บทที่ 306 เรื่องน่าละอายใจ

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 306 เรื่องน่าละอายใจ

มิรู้ว่าเหตุใดข่าวสารจึงได้เผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว นี่เพิ่งจะผ่านไปวันที่สาม เกรงว่าคนจากหมู่บ้านรอบข้างล้วนพากันเดินทางมากันสิ้น

“ถึงกระนั้นก็แลกมิได้ ต่อให้ทุบตีจนตายก็แลกมิได้เด็ดขาด หากอาหารเหล่านี้นำไปแลกกับพวกเขา แล้วคนในหมู่บ้านเราจะใช้ชีวิตเช่นไร มิได้เป็นแน่!”

บัดนี้หวังโหยวเกินดูหนักแน่นขึ้นกว่าเดิม

หากบัดนี้มิยืนกรานพยายามเอาตัวรอด แล้วเมื่อไรเล่าจะถึงเวลา?

“ลุงโหยวเกิน หากเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาล่ะก็ หมู่บ้านของพวกเราอาจจะต้องถูกรังแกและกดขี่จากหมู่บ้านทั้งหลาย แล้วพวกเราจะไปสู้กับหมู่บ้านมากมายเช่นนั้นได้อย่างไร?”

โจวกุ้ยหลานเอ่ยเตือนเขาอย่างไร้หนทาง

หวังโหยวเกินรู้สึกปวดหัวยิ่งนัก เมื่อคิดว่าที่นี่เต็มไปด้วยผู้คนรายล้อม ในใจของเขาก็รู้สึกแย่

บัดนี้คนที่เดินทางมามีจำนวนพอๆ กับคนในหมู่บ้านต้าสือแล้ว ที่จริงก็มิได้กลัวพวกเขา แต่หากว่าจะลงไม้ลงมือขึ้นมาจริงๆ เมื่อถึงเวลาที่พวกเขากลับไปแล้วเอาเรื่องธัญพืชของหมู่บ้านต้าสือไปบอกคนอื่น คาดว่าคงจะมีคนมามากกว่าเดิม เมื่อถึงเวลานั้นคนในหมู่บ้านก็คงมิอาจรับมือไหว

เมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้ ต่อให้มิเต็มใจนัก ก็รู้ได้ว่าสิ่งที่โจวกุ้ยหลานกล่าวนั้นเป็นเรื่องจริง

เมื่อคิดเรื่องธัญพืชต้องแบ่งไปให้หมู่บ้านอื่น หวังโหยวเกินก็รู้สึกกระวนกระวายใจ “แต่เราจะให้ธัญพืชกับพวกเขาใช้เช่นนี้เฉยๆ มิได้ หากพวกเรามิมีอาหารกินแล้วจะทำอย่างไร?”

ต่อให้รู้ว่านับจากนี้จะเกิดผลลัพธ์เช่นไรขึ้น เขาก็มิยินดีที่จะแลกธัญพืชเหล่านี้ออกไป คนจากหมู่บ้านต้าสือของเขาก็จะกินมิอิ่มน่ะสิ!

“เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ผู้คนในหมู่บ้านเราที่ต้องการแลกธัญพืช ก็ให้พวกเขาแลกก่อน หากยังมีธัญพืชเหลือพอ พวกเราค่อยเอาไปแลกกับพวกเขา ท่านคิดว่าเป็นอย่างไร?”

โจวกุ้ยหลานบอกถึงความคิดเห็นของตนออกมา แล้วเอ่ยถามหวังโหยวเกิน

สำหรับนางแล้วนั้น คงจะชื่นชอบผืนนาอยู่ติดกันแล้วนำมาแลกเสียมากกว่า แต่หากหมู่บ้านอื่นต้องการจะมาแลก นางเองก็มิอาจห้ามได้ พวกโจรภูเขาคอยจับจ้องที่นี่ ก็มีเพียงมิกี่คน มิอาจต้านเอาไว้ได้เลย

หวังโหยวเกินรู้สึกมิพอใจ กล่าวว่าจะไปเจรจากับบรรดาผู้อาวุโสในหมู่บ้านถึงเรื่องนี้ โจวกุ้ยหลานก็มิได้บีบบังคับเขา ปล่อยให้เขาทำตามที่ประสงค์

อีกด้านหนึ่ง สีหน้าของแต่ละคนดูหนักอึ้งเคร่งเครียด หัวหน้าหมู่บ้านอีกหลายคนพากันปลอบโยนคนในหมู่บ้านของตน หลังจากนั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าโจวกุ้ยหลาน เพื่อเจรจากับโจวกุ้ยหลาน ถึงเรื่องนี้

โจวกุ้ยหลานกล่าวได้เพียงว่า นางจะรอฟังผลการเจรจาปรึกษาจากหัวหน้าหมู่บ้านเสียก่อน ทุกคนจึงทำได้เพียงรอ

