ตอนที่ 461 เช่าหน้าร้านอย่างมีชั้นเชิง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 461 เช่าหน้าร้านอย่างมีชั้นเชิง

ทังชุ่นอิงตื่นตระหนกทันที รีบคุกเข่าลงกับพื้นแทบจะหมอบกราบ แถมยังโขกหน้าผากกับพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า “คุณหลิน ปล่อยฉันไปเถอะนะคะ”

แม่สามีของหล่อนก็หยุดตบตีตัวเอง แล้วคุกเข่าลงกับพื้นเช่นเดียวกัน พลางขอร้องวิงวอนอย่างน่าสมเพช “ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงของฉันเอง อย่าจับตัวลูกสะใภ้ฉันส่งสถานีตำรวจเลย ถ้าอยากจะจับละก็ จับตัวฉันส่งตำรวจแทนเถอะ”

หลินม่ายไม่แม้แต่จะสบตาพวกหล่อน ปล่อยให้ร้องห่มร้องไห้ต่อไป

จากนั้นก็มองไปที่ทังชุ่นอิงด้วยสายตาดูถูก แล้วพูดช้า ๆ “ถ้าอยากให้ฉันปล่อยคุณไปนักละก็ งั้นก็แสดงความจริงใจให้ฉันเห็นสิ”

ทังชุ่นอิงนึกลังเลอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ยอมควักเงินก้อนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ยอมจ่ายเงินที่ตัวเองยักยอกไปคืนแต่โดยดี

หลินม่ายโบกมือ “พวกคุณออกไปได้”

ทั้งครอบครัวได้แต่แบกหน้ากลับไปด้วยความสิ้นหวัง

เหรินเป่าจูมองดูนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะเตือนหลินม่าย “คุณหลิน สายแล้วค่ะ เลยเวลานัดเซ็นสัญญากับเจ้าของตึกแล้ว”

หลินม่ายโบกมืออีกครั้ง “ไม่ต้องรีบ ปล่อยให้พวกเขารอดีแล้ว”

จากนั้นเธอก็เรียกติงไห่เฟิงเข้ามาสั่งงาน บอกให้เขากระจายข่าวเรื่องที่ทังชุ่นอิงยักยอกเงินกองกลางของโรงงานตัดเสื้อ Unique เป็นจำนวนหลายพันหยวน แต่งานนี้จะต้องทำอย่างแนบเนียน และกระจายข่าวออกไปให้ไกลที่สุด

ที่สำคัญต้องเน้นย้ำว่าเธอสงสารครอบครัวของทังชุ่นอิงที่มีฐานะยากจน แถมยังมีเด็ก ๆ ที่ป่วยหนักและรอรับการรักษา ทั้งที่รู้ว่าทังชุ่นอิงยักยอกเงินกองกลางก่อน จากนั้นก็ไปสมรู้ร่วมคิดกับซีม่าน เธอกลับยอมปล่อยอีกฝ่ายไป โดยที่ไม่ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ

ติงไห่เฟิงรับคำสั่งก่อนจะเดินจากไป

หลินม่ายยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย

ตราบใดที่ข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ไม่ว่าครอบครัวของทังชุ่นอิงจะพยายามใส่ร้ายเธอด้วยวิธีไหนก็ตาม คำพูดเลื่อนเปื้อนของพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรเธอได้แล้ว

ตรงกันข้าม ความไร้ยางอายของครอบครัวทังชุ่นอิงนั่นแหละที่จะย้อนกลับไปทำร้ายพวกเขา จนไม่สามารถสู้หน้าคนนอกบ้านได้อีก

แต่ทั้งหมดนั้นเป็นแค่เรื่องจิ๊บจ๊อย

เธอไม่รู้ว่าถ้ากวนหย่งหัวรู้เรื่องนี้แล้ว เขาจะจัดการกับทังชุ่นอิงอย่างไรบ้าง!

