเจ้าเจ็ดโชคร้าย ข้าดีใจยิ่งนัก”
“อย่างไรก็ตามท่านอ๋องอย่าได้เข้าไปยุ่งเรื่องนี้ ไม่แน่ที่พระชายาเยี่ยนอ๋องทำเช่นนี้อาจจะมีเหตุผลส่วนตัวก็ได้”
“จะมีเหตุผลส่วนตัวอะไร ก็แค่ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง” หลู่อ๋องพูดกับพระชายาหลู่อ๋องอย่างไม่เห็นด้วย
พระชายาหลู่อ๋องหยิบมีดหั่นผักออกมาเงียบๆ
พอมองจ้องไปที่มีดหั่นผักที่ส่องประกายแวววับออกมา หลู่อ๋องจึงเงียบไปสักพัก แล้วลุกขึ้นยืนเพราะอยู่อย่างไม่เป็นสุข “ช่างเถอะ สตรีนี่เรื่องมากวุ่นวายเสียจริง!”
เขาผลักประตูออกไปด้วยความโมโห จากนั้นก็หันหลังกลับมาโดยพลัน “นี่มันห้องตำราของข้า!”
พระชายาหลู่อ๋องหยิบมีดหั่นผักลุกขึ้น อมยิ้มพร้อมกับพูดออกไป “เช่นนั้นขอขอตัวกลับห้องก่อน ท่านอ๋องอย่าลืมไปเสวยอาหารล่ะ”
เมื่อพระชายาหลู่อ๋องเดินออกไป หลู่อ๋องเตะเก้าอี้อยู่หลายทีถึงหายโมโห
ช่างเถอะ ครั้งนี้ถือว่าเจ้าเจ็ดโชคดีไป ในอนาคตยังมีโอกาสจัดการเขาอีก
…….
สู่อ๋องทราบข่าวก็รู้สึกโล่งใจ
ตั้งแต่งานอภิเษกปีที่แล้ว เนื่องจากแต่งงานห่างกับเจ้าเจ็ดเพียงแค่หนึ่งเดือน ไม่ว่าจะด้านใดจึงถูกเจ้าเจ็ดข่มอยู่ วันนี้ถือว่าโอกาสแก้แค้นมาถึงแล้ว
“รอดูคนอื่นว่าจะเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่ หากมีก็คอยผสมโรง และระวังอย่าให้ใครมาระแคะระคายพวกเราทางนี้ได้”
หลังจากที่กำชับออกไป สู่อ๋องก็ตั้งตารอคอยเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น
……
ภายในตงกง องค์รัชทายาทหัวเราะร่าออกมาอย่างอดไม่ได้
นับว่าถึงคราวซวยของเจ้าเจ็ดแล้ว!
ตั้งแต่เจ้าเจ็ดกลับมาที่เมืองหลวง ทุกครั้งที่ก่อเรื่องเขาล้วนต้องพลอยโดนด่าไปด้วย แค้นนี้อดทนมานานมากแล้ว
เจ้าเจ็ดที่สมควรตาย ครั้งนี้ดูว่าเจ้าจะหนีรอดจากการถูกลงโทษไปได้อย่างไร
“ไปหาขุนนางเพื่อยื่นมติไม่ไว้วางใจคู่สามีภรรยาเยี่ยนอ๋อง!”
……
ไม่นานสมุดบัญชีรายชื่อเล่มเล็กที่ยื่นมติไม่ไว้วางใจคู่สามีภรรยาเยี่ยนอ๋องก็ทะยอยส่งมาที่โต๊ะทรงอักษรของจิ่งหมิงฮ่องเต้ราวกับเกล็ดหิมะ เช้าวันรุ่งขึ้นก็ยิ่งมีขุนนางจำนวนมากแสดงตัวออกมาว่ากล่าวตำหนิพระชายาของเยี่ยนอ๋องด้วยความห้าวหาญโอหังว่าทำลายชื่อเสียงของราชวงศ์ และยื่นมติว่าเยี่ยนอ๋องลุ่มลงในความงาม ปล่อยให้พระชายาทำความผิดโดยไม่ห้ามปราม
จิ่งหมิงฮ่องเต้ฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย รู้สึกไม่สบายใจเอามาก
เจ้าพวกนี้ยื่นมติไม่ไว้วางใจเรื่องพระชายาของเจ้าเจ็ดก็เสียมารยาทพอแล้ว ลากเรื่องเยี่ยนอ๋องลุ่มหลงในความงามมาเกี่ยวข้องอะไรกัน
เช่นนี้เรียกว่าลุ่มหลงได้งั้นหรือ
เลี้ยงอนุ หลับนอนกับนางโลมต่างหากถึงจะเรียกว่าลุ่มหลงในความงาม เหตุใดถึงเรียกการหวงแหนภรรยาของตัวเองว่าลุ่มหลงในความงามกัน นี่เรียกว่าคู่สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียวกันชัดๆ
จิ่งหมองฮ่องเต้แอบเถียงอยู่ในใจ จากนั้นละสายตาไปมองอวี้จิ่นที่คุกเข่าอยู่
หากว่ากันตามวินัย ทุกคนที่ถูกยื่นมติไม่ไว้วางใจ ไม่ว่าจะฐานะสูงส่งหรือต้อยต่ำ มีความผิดจริงหรือไม่ ล้วนต้องคุกเข้ารับฟังคำสั่งสอน
ทัศนคติที่แพร่หลายกันในตอนนี้คือถ้าหากว่าเจ้าไม่ผิด เหตุใดผู้อื่นถึงได้ยื่นมติไม่ไว้วางใจเจ้า เช่นนั้นแสดงว่าเจ้าต้องทำเรื่องไม่เหมาะสม เกรงว่าถึงแม้จะไม่ได้ทำ หากเป็นดังที่เขาว่าก็ควรแก้ไข ถ้าไม่เป็นดังเขาว่าก็เก็บไว้เป็นคำเตือนใจ แต่โดยสรุปแล้วการคุกเข่าลงไว้ก่อนถือว่าถูกต้อง
อวี้จิ่นคิดไว้แล้วว่าจะต้องได้รับการยื่นมติไม่ไว้วางใจเพราะเจียงซื่อไม่ไปไว้ทุกข์ แต่ไม่นึกเลยว่าผู้ที่มายื่นมติจะเยอะขนาดนี้ เขาคุกเข่าลงจนเข่าแทบจะอักเสบอยู่แล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำหน้าให้มันดีๆ ความเยือกเย็นแผ่ซ่านออกมาจากตัวเขา
ขุนนางที่ยืนอยู่ใกล้กับอวี้จิ่นแอบย้ายที่ไปด้านข้างเงียบๆ
แม้แต่เยี่ยนอ๋องก็กล้าที่จะมีเรื่อง เช่นนั้นพวกเขาอยู่ห่างออกไปหน่อยน่าจะปลอดภัย
จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นอวี้จิ่นทำหน้าไม่พอใจ ก็รู้สึกโมโหขึ้นมา “องค์ชายเจ็ด เจ้ารู้ความผิดของเจ้าหรือไม่”