โม่เสี่ยวฮุ่ยสีหน้าขรึมขึ้นมา เหลือบเห็นถึงผ้าที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา เซนส์ของผู้หญิงก็ทำงานทันที “เมื่อตอนเที่ยงผู้หญิงคนนั้นมาหาแกแล้วเหรอ?”
ลี่จุนถิงขมวดคิ้ว ไม่ได้ปฏิเสธ แล้วลุกขึ้นเดินไปยังโต๊ะทำงาน
“หล่อนน่ะวัน ๆ เอาแต่ตามติดแก นอกจากเรื่องพวกนี้แล้วรู้จักทำอะไรบ้าง? เป็นนังจิ้งจอกชัด ๆ!” โม่เสี่ยวฮุ่ยอดไม่ไหวด่ากราดออกมา
ลี่จุนถิงได้ยินแม่ของตัวเองพูดจาไม่น่าฟัง ก็หันกลับไปมองเธอ “ผมหวังว่าแม่จะให้เกียรติเธอหน่อย”
“ฉันต้องให้เกียรติมันเหรอ? ทำไมมันไม่ให้เกียรติฉัน? เอาแต่ล่อลวงแก แม้แต่เวลาทำงานก็ยังไม่เว้น ยังเหาะมาถึงที่บริษัท มันไม่รู้จักให้เกียรติกิจการตระกูลลี่ของพวกเราบ้างหรือไง?” โม่เสี่ยวฮุ่ยด่ากราดไปเรื่อย ไม่เหลือสำรวมเลยสักนิด
เธอเริ่มตำหนิลี่จุนถิง : “อีกอย่าง ก็ต้องโทษแกนั่นแหละ ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจจนถูกมันหลอกล่อไปต่างประเทศ จนทำให้ไอลูกนอกสมรสเวรนั่นฉวยโอกาสเข้ามา!”
“พอได้แล้ว!” ลี่จุนถิงซัดเอกสารทิ้ง ถูกด่าทอจนสมองวุ่นวาย จนหมดความอดทน
โม่เสี่ยวฮุ่ยรู้ตัวว่าทำเขาอารมณ์เสียแล้ว จึงค่อย ๆ ลดอารมณ์ตัวเองลง “แม่หวังดีกับแกนะ! ทำไมแกถึงไม่เข้าใจ?”
“ถ้าหวังดีกับผมก็อย่ามารบกวนชีวิตคู่ของผม” ลี่จุนถิงไม่พอใจ
“ก็ได้ แม่รับปากแก แต่แกต้องทุ่มเทเพื่อบริษัท จะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด”
ลี่จุนถิงเงียบอยู่นาน สุดท้ายก็เอ่ยขึ้นว่า : “ผมยังมีงานต้องทำ เชิญแม่กลับไปเถอะครับ”
เมื่อเชิญแขกที่ไม่ต้อนรับออกไปแล้ว ก็ได้เรียกผู้ช่วยให้เข้ามาพาเธอไปส่ง โม่เสี่ยวฮุ่ยจึงต้องยอมกลับไป
วันถัดมา เจียงหยุนเอ๋อได้รับข้อความเชื้อเชิญจากโม่เสี่ยวฮุ่ย——“พวกเรามาคุยกันหน่อย”
เจียงหยุนเอ๋อจับโทรศัพท์ไว้แล้วเหม่อลอย ในใจรู้สึกว้าวุ้น แต่ก็รู้สึกตื่นเต้น : “เป็นไปได้ยังไงกัน? ในที่สุดแม่ก็ยินดียอมรับฉันแล้วเหรอ?”