เมื่อหลินม่ายกับเหรินเป่าจูมาถึงร้านเครื่องเขียนลี่หวาพร้อมกับเงินสด พวกเธอก็เห็นว่าเถ้าแก่เนี้ยร้านลี่หวากำลังกระวนกระวายราวกับมดบนเตาไฟ

หล่อนเอาแต่เดินเข้าเดินออกจากร้าน เขย่งเท้า ชะเง้อคอมองไปยังทิศทางที่หลินม่ายกับเหรินเป่าจูเดินจากไปอยู่บ่อย ๆ

ในที่สุดเมื่อเห็นร่างของพวกเธอสองคน หัวใจที่เต็มไปด้วยความกระวนกระวายก็สงบลงทันที ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในร้าน

สามีของหล่อนนอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบตัวเดียวกันกับที่หล่อนเคยนอน พอได้ยินเสียงฝีเท้า ก็ลืมตาขึ้นแล้วถามว่า “พวกเธอมาแล้วเหรอ?”

ฉิวลี่หวาพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น “มาแล้ว คุณต้องแกล้งทำเป็นไม่ยินดียินร้ายเข้าไว้นะ อย่าให้ผู้หญิงสองคนนั้นสังเกตเห็นเด็ดขาดว่าพวกเราอยากให้พวกเธอเซ็นสัญญาขนาดไหน”

ชายคนนั้นเม้มริมฝีปากอย่างเหยียดหยาม

ระหว่างนั้นก็แอบสบถในใจ ก่อนหน้านี้พวกเธอทำเป็นบอกว่าจะเซ็นสัญญาในอีกสามวันต่อมา สุดท้ายก็กลืนน้ำลายตัวเอง ยอมเซ็นสัญญาภายในวันนี้

มีใครมองไม่ออกบ้างว่าพวกเธอเองก็อยากได้หน้าร้านนี้มากเหมือนกัน

ต่อให้ก่อนหน้านี้แกล้งทำเป็นเหมือนไม่รีบร้อน ก็ใช่ว่าจะตบตาเขาได้ง่าย ๆ

ถึงแม้ว่าเขาจะคิดแบบนั้นอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ ยังคงนอนเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบอย่างนั้นกระทั่งผล็อยหลับไป

ฉิวลี่หวารออยู่ในร้านนานเกินสามนาทีแล้ว พอไม่เห็นหลินม่ายกับเหรินเป่าจูเดินเข้ามาในร้านเสียที ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกงงงวย

หล่อนอดทนรอต่อไปอีกสิบนาที จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นพวกเธอสองคนเดินเข้ามา

หล่อนควบคุมสีหน้าไว้ไม่ได้อีกต่อไป รีบเดินออกมาจากร้านแล้วมองออกไปข้างนอก

เพียงแวบเดียวเท่านั้น หล่อนก็เห็นว่าหลินม่ายกับเหรินเป่าจูยังยืนอ้อยอิ่งอยู่หน้าแผงขายซุปถั่วเขียวที่อยู่เยื้องไปทางขวามือของร้าน กำลังพูดคุยกับคุณป้าเจ้าของแผงด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

ตอนที่ฉิวลี่หวาออกมามองหาหลินม่ายกับเหรินเป่าจู สองสาวก็รู้ตัวแล้วเช่นเดียวกัน แต่ไม่เปิดเผยท่าทีให้ฉิวลี่หวารู้

เถ้าแก่เนี้ยมองเห็นแล้วว่าพวกเธอมาถึง แต่แทนที่จะเข้ามาทักทายและเชื้อเชิญให้หลินม่ายเข้าไปในร้านเพื่อเซ็นสัญญา หล่อนกลับยืนนิ่งสงวนทีท่าอยู่อย่างนั้น เดาว่าคงไม่อยากให้พวกเธอดูออกว่าตัวเองร้อนใจแค่ไหน

