บทที่ 459 หลอกตัวเองและผู้อื่นก็เท่านั้นเอง

Lucky baby คุณพ่อ ต้องพยายามจีบแม่

“ประธานลี่ทำไมต้องถ่อมตัวขนาดนี้ล่ะครับ! จากความสามารถของคุณ ต่อไปภายภาคหน้าไม่แน่อาจทำได้ดีกว่าประธานลี่ด้วยซ้ำนะครับ! พวกเรายังต้องรบกวนคุณให้ช่วยเลื่อนตำแหน่ง และช่วยดูแลพวกเราด้วยนะครับ!” ผู้อำนวยการอีกคนของฝ่ายบุคคลก็ได้พูดชื่นชมเสริมขึ้นมาพลางยิ้ม

“จริงด้วยจริงด้วย! ประธานลี่บุคลิกท่าทางเหมือนกับประธานในตอนนั้นเลยนะ!”

……

คำพูดเหล่านี้ทำให้ลี่หุยฟังแล้วมีความสุขมาก เขาหวังมาตลอดว่าตัวเองจะได้รับการยอมรับจากคนอื่น จนมาถึงวันนี้ในที่สุดมันก็เป็นจริงแล้ว ยังไงก็ต้องรู้สึกภาคภูมิใจตัวเองเป็นธรรมดา แต่ทว่าภายนอกยังคงแสดงสีหน้าถ่อมตัว

ลี่หุยโบกปัดมือไปมา “คำชื่นชมของทุกท่านต้องขออภัยด้วยที่ลี่หุยไม่สามารถรับไว้ได้ ความสามารถของประธานลี่เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคน ผมจะไปเทียบกับเขาได้ยังไงกันครับ? ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ที่สามารถแก้ไขได้สำเร็จ ก็เป็นประธานลี่คอยชี้แนะอยู่เบื้องหลัง! ผมยังมีสิ่งที่ยังต้องเรียนรู้จากประธานลี่อีกเยอะเลยล่ะครับ!”

เมื่อเห็นลี่หุยไม่ได้ได้ใจไปกับคำชื่นชมของตัวเอง ทุกคนต่างก็รู้สึกดีต่อเขามากขึ้นไปอีก ถึงแม้ความสามารถของลี่จุนถิงจะเก่งกาจมาก แต่เขาก็มักมีท่าทีเย่อหยิ่ง จนทำให้คนอื่นรู้สึกไม่พอใจเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ และตอนนี้ลี่หุยก็แสดงท่าทีเป็นมิตรซะขนาดนั้น ดังนั้นเมื่อเทียบกันแล้ว ทุกคนจึงรู้สึกว่าลี่หุยที่อยู่ตรงหน้าดีกว่ามากเลยทีเดียว!

ได้ยินลี่หุยเอ่ยถึงตัวเอง ลี่จุนถิงที่ยืนอยู่ด้านนอกสุดก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย เขาแสยะยิ้มออกมา และไม่ได้เก็บมาใส่ใจ

ต่อหน้าพูดออกมาอย่างนี้ แต่ใครจะรู้ล่ะว่าในใจของลี่หุยคิดชั่วอะไรอยู่? ต้องเรียนรู้จากตัวเองงั้นเหรอ? เขาคิดว่าตัวเองรู้ไม่ทันความคิดชั่ว ๆ นั่นหรือไง? ดูท่าทางถ้าหากไม่ทำอะไรบ้าง เกรงว่าจะรู้สึกผิดต่อคำพูดของลี่หุยในวันนี้น่ะสิ!

แต่ว่า ที่จริงตอนนี้ลี่หุยยังไม่ได้รับการยอมรับจากผู้บริหารระดับสูงของบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปเลยสักนิด ตอนนี้ที่ถูกคนเรียกว่า “ประธานลี่” ก็แค่ถูกคนพวกนั้นประจบสอพลอเท่านั้นเอง

ในความเป็นจริง ในมือของลี่หุยที่จริงแล้วไม่มีอำนาจอะไรเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นจากที่ลี่จุนถิงดู จึงรู้สึกว่าน่าขำสิ้นดี

ลี่หุยจะไม่รู้สภาพในตอนนี้งั้นเหรอ? ที่จริงแค่เลือกฟังคำพูดพวกนั้นเพื่อหลอกตัวเองและผู้อื่นก็เท่านั้นเอง

……

ท่านปู่ลี่หลังจากที่วางมือจากธุรกิจ ทุก ๆ วันนอกจากยืดเส้นยืดสาย เชยชมดอกไม้ต้นไม้แล้ว บางครั้งก็ได้พูดคุยถึงเรื่องในวันวานกับเพื่อนเก่า ชีวิตดำเนินไปอย่างสุขสบายแต่ก็เงียบเหงา คนแก่เมื่อถึงอายุปูนนี้ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะโหยหาความอบอุ่นจากครอบครัว จึงได้กำหนดเอาไว้ว่าทุกสุดสัปดาห์ต้องมีการรวมตัวสังสรรค์กันภายในครอบครัว

