เมื่อถูกจิ่งหมิงฮ่องเต้ขานเรียก อวี้จิ่นทำหน้างุนงง “กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่รู้งั้นรึ” จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ พลางชี้ออกไปยังหมู่ขุนนาง “เมื่อครู่เจ้าไม่ได้ยินที่พวกเขาพูดหรือ”
อวี้จิ่นหลุบตา เอ่ยเสียงเรียบ “กระหม่อมได้ยินพ่ะย่ะค่ะ”
ความนิ่งเฉยของเขาทำให้อารมณ์ของพวกขุนนางคุกรุ่นอยากที่จะต่อสู้ขึ้นมา
อวดดีเกินไปแล้ว อวดดีมากเสียจริง เยี่ยนอ๋องไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเพราะตัวเองอยู่ในฐานะองค์ชายสินะ
เป็นองค์ชายแล้วอย่างไร แม้แต่ฮ่องเต้โวยวายอยากจะออกไปนอกวังยังถูกพวกเขาดุเลย
จิ่งหมิงฮ่องเต้รับรู้ได้ถึงความโกรธที่คุกรุ่นของพวกขุนนาง เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ยั่วโมโหขุนนางจนถึงคราวซวย จึงรีบพูดอย่างอ่อนโยน “อ้ายชิงทุกท่านโปรดอย่าได้รีบร้อน”
จากนั้นก็เปลี่ยนมาตะเบ็งเสียงพูดกับอวี้จิ่น “ในเมื่อได้ยิน เจ้ายังแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอีกรึ!”
เจ้าเด็กสารเลว การรักและทะนุถนอมภรรยานั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องไม่ตามใจเช่นนี้ จัดการเงียบๆ ไม่ได้หรืออย่างไร
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห
ในอดีตเขากับฮองเฮาก็เป็นคู่สามีภรรยาที่รักใคร่กันมากแม้ตอนนั้นจะเป็นเพียงพระชายาขององค์ชาย ต่อหน้าคนภายนอกต้องประพฤติตัวดีๆ เพื่อจะได้ไม่ขัดตาผู้อื่น เจ้าเด็กนี่ช่างไม่รู้จักเก็บอาการบ้างเลย ถือว่าใช้โอกาสนี้สั่งสอนให้หนักเลยแล้วกัน
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะจัดการเจ้าลูกชายคนนี้ จึงยิ่งทำสีหน้าเข้มงวดขึ้นอีก
“เสด็จพ่อ กระหม่อมยังคงไม่รู้ว่าทำผิดอะไร ใต้เท้าทุกท่านกล่าวว่าการที่พระชายาอ๋องไม่ไปร่วมไว้ทุกข์ที่จวนอี๋หนิงโหวเป็นการเสียมารยาท ทำลายชื่อเสียงของราชวงศ์ แต่ว่าพระชายาอ๋องไม่ได้ไม่อยากไป แต่เพราะไปไม่ได้ต่างหาก”
“ไปไม่ได้งั้นรึ” จิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสถามกลับอย่างไม่สบอารมณ์
อวี้จิ่นพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ พระชายาร่างกายไม่แข็งแรงนัก จึงไม่สามารถไปได้”
เพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำเอาขุนนางจำนวนไม่น้อยน้ำลายแตก
หนึ่งในพวกขุนนางเอ่ยถามออกมาตรงๆ ด้วยน้ำเสียงติเตียน “ไม่ทราบว่าพระชายาอ๋องป่วยเป็นอะไรหรือ ตามที่กระหม่อมเข้าใจ ก่อนหน้าวันที่ต้าไท่ไท่ของจวนอี๋หนิงโหวจะจากไป พระชายาอ๋องกับพวกพี่น้องยังไปเยี่ยมเหล่าฮูหยินที่จวนอี๋หนิงโหวอยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นขมวดคิ้วขึ้น ดูท่าทีดุดันนิดหน่อย “ใต้เท้าสงสัยว่าข้าโกหกหรือ”
“กระหม่อมมิอาจ” ต่อหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้ ขุนนางทำหน้าหยิ่งผยองไม่ถ่อมตน
จิ่งหมิงฮ่องเต้ท่าทางทรงกริ้วมาก
เจ้าพวกไม่มีอะไรทำ เอาแต่จับตาดูเรื่องส่วนตัวของราชวงศ์ทำไม เรื่องฝนตกโหมกระหน่ำพังทลายหมู่บ้านต่างๆ ทางทิศใต้ เหตุใดถึงไม่มีใครพูดถึง
เมื่อมองไปยังเจ้าเจ็ดที่ดูไม่มีทางกลับใจได้แน่ จิ่งหมิงฮ่องเต่ก็ยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
ถูกจับได้แล้วเจ้าเด็กนี่ก็ยังไม่รู้จักสำรวมอีก แต่ละคนได้แต่ก่อปัญหาให้เขา!
