บทที่ 460 สมควรสกปรกไปตลอดชีวิต

Lucky baby คุณพ่อ ต้องพยายามจีบแม่

ท่านปู่ไม่ปรายตามองเขาแม้แต่น้อย ได้แต่เหลือบมองอาหารที่อยู่ในถ้วย แล้วตอบกลับอย่างไม่ไยดีว่า “อืม”

แววตาโม่เสี่ยวฮุ่ยฉายแววดูถูกออกมา และได้ยินสามีของตัวเองเอ่ยปากพูดอีกว่า : “พ่อครับ ต้องดูแลตัวเองให้ดี ๆ นะครับ เรื่องในบริษัททุกอย่างเรียบร้อยดี ช่วงนี้ลี่หุยก็ช่วยงานได้ไม่น้อยเลย คนในบริษัทต่างพากันมองเขาด้วยความทึ่ง……”

โม่เสี่ยวฮุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินดังนั้น ก็ตื่นตระหนกขึ้นมา รีบพูดขัดทันที แล้วยื่นถ้วยซุปไปให้พ่อลี่ จากนั้นก็ยิ้มพลางแสร้งพูดว่า : “อย่าพูดเรื่องงานบนโต๊ะอาหารสิคะ ตั้งใจทานเถอะค่ะ”

ลี่เจี้ยนหวายังพูดไม่ทันจบก็ถูกขัดขึ้นมาซะก่อน จึงได้จ้องเขม็งโม่เสี่ยวฮุ่ย แล้วผลักถ้วยที่เธอยื่นให้ออกไป

ท่านปู่ได้แอบมองพฤติกรรมของทั้งสองคนอยู่เงียบ ๆ ในใจก็รู้สึกโมโหขึ้นมาเล็กน้อย แต่กลับเอ่ยขึ้นว่า “ก็พอได้ยินมาบ้างแล้ว หวังว่าพวกแกจะไม่ชะล่าใจกันนะ”

โม่เสี่ยวฮุ่ยเห็นว่าครั้งนี้ท่านปู่ไม่ได้ต่อต้านเรื่องลูกนอกสมรสสักเท่าไหร่ จึงรู้สึกวิตกกังวลและโมโห ทำให้ถ้วยกับตะเกียบที่อยู่ในมือกระทบกันจนเสียงดัง

ท่านปู่ลี่ปรายตามองโม่เสี่ยวฮุ่ย ส่งสัญญาณเตือนว่าอย่าพูดอะไรมากบนโต๊ะอาหาร โม่เสี่ยวฮุ่ยจึงได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน

งานเลี้ยงภายในครอบครัวดำเนินการไปได้ครึ่งทางแล้ว ลี่จุนถิงและเจียงหยุนเอ๋อกลับเพิ่งมาถึง

ทุกคนเอ่ยทักทายด้วยความเสแสร้ง ท่านปู่ไม่ปรายตามองสักนิด ส่วนโม่เสี่ยวฮุ่ยกลับจ้องเขม็งไปที่เจียงหยุนเอ๋อ แทบจะอยากฉีกเนื้อเธอเป็นชิ้น ๆ ให้สาแก่ใจ

เจียงหยุนเอ๋อรู้สึกกระวนกระวายใจ เนื่องจากเป็นเพราะตัวเองต้องทำงานล่วงเวลากะทันหันจึงทำให้ลี่จุนถิงมาสาย

ลี่จุนถิงลูบมือเธอเพื่อปลอบใจ เอ่ยทักทายท่านปู่อย่างเรียบ ๆ ไม่แข็งกร้าวใส่แต่ก็ไม่ได้อ่อนโยนเท่าไหร่นัก ไม่ได้รับการตอบกลับก็ไม่ได้รู้สึกลำบากใจอะไร ได้แต่คอยดูแลหาที่นั่งให้เจียงหยุนเอ๋ออย่างช้า ๆ

งานเลี้ยงภายในครอบครัวครั้งนี้จบลงด้วยความลำบากใจ ท่านปู่เรียกสามีภรรยาที่มาสายไปยังห้องหนังสือ โม่เสี่ยวฮุ่ยฉุดกระชากลี่เจี้ยนหวาเข้าไปในห้องนอนโดยไม่เหลือภาพลักษณ์ความเป็นผู้ดีอยู่เลย

ประตูถูกปิดลงอย่างสั่นสะเทือน ภายในห้องมีการทะเลาะกันอย่างรุนแรง

“ลี่เจี้ยนหวา คุณหมายความว่ายังไง? ยังมียางอายอยู่หรือเปล่า? ถึงได้พูดเรื่องลูกนอกสมรสนั่นของคุณออกมาโดยไม่ละอายเลยสักนิด!”

ลี่เจี้ยนหวาสะบัดมือเธอออก เห็นโม่เสี่ยวฮุ่ยเซล้มลงบนพื้น ก็ไม่รู้สึกสงสารเห็นใจเลยแม้แต่น้อย “เรื่องของฉัน เธอไม่ต้องมายุ่ง! ทำไมลี่หุยถึงจะเทียบกับจุนถิงไม่ได้? ทำไมเขาต้องอยู่ในความมืดมิดตลอดชีวิต?”