สุดสัปดาห์นี้ เป็นวันที่คนในตระกูลลี่ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่มารวมตัวกันอีกครั้ง

ท่านปู่ลี่นั่งอยู่ตรงกลางห้องรับแขกด้วยท่าทางน่าเกรงขาม หรี่ตามองไปยังคนรับใช้ที่อยู่ไม่ไกลนักกำลังวิ่งไล่ตามป้อนข้าวให้เด็กที่ซุกซนอยู่ ตระกูลลี่มีลูกหลานเยอะแยะมากมาย ญาติพี่น้องมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมาทีละคน ท่านปู่พอใจมากกับการที่มีลูกหลานอยู่เต็มบ้านครึกครื้นเหมือนอย่างตอนนี้

ทันใดนั้นก็เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ ท่านปู่เก็บอาการผ่อนคลายไว้ แล้วกวาดตามองไปยังทุกคนที่นั่งพูดคุยหัวเราะกันอยู่ในห้องรับแขก แต่กลับไม่เห็นลี่จุนถิง จึงได้กระแทกไม้เท้าในมือลงบนพื้นอย่างแรง เสียงทุ้มต่ำดังกึกก้องขึ้นมา

คนรับใช้ที่คอยยืนรับคำสั่งอยู่ด้านข้างตกใจจนรีบโค้งตัวลง “คุณท่าน!”

ท่านปู่เป็นคนอารมณ์ร้อนมาโดยตลอด ยิ่งแก่ก็ยิ่งเก็บอาการไม่อยู่ “เหอะ! ไอลี่จุนถิงมันอยู่ไหน?”

คนรับใช้รีบขานรับ : “คุณชายน่าจะติดงานอยู่ อีกเดี๋ยวคงมาครับ”

“เหอะ! ยังเห็นฉันอยู่ในสายตาหรือเปล่า?” ท่านปู่ยังคงมีอคติ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห

คนรับใช้รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน กลัวว่าจะมีเรื่องขึ้นมา จึงไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่โค้งคำนับแล้วยืนอยู่ด้านข้าง

ผ่านไปสักพัก ท่านปู่ก็ได้กล่าวเสียงดังกังวานราวกับเสียงระฆังว่า “ไม่รอแล้ว ไปบอกให้เริ่มทานข้าวได้”

ในที่สุดคนรับใช้ก็เป็นอิสระเสียที ขณะที่ก้าวถอยออกไปก็แอบโล่งใจขึ้นมา

โม่เสี่ยวฮุ่ยถึงแม้ว่าต่อหน้าจะพูดคุยกับคนข้าง ๆ ไม่หยุดหย่อน แต่ก็แอบจ้องมองท่าทีของท่านปู่ลี่อยู่เงียบ ๆ กลัวว่าจะมีคนฉวยโอกาสตอนที่เธอไม่ทันระวัง ไปตีสนิทกับท่านปู่ เธอไม่มีทางยอมให้ใครมาทำลายผลประโยชน์ของลูกชายตัวเองเด็ดขาด ไม่ว่าใครหน้าไหนทั้งนั้น!

เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนไปกะทันหันของท่านปู่ อ่านปากก็เดาไม่ได้ว่าท่านออกคำสั่งอะไรกับคนรับใช้ จึงได้แต่มองตามหลังคนรับใช้ไป และได้เห็นการเคลื่อนไหวในห้องอาหารอย่างไม่ชัดเจนนัก โม่เสี่ยวฮุ่ยขมวดคิ้ว ทำไมจู่ ๆ ถึงได้เลื่อนเวลาร่วมรับประทานอาหารมาก่อนครึ่งชั่วโมงล่ะ?

เธอหันซ้ายหันขวามองไปรอบ ๆ ไม่เห็นแม้แต่เงาของลี่จุนถิง เมื่อเห็นท่านปู่ค่อย ๆ ลุกขึ้นแล้วทำท่าจะหมุนตัวเดินออกไป ก็ตกใจขึ้นมา “แย่แล้ว!”

จากนั้นเธอก็หาข้ออ้างแล้วเดินไปยังมุมที่ไม่มีคน โม่เสี่ยวฮุ่ยกดโทรศัพท์ไปหาลี่จุนถิง ไม่รอให้อีกฝ่ายส่งเสียงพูด เธอก็รีบถามออกไปด้วยความโมโหว่า : “แกรู้หรือเปล่าว่าวันนี้เป็นวันอะไร? คนที่อาวุโสกว่าแกยังรู้จักมาก่อนเวลาเพื่อทำให้บรรยากาศอบอุ่นขึ้น แล้วแกล่ะ ตอนนี้อยู่ที่ไหน?”