หลังจากรออยู่สักพัก หวังโหยวเกินจึงเดินออกมาพร้อมกับผู้อาวุโสในหมู่บ้านอีกหลายคน สายตาเหลือบมองไปทางโจวกุ้ยหลาน และคนรอบข้าง สุดท้ายที่สุดแล้วเขาก็พยักหน้าอย่างจำใจ “หากเช่นนั้นให้ชาวบ้านจากหมู่บ้านต้าสือแลกเปลี่ยนธัญพืชก่อน รอให้หมู่บ้านต้าสือแลกเสร็จแล้ว หมู่บ้านอื่นจึงจะแลกได้”

“เช่นนั้นมิได้! ประชาชนในหมู่บ้านต้าสือของพวกเจ้าหมีมากมายเท่าไหร่ หากทุกคนล้วนมาแลกเปลี่ยนหมด จะยังมีอาหารเหลือให้พวกเราหรือ เจ้ากำลังจะหลอกล่อให้พวกเราหลงกลสินะ?” ชายหนุ่มร่างกายกำยำคนหนึ่งปฏิเสธขึ้นทันควัน

ชายอีกคนอายุมองไปได้หกสิบกว่าปี ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “มิได้ ทำเช่นนี้มิได้ ต่อให้นางมีอาหารมากมายเท่าไหร่ ก็มิเพียงพอสำหรับคนในหมู่บ้านต้าสือหรอก”

“หากมิตกลง ทุกคนก็จงกลับไป นี่เป็นอาหารของหมู่บ้านต้าสือเรา พวกเจ้าคิดจะแย่งงั้นหรือ?” หวังโหยวเกินเองก็รู้สึกโมโห

เมื่ออยู่ต่อหน้าโจวกุ้ยหลาน เขาระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง นั่นก็เพราะอำนาจของนางและอาหารที่มี แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงหัวหน้าหมู่บ้านของต้าสือ เขาเป็นหัวหน้าหมู่บ้านมาเนิ่นนาน เขาจะมิมีอารมณ์ความรู้สึกเป็นของตนเองได้อย่างไร?

“เหตุผลนี้ของเจ้าใช้ได้ที่ไหน ในตอนนั้นที่พวกเจ้าประสบกับภาวะแห้งแล้ง หากมิใช่เพราะพวกเราเปิดเขื่อนให้พวกเจ้ามีน้ำใช้ คนในหมู่บ้านพวกเจ้าจะมีชีวิตจนถึงบัดนี้หรือ?”

“นั่นคือน้ำที่พวกเราซื้อมา เป็นน้ำที่มาจากหมู่บ้านพวกเจ้าและถูกพวกเจ้าเก็บกักเอาไว้เท่าไหร่ข้ามิอยากเอ่ยถึง แต่น้ำนั้นพวกเรา เสียเงินในการซื้อ!” หวังโหยวเกินก็ใช่ว่าจะยอมง่ายๆ

เมื่อเห็นว่าพวกเขาจะทะเลาะกันขึ้นมา โจวกุ้ยหลานจึงรีบยกมือขึ้นทำสัญลักษณ์ให้พวกเขาหยุด

“เอาเถอะๆ อย่าได้ทะเลาะกันเลย ทุกท่านจงฟังข้า”

โจวกุ้ยหลานเอ่ยปากขึ้น คนอื่นๆ จึงทำได้เพียงเก็บความโมโหไว้แล้วรอให้โจวกุ้ยหลานเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากอาหารเหล่านั้นเป็นของนาง

โจวกุ้ยหลานหันกลับไปมองดูคนที่อยู่ด้านหลังเหล่านั้นแล้วถอนหายใจออกมาว่า “แม้ว่าพวกเราจะมิใช่คนในหมู่บ้านเดียวกัน แต่หมู่บ้านของพวกเรานั้น ก็อยู่ใกล้กัน หากจะนับแล้วต่างอะไรกับญาติเล่า”

พวกเขาทั้งหลายฟังดู แต่ก็มิได้พูดสิ่งใด

เมื่อหมู่บ้านอยู่ใกล้เคียงกัน เรื่องการแต่งงานและความสัมพันธ์เหล่านั้น ก็มิไปจากหมู่บ้านเหล่านี้

วันนี้ลูกสาวข้าแต่งงานกับหมู่บ้านเจ้า พรุ่งนี้คนจากหมู่บ้านเจ้าแต่งมาที่หมู่บ้านข้า

หมู่บ้านต้าสือมีการแลกเปลี่ยนธัญพืช การที่พวกเขารู้ก็เพราะว่าบุตรสาวที่แต่งงานมาในหมู่บ้านนี้ไปบอกมิใช่หรือ?

เมื่อพบว่ามิมีใครเอ่ยปากคัดค้านนาง โจวกุ้ยหลานจึงกล่าวขึ้นว่า “ที่บ้านข้ายังมีธัญพืชเหลืออยู่มาก เพียงพอสำหรับคนในหมู่บ้านที่จะนำมาแลก ข้าควรที่จะช่วยเหลือคนในหมู่บ้านมิให้อดตายเสียก่อน แล้วจึงค่อยช่วยเหลือหมู่บ้านของพวกเจ้ามิให้อดตายมิใช่หรือไร?”