โม่เสี่ยวฮุ่ยจ้องเขาอย่างกินเลือดกินเนื้อ แล้วลุกขึ้นมาในแววตาแฝงความเย้ยหยันเอาไว้ : “ชีวิตที่สกปรกของมันไม่มีค่าพอที่จะมาเทียบกับลูกชายของฉัน มันสมควรแล้วที่ต้องสกปรกไปตลอดชีวิต!

ทั้งสองคนตาต่อตาฟันต่อฟัน ลี่เจี้ยนหวาผลักเธอออกอีกครั้งอย่างไม่ลังเลสักนิด : “ฉันทนเธอมามากพอแล้ว!”

ทันใดนั้นโม่เสี่ยวฮุ่ยก็ยกมือขึ้นมาตบหน้าเขาไปหนึ่งฉาด : “ไปให้พ้น! ไสหัวไปให้พ้นหน้าฉัน!”

ในที่สุดทั้งสองคนก็แตกหักกัน นับตั้งแต่ตอนนั้น ลี่เจี้ยนหวาก็ไม่ได้กลับไปยังบ้านหลังนั้นที่มีโม่เสี่ยวฮุ่ยอาศัยอยู่อีกเลย

ส่วนโม่เสี่ยวฮุ่ย ก็คิดหาทางต่อต้านสองพ่อลูกนั่นจนถึงที่สุด เธอกับลี่หุย ไม่ใครก็ใครต้องตายกันไปข้างหนึ่ง

หลายวันมานี้ลี่จุนถิงรู้สึกหงุดหงิดมาก เพราะแม่ลี่คอยโทรรายงานทุกการเคลื่อนไหวทุกความก้าวหน้าของลี่หุยให้เขาฟังวันเว้นวัน และเอาแต่บ่นด่าลี่เจี้ยนหวากับลี่หุยว่าขวางหูขวางตาแค่ไหน จนทำให้ลี่จุนถิงรู้สึกรำคาญเป็นอย่างมาก

เที่ยงวันนี้ เจียงหยุนเอ๋ออุตส่าห์ทำมื้อเที่ยงมาให้ที่บริษัท ลี่จุนถิงถึงขนาดลงมารับเธอด้วยตัวเอง แล้วเอากระเป๋าในมือเธอมาถือไว้ จากนั้นก็โอบเอวเธอให้แนบชิดกับตัวเอง ดูรักใคร่กันมาก

มองคู่รักกิ่งทองใบหยกที่รักกันหวานชื่นอย่างนี้ ทำเอาบรรดาผู้คนที่แอบมองอิจฉาตาร้อนกันเป็นแถว

เจียงหยุนเอ๋อมีความสุขมาก จนเก็บอาการของตัวเองไว้ไม่อยู่ มองลี่จุนถิงด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

ลี่จุนถิงก็มีความสุขเช่นกัน ทั้งสองคนอยู่ในห้องทำงาน มีสายลมอ่อน ๆ และแสงแดดสาดส่องอยู่นอกหน้าต่าง ทั้งคู่ทานอาหารด้วยกันอย่างสวีทหวาน ดื่มด่ำกับช่วงเวลาสองเราที่แอบปลีกตัวออกมาจากชีวิตที่วุ่นวาย

ระหว่างนั้น ก็ถูกลูกน้องเข้ามาขัดจังหวะครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เจียงหยุนเอ๋อเห็นเขางานยุ่งมาก ก็หน้าเศร้า รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย และก็เป็นห่วงเขาด้วย เธอได้แต่นั่งเคี้ยวข้าวอย่างไร้รสชาติอยู่เงียบ ๆ

ลูกน้องตัวสั่นหงึกหงึกยื่นโทรศัพท์ที่มีสายด่วนจากต่างประเทศเพื่อแจ้งเรื่องการประชุมออนไลน์ให้ลี่จุนถิง ยืนนิ่งอยู่กับที่ ลี่จุนถิงที่ถูกรบกวนก็มีสีหน้าเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด

เจียงหยุนเอ๋อแอบมองใบหน้าที่สะอาดและดูดีของเขา ฟังเขาพูดภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว ทั้งรู้สึกชื่นชมและรู้สึกน่าอิจฉา สวรรค์ช่างโปรดปรานผู้ชายคนนี้เหลือเกิน

เมื่อสรุปวันเวลาและหัวข้อได้แล้ว ลี่จุนถิงก็วางสาย แล้วบอกให้ลูกน้องออกไปได้

เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง เห็นท่าทางเธอที่นั่งทานอย่างเงียบ ๆ เรียบร้อย ไอแดดสาดส่องกระทบบนตัวเธอ ทั้งตัวเหมือนมีรัศมีเปล่งประกายออกมา ลี่จุนถิงจึงโน้มตัวไปข้างหน้า เชยคางเธอขึ้นมาเล็กน้อย ค่อย ๆ จูบลงบนริมฝีปากเธอด้วยความละเอียดอ่อน ทุกอย่างเคลื่อนไหวช้าลง