ลี่จุนถิงไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด : “เดี๋ยวผมก็ไป”

“แกมาตอนนี้เลยนะ!” โม่เสี่ยวฮุ่ยโกรธมากที่ลูกชายของตัวเองมีท่าทีไม่ยี่หระอะไร เธอไม่มีทางยอมให้ตำแหน่งผู้สืบทอดของลี่จุนถิงเกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้นเด็ดขาด

อีกฝ่ายกำลังยืนพิงประตูรถ จุดบุหรี่สูบด้วยท่าทางเอ้อระเหย แล้วมองไปยังความเคลื่อนไหวที่หน้าประตูลิฟต์ : “อีกเดี๋ยวก็ถึง”

“ฉันต้องการให้แกมาถึงตอนนี้! ลี่จุนถิง! แกเข้าใจที่ฉันพูดไหม?” โม่เสี่ยวฮุ่ยกดเสียงต่ำตะคอกออกไปด้วยความโมโห

ลี่จุนถิงรู้สึกแปลกใจ และหมดความอดทน “แม่ยังมีเรื่องอะไรอีกไหม? ถ้าไม่มีผมวางล่ะนะ”

“ตกลงแกอยู่ไหนกันแน่?” แม่ลี่ยังคงรบเร้าไม่เลิก ทันใดนั้น เธอก็คิดอะไรขึ้นมาได้ : “แกอยู่กับยัยผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม ฉันรู้อยู่แล้วเชียว ว่ายัยนั่นดีแต่ถ่วงความเจริญของแก!”

ลี่จุนถิงไม่อยากฟังคำตำหนิพวกนี้ จึงพูดขัดเธออย่างเอือมระอา : “ผมกำลังขับรถ ไม่สะดวก วางล่ะนะ”

พูดจบก็มีเสียงตู๊ดตู๊ดดังขึ้น ความโกรธที่คับแน่นอยู่ในออกไม่มีที่ให้ระบาย โม่เสี่ยวฮุ่ยจึงได้แต่กระทืบพื้นแรง ๆ แล้วก่นด่า

ตอนนี้คนในตระกูลลี่และคนระดับสูงระดับล่างในบริษัท ต่างก็ถูกไอลูกนอกสมรสไร้ยางอายคนนั้นเอาอกเอาใจอย่างเปิดเผย ลี่จุนถิงเองก็ยังไม่ได้ครองตำแหน่งสูงสุด เธอจึงรู้สึกเคร่งเครียด วิตกกังวลอยู่ทุกวัน

โต๊ะยาวสไตล์ยุโรปถูกวางเต็มไปด้วยอาหารร้อน ๆ หอมกรุ่นสีสันน่าทาน ทุกคนต่างก็มองหน้ากันไปมาอย่างเลิ่กลั่ก แอบแย่งที่นั่งตำแหน่งดี ๆ กัน โดยท่านปู่ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะไม่ส่งเสียงพูดอะไร ได้แต่มองการแก่งแย่งเหล่านี้อยู่เงียบ ๆ อย่างเย็นชาด้วยความเคยชิน

ที่นั่งที่อยู่ใกล้กับท่านปู่มากที่สุด ก็คือคนที่มีอำนาจมากที่สุดในตระกูลลี่ เป็นที่นั่งด้านขวามือของท่านปู่ ซึ่งยังคงว่างอยู่ ไม่มีใครกล้าไปนั่ง

“นี่ยังมีที่ว่างไม่ใช่เหรอ? นั่งห่างขนาดนั้นทำไม? ย้ายขึ้นมา” ท่านปู่เหลือบมองพ่อลี่แวบหนึ่ง แล้วจ้องมองทุกคน จากนั้นก็เอ่ยเสียงน่ายำเกรงออกมา ทำเหมือนกับไม่รู้ว่าที่นั่งตรงนั้นปกติเป็นของลี่จุนถิง

ลี่เจี้ยนหวามองท่านปู่ แล้วเหลือบมองที่ว่างข้าง ๆ แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ จึงได้แต่ขยับขึ้นไป

โม่เสี่ยวฮุ่ยจับชายเสื้อของสามีเอาไว้ไม่ทัน เมื่อเห็นเขานั่งลงแล้ว จึงได้แต่อัดอั้นใจ แล้วย้ายที่นั่งอย่างไม่เต็มใจ

ทุกคนต่างแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไร แล้วงานเลี้ยงร่วมรับประทานอาหารก็ได้เริ่มขึ้น ซึ่งแต่ละคนก็คิดต่างกันไป

ลี่เจี้ยนหวามองใบหน้าเคร่งขรึมที่กำลังทานอาหารแวบหนึ่ง ก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมา ตอนนี้เขายอมให้ตัวเองนั่งตรงตำแหน่งนี้ แสดงว่าในใจท่านปู่มองเขาเปลี่ยนไปแล้วใช่หรือเปล่า และจนถึงตอนนี้การกระทำของลี่หุยก็คงอยู่ในสายตาท่านปู่มาโดยตลอด ลี่เจี้ยนหวาคิดอย่างนี้ ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา

ลี่เจี้ยนหวาดีใจจนเนื้อเต้น เขาประจบเอาใจโดยใช้ตะเกียบคีบอาหารไปวางในถ้วยของท่านปู่ “พ่อครับ ทานเยอะ ๆ นะครับ”