อวี้จิ่นรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม “เสด็จพ่อ กระหม่อมไม่ได้โกหก พระชายาไม่สบายจริงๆ จึงไม่สามารถไปไว้ทุกข์ได้ จั่งสื่อแห่งจวนอ๋องก็ได้ส่งจดหมายไปให้จวนอี๋หนิงโหวได้อย่างทันท่วงทีแล้ว จวนโหวยังไม่ว่าอะไรเลย เหตุใดผู้อื่นถึงต้องมายุ่งวุ่นวายด้วย”
ยุ่งวุ่นวายงั้นรึ
พวกขุนนางได้ยินก็ระเบิดออกมา ขุนนางที่เอ่ยถามออกไปเมื่อครู่ยิ่งตื่นตัว เริ่มเปิดสงครามกับอวี้จิ่นออกมาตรงๆ
จั่งสื่อชราแห่งจวนอ๋องที่คุกเข่าลงอยู่ด้านข้างต้องแอบเช็ดน้ำตา
เขารู้แต่แรกแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ เขารู้อยู่แล้วว่าสักวันหนึ่งเยี่ยนอ๋องจะต้องถูกพวกขุมนางรุมทึ้ง
คราวนี้แหละ หน้าตาแก่ๆ ของเขาจะถูกทำลายจนหมดสิ้นต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน
ใบหน้าแก่ๆ ของเขานั้นไม่มีราคาหรอก แต่หากถูกลดตำแหน่งเพราะเรื่องเสียหายเช่นนี้ คงเป็นเรื่องที่น่าอัปยศอดสูไปทั้งชีวิตของเขาแน่
จั่งสื่อชรายิ่งคิดก็ยิ่งสิ้นหวัง มองไปยังขุนนางที่ท่าทางร้อนตัวท่านนั้นอ้าปากพูดฉอดๆ จู่ๆ ในใจก็มีความคิดผุดขึ้นมา ถ้าหากว่าเขากระโดดเข้าไปเอาผ้าเช็ดเหงื่ออุดปากเจ้านี่ ทุกอย่างมันจะเงียบลงหรือไม่
ด้วยสติทำให้จั่งสื่อไม่บุ่มบ่าม
อวี้จิ่นรับฟังด้วยสีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก รอจนขุนนางทั้งหลายนิ่งลง จึงเอ่ยพูดเสียงเรียบออกไป “พระชายาไม่สบายจึงไม่สามารถไปร่วมไว้ทุกข์ที่จวนอี๋หนิงโหวได้จริงๆ หากใต้เท้าทั้งหลายไม่เชื่อ ข้าก็หมดปัญญาแล้ว”
เขาพูดไปพลางมองไปที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ ทำหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรม “เสด็จพ่อได้โปรดเชื่อลูกด้วย”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เงยหน้ามองฟ้าอย่างเงียบๆ
อันที่จริงเขาก็ไม่เชื่อ…
หัวหน้าขุนนางเอ่ยย้ำออกมา “ในเมื่อเยี่ยนอ๋องพูดเช่นนี้ เหตุใดฮ่องเต้ถึงไม่เชิญหมอหลวงไปตรวจดูอาการของพระชายาอ๋องล่ะพ่ะย่ะค่ะ…”
“ไม่ได้!” อวี้จิ่นพูดโพล่งออกไป
ทุกคนต่างมองมาที่เขา สีหน้าแปลกประหลาดใจ