ดังนั้นหลินม่ายจึงตั้งใจว่าจะทำสงครามทางจิตวิทยาอีกครั้งเพื่อให้หล่อนแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา จะได้เป็นฝ่ายคุมเกมอย่างเต็มที่

ด้วยเหตุนี้พวกเธอจึงไม่รีบเดินเข้าไปในร้าน แต่ชักชวนให้เหรินเป่าจูยืนคุยกับคุณป้าชาวกว่างสีที่ขายซุปถั่วเขียวให้กับพวกเธอก่อนหน้านี้แทน

กล่าวขอบคุณคุณป้าที่ช่วยบอกว่าร้านเครื่องเขียนลี่หวากำลังปล่อยเช่า

ทั้งนี้ เธอไม่ลืมจ่ายเงินสิบหยวนให้กับคุณป้าเพื่อเป็นค่าตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกด้วย

ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างเผชิญหน้ากันอยู่ในระยะเผาขน ฉิวลี่หวารู้ตัวว่าถ้าตัวเองยังยืนจังก้าอยู่แบบนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ เพราะการแสดงออกอาจชัดเจนเกินไป

หล่อนจึงเดินออกมาจากร้านอย่างเสียไม่ได้ ทำเป็นเดินมาสั่งคุณป้าชาวกว่างสี “ขอซุปถั่วเขียวให้หน่อยสี่ชาม”

จากนั้นก็หันมาพูดกับหลินม่ายและเหรินเป่าจู “ไม่นึกเลยว่าฉันจะบังเอิญเจอกับพวกคุณตอนเดินออกมาสั่งซุปถั่วเขียวพอดี พวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอ?”

เหรินเป่าจูตอบ “ฉันมาถามซื้อน้ำตาลทรายแดงจากคุณป้าสองห่อน่ะค่ะ ได้ยินมาว่าน้ำตาลทรายแดงจากกว่างสีมีชื่อเสียงมาก”

คุณป้าเจ้าของแผงเป็นคนมีไหวพริบ พอเห็นว่าเหรินเป่าจูกำลังพูดโกหก นอกจากจะไม่เปิดโปงความจริงแล้ว ยังช่วยเธอปิดบังอีกด้วย

ทั้งสามเดินตามกันเข้าไปในร้านพร้อมกับซุปถั่วเขียวสี่ชาม

ฉิวลี่หวาตะโกนปลุกสามีตัวเอง “คุณนี่หัดทำตัวได้เรื่องสักวันได้ไหม วัน ๆ ไม่ยอมทำอะไรเลยนอกจากกินกับนอน ลุกขึ้นมาดื่มซุปถั่วเขียวได้แล้ว!”

ในเจียงเฉิง ผู้ชายที่แต่งงานแล้วส่วนใหญ่มักไม่มีปากมีเสียง จึงถูกภรรยาทุบตีหรือด่าทออยู่บ่อยครั้ง

ตราบใดที่การทุบตีหรือด่าทอไม่ก่อให้เกิดเป็นปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ฝ่ายชายก็อดทนได้กันทั้งนั้น

เถ้าแก่ลืมตา ลุกขึ้นจากเก้าอี้ผ้าใบ ก่อนจะหันไปทักทายหลินม่ายอย่างเป็นมิตร

หลังจากทั้งสี่ดื่มซุปถั่วเขียวจนหมดแล้ว ก็เริ่มทำการร่างเอกสารสัญญาเช่า

เถ้าแก่เนี้ยและสามีของหล่อนต่างก็เป็นคนฉลาดแกมโกงด้วยกันทั้งคู่ ทุกประโยคที่เขียนไว้ในสัญญาเช่าล้วนเอื้อผลประโยชน์ให้กับฝั่งตัวเองทั้งหมด

หลินม่ายใช้เวลาอ่านเอกสารสัญญาไปแค่ไม่ถึงนาที ก็ขว้างกระดาษแผ่นนั้นใส่หน้าสองสามีภรรยาด้วยความโกรธ

“สัญญาเช่าบ้านี่ยุติธรรมตรงไหนกัน? ถ้าพวกคุณไม่อยากเซ็นสัญญาก็แค่บอกกันตรง ๆ มาทำให้ฉันเสียเวลาทำไม!”