ผ่านไปสักพักใหญ่ เจียงหยุนเอ๋อถึงได้สงบสติอารมณ์ลงได้
เวลาพักเที่ยง เจียงหยุนเอ๋อมาถึงร้านกาแฟอย่างตรงเวลา
มองเห็นแผ่นหลังที่ดูดีมีออร่า เธอก็ชะลอความเร็วลง พยายามควบคุมสติอารมณ์ แล้วเดินไปอยู่ข้าง ๆ เธอ โค้งคำนับให้และเอ่ยทักทาย จากนั้นจึงได้นั่งลง
“มาแล้วเหรอ?” โม่เสี่ยวฮุ่ยเหลือบมองคนตรงหน้า แล้วแสยะยิ้มตอบรับ
เจียงหยุนเอ๋อพยักหน้า ยื่นมือไปคนกาแฟเย็นที่วางอยู่บนโต๊ะ ทั้งสองคนต่างเงียบไม่พูดจากัน
โม่เสี่ยวฮุ่ยจัดแจงแขนเสื้อ กระแอมเล็กน้อย “ครั้งนี้ที่ฉันนัดเธอมาไม่ได้มีจุดประสงค์อะไร ก็แค่อยากเปิดใจคุยกับเธอ”
เจียงหยุนเอ๋อเงยหน้ามองเธอ อ้าปากค้าง ได้แต่พยักหน้า
“ช่วงนี้เธอสบายดีสินะ” โม่เสี่ยวฮุ่ยยังคงยิ้มอย่างเย็นชา
“หนูสบายดีค่ะ คุณแม่ล่ะคะ?” เจียงหยุนเอ๋อวางช้อนลง นั่งตัวเกร็ง เอ่ยถามอย่างจริงใจ
“ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยสบายเท่าไหร่หรอก ต้องคอยระวังสองพ่อลูกสารเลวนั่น ไหนจะต้องคอยระวังเธอที่จงใจหลอกล่อลูกชายฉันอีก” โม่เสี่ยวฮุ่ยนั่งพิงไปด้านหลัง พูดจาเสียดแทงใจคน
เจียงหยุนเอ๋อตาโต คิดไม่ถึงว่าจะเปิดใจอย่างนี้
ไม่รอให้เธอตอบกลับ แม่ลี่ยังคงพูดจารุนแรงดุร้ายต่อไป : “ได้ยินแบบนี้แล้วผิดหวังมากใช่ไหม? ผิดหวังที่ตอนนั้นฉันไม่ถูกรถชนตาย?”
เจียงหยุนเอ๋อก้มหน้า ราวกับมีน้ำเย็นสาดลงบนหัว ตกอยู่ในสถานะที่น่าอึดอัดใจ ตัวเองอุตส่าห์จริงใจด้วยแต่กลับถูกกล่าวหาแบบนี้ เจียงหยุนเอ๋อจึงหมดแรงที่จะอธิบาย
“เหอะ? ไม่พูด? แสดงว่ายอมรับแล้วสินะ? ฉันไม่ชอบจริง ๆ ที่ต้องทนอยู่บ้านเดียวกับผู้หญิงที่ชั่วร้ายจอมปลอมอย่างเธอ แค่วินาทีเดียวก็ทนไม่ไหว”
พูดจบ โม่เสี่ยวฮุ่ยก็จากไปอย่างผู้ชนะ
มองตามหลังของโม่เสี่ยวฮุ่ยที่จากไป ในใจของเจียงหยุนเอ๋อรู้สึกสับสนอย่างมาก
เดิมทีเธอคิดว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนในที่สุดก็มาถึงจุดเปลี่ยนสักที แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายแล้วสถานการณ์ยังคงเป็นแบบเดิม……
เจียงหยุนเอ๋อกำหมัดแน่น ไม่สามารถบรรยายความรู้สึกของตัวเองในขณะนี้ได้เลย
น้อยใจเหรอ? ใช่ เธอควรน้อยใจ เพราะยังไงก็ไม่มีใครรับได้กับการถูกเหยียดหยามอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้หรอก ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องอุบัติเหตุรถชนนั่นก็ไม่ใช่เธอที่เป็นคนวางแผน แต่ไม่รู้เพราะอะไร โม่เสี่ยวฮุ่ยถึงได้มั่นใจอย่างนั้น ทำเอาเจียงหยุนเอ๋อไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี
“ฉันควรจะทำยังไง?” เจียงหยุนเอ๋อก้มหน้า พึมพำเสียงต่ำ
อีกด้าน จู่ ๆ เคธี่ก็ได้โผล่มาที่หน้าประตูร้านกาแฟ
เพราะอยากกระชับความสัมพันธ์กับโม่เสี่ยวฮุ่ย หลายวันมานี้เธอจึงได้ส่งคนมาคอยสอดส่องโม่เสี่ยวฮุ่ย วันนี้หลังจากที่เห็นโม่เสี่ยวฮุ่ยออกมาก็รีบตามมาทันที อยากจะใช้โอกาสนี้ตีสนิทกับโม่เสี่ยวฮุ่ย
แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายเธอจะได้เห็นฉากแบบนี้ ถือได้ว่าเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างไม่คาดคิดมาก่อนสินะ?