ที่เยี่ยนอ๋องบอกว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องไม่สบายนั้นเป็นข้ออ้างจริงด้วย คราวนี้เยี่อนอ๋องกินปูนร้อนท้องออกมาเองแล้ว
จิ่งหมิงฮ่องเต้จ้องอวี้จิ่นเขม็ง
“น้องเจ็ด ในเมื่อพระชายาเยี่ยนอ๋องไม่สบาย ก็ให้หมอหลวงไปดูเถอะ เสด็จพ่อจะได้ไม่ต้องกังวลใจ” องค์รัชทายาทพูดเกลี้ยกล่อมด้วยเจตนาที่ไม่หวังดี
องค์ชายท่านใดที่ถูกยื่นมติไม่ไว้วางใจ องค์ชายท่านอื่นต่างก็ต้องคอยฟังอยู่ข้างๆ ถือว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของหลายปีมานี้
สิ่งที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสสอนจะเรียกว่าเป็นบทเรียนเตือนใจ เป็นโอกาสดีที่จะได้ใช้เตือนสติพวกองค์ชายทั้งหลาย
อวี้จิ่นเหลือบมององค์รัชทายาท พลางเอ่ยเสียงเรียบ “ขอบใจพี่รองที่เป็นห่วงแทนข้า”
องค์รัชทายาทยังอยากจะพูดต่อ ทว่าเมื่อได้รับสายตาจากเสนาบดีหยางเต๋อกวงของกรมพิธีการ จึงทำได้เพียงเงียบไป
อวี้จิ่นคุกเข่าเอามือยันกับพื้นพร้อมกับโน้มศีรษะลงด้วยท่าทางจริงจัง “หมอเหลียงตรวจพระชายาดูแล้วพ่ะย่ะค่ะ จึงไม่ต้องรบกวนหมอหลวงอีก…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นอวี้จิ่นทำหน้าอ้อนวอนภาวนา ก็รู้สึกใจอ่อนเล็กน้อย
ภรรยาของเจ้าเจ็ดคงไม่ได้เป็นโรคอะไรที่ไม่สามารถเปิดเผยได้หรอกใช่ไหม หากเป็นเช่นนี้ เจ้าเจ็ดเอาแต่หาข้ออ้างมาบ่ายเบี่ยงก็ดูจะพออภัยให้ได้อยู่
ได้ยินอวี้จิ่นพูดขนาดนี้ พวกขุนนางทั้งหลายมั่นใจว่าเขากลัวเพราะทำผิด จึงยืนหยัดที่จะขอเชิญหมอหลวง
จู่ๆ อวี้จิ่นก็โมโหขึ้นมา “ใต้เท้าทั้งหลายว่างมากหรือ เอาแต่จับตาดูเรื่องภายในจวนของข้าไม่ปล่อย ข้าเป็นเพียงแค่ท่านอ๋องที่ไม่สำคัญอะไร พระชายากับข้าก็อยู่อย่างพอใจในสิ่งที่มี ที่ท่านป้าสะใภ้ของพระชายาเสีย หากไปร่วมไว้ทุกข์ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่หากไม่ไปก็ไม่มีอะไร เดิมเป็นเพียงแค่เรื่องของสามีภรรยา ข้านึกไม่ออกจริงๆ เลยว่ามันไปขัดขวางบ้านเมืองอย่างไร ทุกท่านถึงได้เป็นไม่พอใจขนาดนี้”
อวี้จิ่นย้อนถามจนทั้งท้องพระโรงเงียบสนิท
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตบฉาดลงบนพนักวางมือของบัลลังก์ “สามหาว หุบปากเดี๋ยวนี้!”