พูดจบ เธอก็ฉุดเหรินเป่าจูให้ลุกขึ้นแล้วเดินกระฟัดกระเฟียดออกไป

เถ้าแก่เนี้ยและสามีรีบหยุดพวกเธอไว้ทันที ยอมกัดฟันถามว่าแล้วพวกเธอต้องการให้เขาร่างสัญญาเช่าแบบไหน

หลินม่ายชี้ไปยังเงื่อนไขที่ระบุในเอกสารสัญญา แล้วไล่บี้ถามทีละข้อว่านี่เป็นสัญญาที่มีความเป็นธรรมอย่างไร นี่มันสัญญาหลอกลวงคนอื่นชัด ๆ

สัญญาเช่าจอมปลอมนี้ สองสามีภรรยาเจ้าเล่ห์เป็นคนร่างขึ้นมาด้วยตัวเอง

อ่านแวบแรกแล้วอาจจะดูดีมีแบบแผน แต่ถ้าตรวจสอบอย่างละเอียดจะรู้ทันทีว่ามันคือกับดัก

พวกเขาเคยวางกับดักผู้เช่าคนก่อนด้วยสัญญาเช่าแบบเดียวกันนี้

ผู้เช่าคนก่อนอายุประมาณสามสิบปี ท่าทางเฉลียวฉลาดมาก แต่เขากลับมองไม่เห็นปัญหาที่แฝงอยู่ในข้อสัญญาด้วยซ้ำ

ทั้งสองเห็นว่าหลินม่ายกับเหรินเป่าจูยังดูเด็กมาก โดยเฉพาะหลินม่ายที่มีอำนาจในการตัดสินใจ เธอมีอายุไม่น่าถึงยี่สิบด้วยซ้ำ เถ้าแก่เนี้ยกับสามีของหล่อนจึงคาดเดาว่าอีกฝ่ายคงอ่อนประสบการณ์ มองไม่เห็นปัญหาในสัญญาแน่

กลับกลายเป็นว่าเธอคือคนที่มองเห็นเล่ห์เหลี่ยมในสัญญาอย่างรวดเร็ว ถึงขั้นแสดงท่าทางต่อต้านพวกเขา

ในเมื่อเรื่องบานปลายมาถึงจุดนี้แล้ว จึงจำต้องร่างสัญญาเช่าขึ้นใหม่เท่านั้น ไม่อย่างนั้นหลินม่ายไม่มีวันยอมลงนามแน่

ทั้งสองฝ่ายใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง กว่าจะร่างสัญญาที่มีเนื้อหายุติธรรมและเท่าเทียมกันของทั้งสองฝ่ายเสร็จ

อย่างไรก็ตาม ก่อนจะลงนามในสัญญา หลินม่ายกับฝ่ายเถ้าแก่ก็มีความเห็นที่ไม่ลงรอยกันอีกครั้ง

เถ้าแก่เนี้ยและสามีต้องการกำหนดอายุสัญญาอยู่ที่ไตรมาสละครั้ง ในขณะที่หลินม่ายยืนกรานว่าจะต่ออายุสัญญาเป็นรายปี

โดยทั่วไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า ต่างก็ยินดีที่จะลงนามในสัญญากันปีละหนึ่งครั้ง

การที่เถ้าแก่เนี้ยกับสามียืนยันว่าจะมีการต่ออายุสัญญาทุกไตรมาส ถือเป็นเรื่องที่อุกอาจมาก

ความปรารถนาของเถ้าแก่เนี้ยกับสามีที่อยากให้หลินม่ายเช่าร้านของตัวเอง แข็งแกร่งกว่าความปรารถนาของหลินม่ายที่จะเช่าร้านนี้