“ถูกต้องแล้ว นี่คือความเป็นจริง แม้แต่พวกเราก็ใกล้จะอดตาย แล้วจะเอาอะไรมาช่วยเหลือพวกเจ้า หากว่าธัญพืชเหล่านี้เป็นของหมู่บ้านพวกเจ้า พวกเจ้าคิดจะแบ่งให้พวกเราหรือไม่เล่า?” หวังโหยวเกินชี้หน้าด่าทอพวกคนเหล่านั้น

คนอื่นๆ ก็พากันเงียบกริบ

เรื่องเช่นนี้มิใช่ว่ามิเคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อหลายปีก่อนที่อากาศร้อนและแห้งแล้ง พวกเขาเองก็มิยินดีที่จะมอบน้ำแบ่งปันไปให้แก่หมู่บ้านอื่น

“หากว่าพวกเจ้ายังคงจะแก่งแย่งต่อสู้กัน ข้าจะนำธัญพืชเอาไปขาย เมื่อถึงเวลานั้นพวกเจ้าจงไปหาซื้อเอาเถิด”

โจวกุ้ยหลานพูดจบยังมิทันไร หัวหน้าหมู่บ้านคนอื่นๆ ก็ได้พากันเข้ามาห้ามนางเอาไว้

“มิได้ มิได้เด็ดขาด!”

“เช่นนั้นพวกเจ้าจงปรึกษาเจรจากันเถิด ว่าจะยินดีหรือไม่” โจวกุ้ยหลานเอ่ยแนะนำขึ้น

หัวหน้าหมู่บ้านเหล่านั้นต่อให้มิยินดีก็มิมีหนทางอื่น ราคาธัญพืชในหมู่บ้านสูงขึ้นทุกวัน ต่อให้พวกเขานำเงินทองทั้งหมดไปหาซื้อ กินได้มิกี่วันก็คงจะหมดแล้ว หาได้ถูกดั่งธัญพืชของโจวกุ้ยหลาน

ท้ายที่สุดหลังจากที่พวกเขาเจรจาหารือกัน ก็ตัดสินใจตอบรับ เพียงแต่ต้องการให้โจวกุ้ยหลานรับประกันว่าผู้คนจากหมู่บ้านต้าสือจะมิแลกเปลี่ยนธัญพืชไปจนหมดสิ้นเสียก่อน

โจวกุ้ยหลานตอบรับ หัวหน้าหมู่บ้านทั้งหลายจึงได้พากันกลับไปบอกต่อกับคนของหมู่บ้านตน

เดิมทีทุกคนต่างพากันมิยินดียินยอมและโหวกเหวกโวยวาย ต่อมามิรู้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านโน้มน้าวหัวใจของพวกเขาเช่นไร ในที่สุดก็ทำให้พวกเขาสงบลงได้

บัดนี้ทุกคนต่างหิวเสียจนแทบทนมิไหว จะมีแรงมาโต้เถียงมากมายเท่าใดกัน

ตอนที่หวังโหยวเกินเอ่ยถึงเรื่องนี้ บรรดาชายหนุ่มในหมู่บ้านก็พากันจะทะเลาะกับเขาเสียตรงนั้น แต่กลับถูกหวังโหยวเกินตำหนิสั่งสอน

ผ่านไปสักพักจึงได้บอกกับพวกเขาว่าให้พวกเขาทั้งหลายนำที่ดินของตนมาแลกกับธัญพืช เพราะว่าในมิช้าอาจจะมิมีธัญพืชเหลือแล้ว

คนในหมู่บ้านต่างพากันลังเล ชายชราคนหนึ่งอดมิได้ที่จะเอ่ยว่า “เช่นนั้น……หากพวกเรานำไร่นามาแลกกับธัญพืชแล้ว ในอนาคตพวกเรามิมีไร่นาแล้วพวกเราจะกินอะไร”

“เรื่องแค่นี้พวกเจ้าคิดมิได้หรือ นี่คืออุทกภัย อีกหนึ่งปีคาดว่าคงมิมีธัญพืชกินเลย แล้วคนในตระกูลของพวกเจ้า จะผ่านพ้นมันไปได้อย่างไร หากว่าบัดนี้พวกเจ้านำไปแลกกับธัญพืช คนในครอบครัวของพวกเจ้าก็มีอาหารกินทั้งปี จากนั้นค่อยเอาไปแลกกับที่นากลับคืน ก็ได้แล้วมิใช่หรือ?”

“เมื่อถึงเวลานั้นบางทีอาจจะมีที่นาเพิ่มมากขึ้นก็ได้!”

“แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่เมื่อถึงเวลามีอาหารจากคลังหลวงมา พวกเรา……พวกเราจะมิเท่ากับทุกมือตัวเองหรือ?” ชายชราผู้นั้นยังคงลังเล