โม่เสี่ยวฮุ่ยออกไปแล้ว แต่ฝีเท้าของเคธี่ลังเลขึ้นมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรตามโม่เสี่ยวฮุ่ยไปดีหรือว่าอยู่ที่นี่เพื่อไปเยาะเย้ยเจียงหยุนเอ๋อดี
คิดไปคิดมา เคธี่ก็ได้โทรไปหาลูกน้องของตัวเอง ให้พวกเขาช่วยตามโม่เสี่ยวฮุ่ยไปก่อน ส่วนตัวเองก็เดินเข้าไปในร้านกาแฟ แล้วนั่งลงตรงหน้าเจียงหยุนเอ๋อ
ได้ยินเสียงคนนั่งลง เจียงหยุนเอ๋อก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยความแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นก็เห็นเป็นเคธี่นั่งอยู่ตรงข้ามกับตัวเอง
เจียงหยุนเอ๋อขยับปาก เพราะตอนนี้รู้สึกแย่มากจริง ๆ แม้แต่อยากยิ้มออกมาก็ช่างยากลำบากเหลือเกิน : “คุณเคธี่ บังเอิญจังเลยนะคะ”
“อืม” เคธี่พยักหน้าเล็กน้อย ท่าทางสบาย ๆ ราวกับว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความบังเอิญจริง ๆ “กาแฟของร้านกาแฟแห่งนี้ไม่เลวนะ ก่อนหน้านี้คุณแม่เคยพาฉันมา เป็นไง? คุณเจียงก็ชอบมากเหรอ?”
ได้ยินเคธี่เอ่ยถึงโม่เสี่ยวฮุ่ย เจียงหยุนเอ๋อก็ยิ่งปวดใจ ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับโม่เสี่ยวฮุ่ยแย่เกินไปจริง ๆ แต่กับเคธี่……เหมือนแค่โผล่มาก็ได้รับความชื่นชอบจากโม่เสี่ยวฮุ่ยแล้ว ทั้งสองคนดู ๆ แล้วสนิทสนมกันมาก ราวกับเป็นคู่แม่สามีลูกสะใภ้กันจริง ๆ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เจียงหยุนเอ๋อก็ก้มหน้าลงอีกครั้ง พูดอะไรไม่ออกอยู่สักพักใหญ่
เคธี่แสร้งทำเป็นกระพริบตาอย่างไม่เข้าใจ : “คุณเจียงอารมณ์ไม่ดีเหรอคะ? หรือว่า……ไม่ต้อนรับฉัน?”
“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น……ฉัน……ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย คุณเคธี่ ขอโทษด้วยจริง ๆ แต่คงจะอยู่เป็นเพื่อนคุณไม่ได้แล้วล่ะค่ะ”
เจียงหยุนเอ๋อยิ้มให้เคธี่ด้วยความรู้สึกผิด สีหน้าดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย
ถ้าเป็นปกติ ต่อให้มีเรื่องไม่สบายใจ เธอต้องนั่งอยู่ตรงนี้พูดคุยกับเคธี่สักกี่ประโยคแน่นอน แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์จริง ๆ
“ไม่เป็นไร” เคธี่โบกมืออย่างใจกว้าง แล้วมองเจียงหยุนเอ๋อจากไป
มุมปากของเธอยกขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่า ตอนนี้เจียงหยุนเอ๋อโดนหาเรื่องหนักมาก ก็จริงนะ มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ถูกแม่สามีของตัวเองทำแบบนี้ด้วยแล้วจะไม่รู้สึกแย่?
อีกอย่าง ตอนนี้เจียงหยุนเอ๋อตั้งท้องอยู่ด้วย อารมณ์ก็ยิ่งแปรปรวนไปกันใหญ่
เคธี่นั่งอยู่ที่นั่นไม่นานนัก จากนั้นเธอก็รีบไปหาโม่เสี่ยวฮุ่ย ทั้งสองคนเดินเที่ยวกันอย่างสนิทสนม เคธี่ก็คอยพูดเอาอกเอาใจโม่เสี่ยวฮุ่ยตลอดทาง ดูท่าทางรักใคร่กลมเกลียวกันมาก