เจียงหยุนเอ๋อไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อถูกสัมผัสที่ดูดดื่มของเขาที่ทั้งอ่อนโยนและดุเดือด เธอก็หลับตาลง ขนตาที่สั่นไหวได้เผยให้เห็นอารมณ์ของเธอ

ทั้งสองคนกอดกันอยู่สักพักหนึ่ง แล้วเจียงหยุนเอ๋อก็เอามือที่พาดอยู่บนไหล่ของเขาออก กึ่งผลักกึ่งดันขัดจังหวะเขา แล้วเอ่ยพูดด้วยเสียงนุ่ม ๆ ว่า “นายจะสายแล้วนะ”

ลี่จุนถิงไม่อยากพรากจากความอ่อนโยนนี้ จึงได้ดึงเธอมากอดแน่น ๆ และจูบเธอแล้วจูบเธออีก

จนในที่สุดก็ยอมไปส่งเธอที่ด้านล่างตึก มองดูรถของเธอลับตาไปในถนนที่พลุกพล่านไปด้วยรถ เขาถึงได้หมุนตัวเดินขึ้นตึกเพื่อไปประชุม

เดิมทีคิดว่าการประชุมนี้จะใช้เวลาสักหนึ่งชั่วโมง แต่ใครจะไปรู้ว่าจะถกเถียงกันอย่างดุเดือดจนใช้เวลาไปถึงสองชั่วโมง ช้าไปหนึ่งชั่วโมงเต็ม ๆ จนลี่จุนถิงเพิ่งได้ปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คลงแรง ๆ

นั่งอยู่ในห้องประชุมที่ผู้คนสลายตัวกันไปแล้ว เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ ท่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า

เขาหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางคว่ำอยู่บนโต๊ะขึ้นมา เห็นข้อความจากเจียงหยุนเอ๋อที่ส่งมาบอกว่าถึงที่หมายอย่างปลอดภัยเมื่อราวหนึ่งชั่วโมงก่อน ลี่จุนถิงก็ลูบเคสโทรศัพท์ไปมา จู่ ๆ ก็คิดถึงช่วงเวลาผ่อนคลายที่ได้อยู่กับเธออย่างมาก

ทันใดนั้น ความคิดของลี่จุนถิงก็ถูกคนขัดจังหวะ “ประธานลี่ครับ คุณแม่ของคุณรอคุณอยู่ในห้องทำงานของคุณครับ”

สองชั่วโมงก่อนหน้า ขณะที่ลี่จุนถิงเดินเข้าห้องประชุม โม่เสี่ยวฮุ่ยก็ได้เดินเข้ามาในตึกนี้พอดี เมื่อรู้ว่าลูกชายกำลังประชุมอยู่ ก็เดินดูรอบ ๆ ทุกแผนกทั่วทั้งบริษัทอย่างเงียบสงบ แล้วกลับไปยังห้องทำงานของเขา รอเขาด้วยความอดทน

ลี่จุนถิงขมวดคิ้ว เขาไม่มีอารมณ์ไปนั่งฟังโม่เสี่ยวฮุ่ยบ่นนู้นบ่นนี่ทุกวี่ทุกวัน

“บอกไปว่าฉันประชุม”

“แต่ว่า……ท่านรออยู่สองชั่วโมงแล้วครับ” ลูกน้องเอ่ยด้วยความลำบากใจ

“……”

เมื่อเปิดประตูห้องทำงานลี่จุนถิงก้มหน้าทักทายแม่ “รอนานเลยนะครับ” เขายังคงรักษามารยาทพื้นฐานไว้

โม่เสี่ยวฮุ่ยลุกขึ้นเดินเข้าไปด้วยความดีใจ “เหนื่อยหรือเปล่า?”

ลี่จุนถิงหลบไม่ให้เธอแตะโดนตัว โม่เสี่ยวฮุ่ยก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วดึงเขาให้มานั่งที่โซฟา ผลักกล่องอาหารตรงหน้าไปให้ “แม่ตั้งใจต้มมาให้แก ชิมดูสิ?”

ลี่จุนถิงนึกถึงเจียงหยุนเอ๋อเมื่อไม่นานมานี้ขึ้นมากะทันหัน จึงอดทนรับเอาไว้ “ขอบคุณครับ”

“ไม่ต้องเกรงใจแม่หรอก” โม่เสี่ยวฮุ่ยเปิดกล่องอาหารให้เขา แล้วรินใส่ในแก้ว “ดื่มให้เยอะ ๆ นะ บำรุงร่างกาย”

ลี่จุนถิงดื่มแค่อึกสองอึกแล้ววางลง รู้สึกเลี่ยนไปทั้งปาก จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เขาเคยชินกับอาหารรสจืดของเจียงหยุนเอ๋อแล้ว

“ทำไม? ไม่ชอบเหรอ?” โม่เสี่ยวฮุ่ยผิดหวังเล็กน้อย

“เปล่าครับ มื้อเที่ยงทานอิ่มไปหน่อย ผมจะเก็บไว้ทานนะครับ” ลี่จุนถิงเรียกคนมาเอากล่องอาหารไป แล้วเก็บให้เรียบร้อย