สถานการณ์จริงจังเช่นนี้ พูดความจริงออกมาโต้งๆ ได้อย่างไรกัน
“ท่านอ๋องเป็นองค์ชาย ทุกการกระทำล้วนเกี่ยวข้องกับหน้าตาราชวงศ์ เช่นนั้นจึงไม่อาจนับได้ว่าเป็นเพียงเรื่องในครอบครัวของท่านอ๋อง” หัวหน้าขุนนางโต้กลับเป็นคนแรกหลังจากที่ได้รับความตกตะลึง
อวี้จิ่นยิ้มร่า “ไม่นึกเลยว่าข้าจะสำคัญมาก ถึงขนาดเป็นตัวแทนของทั้งราชวงศ์…”
พวกขุนนางทั้งหลายได้แต่นิ่งอึ้ง ราวกับเพิ่งรู้จักเยี่ยนอ๋องใหม่อีกครั้ง
คาดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนกล้าถกเถียงกับขุนนางอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยเหตุผล
ต้องรู้ว่าขุนนางของต้าโจวมีสิทธิ์ที่จะทราบข่าวแล้วรายงานเรื่องต่างๆ ได้ ซึ่งหมายความว่าไม่จำเป็นต้องแสดงหลักฐานที่แท้จริงก็สามารถยื่นมติไม่ไว้วางใจใครซักคนตามคำบอกเล่าที่ได้ยินมาได้ ทว่าหากการยื่นมตินั้นผิดล่ะ
หึหึ ผิดก็ผิดน่ะสิ
เนื่องจากตั้งแต่มีราชวงศ์ขึ้นมาก็ได้มอบสิทธิ์อำนาจเช่นนี้ให้พวกขุนนาง ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาถึงได้มีขุนนางมากมายต่อสู้เสียสละอย่างไม่กลัวตายขณะที่ฮ่องเต้กำลังสูญเสียคุณธรรม และพูดเกลี้ยกล่อมอย่างไม่เกรงกลัวเสียดายชีวิตเพื่อหน้าที่ความถูกต้อง
‘กระหม่อมได้พยายามทำถึงที่สุดแล้ว ถึงตายก็ไม่เสียดายทีหลัง’ นี่เป็นอุปนิสัยของพวกขุนนาง และความคิดในแง่ดีของกษัตริย์
และด้วยเหตุนี้ การที่พวกขุนนางทำตัวหยิ่งยโสจึงไม่ได้แปลว่าไม่เจียมตัว ส่วนฮ่องเต้ที่อดทนก็ไม่ได้แปลว่าไร้ความสามารถ
กษัตริย์ที่เฉลียวฉลาดไม่อาจรับรองได้ว่าบุตรชายจะไม่กระทำผิด แม้กระทั่งไม่อาจรับรองได้ว่าตัวเองจะไม่ทำผิด เช่นนั้นคำพูดเกลี้ยกล่อมของพวกขุนนางจึงเป็นการควบคุมการกระทำของฮ่องเต้ แต่แท้จริงแล้วมันก็คือการคุ้มครองรักษาความมั่นคงของบ้านเมือง
แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องยอมรับขุนนาง แต่คาดไม่ถึงเลยว่าเยี่ยนอ๋องจะกล้าเถียงออกมาตรงๆ เช่นนี้ โดยไม่ยอมรับฟังดีๆ
จากนี้ไปอย่างหวังว่าจะได้อยู่อย่างเป็นสุขเลย
จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นท่าทีตรงหน้าก็ยิ่งปวดหัวไปใหญ่ จึงตรัสออกไป “เช่นนั้นก็ให้หมอหลวงไปตรวจ”