หลินม่ายจึงแสดงทัศนคติอย่างชัดเจน ว่าถ้าพวกเขาไม่ยอมต่ออายุสัญญาเป็นรายปี เธอก็จะไม่ลงนาม

ฉิวลี่หวากับสามีจึงจำเป็นต้องยอมตามนั้น

พลาดจากหลินม่ายไปสักคน ไม่รู้ว่าจนกว่าจะถึงปีมะโว้ พวกเขาจะหาใครที่ยอมจ่ายค่าเช่าในราคาที่แพงขนาดนี้อีกไหม

ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยและสามีของหล่อนก็ยอมลงนามในสัญญา โดยจะมีการต่ออายุสัญญาเป็นรายปี

หลังจากนั้น ทั้งสองฝ่ายยังถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้น รอบนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอัตราค่าเสียหายที่ต้องชำระ

ฉิวลี่หวากับสามีของหล่อนยืนกรานว่าจะกำหนดค่าเสียหายจากการผิดสัญญาเอาไว้ที่หนึ่งพันหยวน

หลินม่ายไม่เห็นด้วย “ค่าเสียหายแค่หนึ่งพันหยวนเนี่ยนะ? เงินจำนวนน้อยนิดแค่นี้ไม่สามารถรับประกันได้ด้วยซ้ำว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะไม่พยายามละเมิดสัญญา อย่างต่ำห้าหมื่นหยวนเท่านั้นถึงจะเห็นผล คุณกำหนดค่าเสียหายไว้แค่นี้ คิดว่าตัวเองจะผิดสัญญาเมื่อไหร่ก็ได้หรือยังไงกัน?”

คำถามที่ดูเหมือนไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ ตอนนี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงอย่างชัดเจน

เถ้าแก่เนี้ยกับสามีของหล่อนวางแผนแบบนั้นไว้ตั้งแต่แรก ถ้าเห็นว่าธุรกิจของหลินม่ายเป็นไปได้สวย พวกเขาก็จะขึ้นค่าเช่าโดยทันที

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมตอนแรกพวกเขาทั้งสองถึงเรียกร้องจะให้เซ็นสัญญาเป็นไตรมาสท่าเดียว ก็เพื่อเอื้ออำนวยให้พวกเขาฉวยโอกาสขึ้นค่าเช่าอย่างไรล่ะ

พอหลินม่ายยืนกรานว่าจะต่อสัญญาเป็นรายปี

พวกเขาก็หันมาเล่นงานช่องโหว่เอากับค่าเสียหายจากการผิดสัญญา

พอกำหนดอัตราค่าเสียหายเอาไว้ต่ำ พวกเขาคิดจะขึ้นค่าเช่าเมื่อไหร่ก็ได้ โดยยอมจ่ายค่าฉีกสัญญาแค่น้อยนิด

เมื่อถูกหลินม่ายมองเห็นแผนการอย่างทะลุปรุโปร่ง ทั้งคู่ก็โวยวายขึ้นมา “คุณกล่าวหาฉันแบบนี้ได้ยังไง? คุณว่าใครอยากฉีกสัญญาเมื่อไหร่ก็ได้?”

หลินม่ายโต้ตอบทันควัน “ในเมื่อพวกคุณไม่คิดจะผิดสัญญา แล้วทำไมถึงไม่กล้ากำหนดค่าเสียหายไว้ที่ห้าหมื่นหยวนล่ะ?”

เถ้าแก่เนี้ยกับสามีถูกต้อนจนมุมจนแถต่อไม่ได้ ท้ายที่สุดจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมตกลงว่าจะกำหนดค่าเสียหายไว้ที่ห้าหมื่นหยวน

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายลงนามในสัญญาแล้ว หลินม่ายก็วางเงินค่ามัดจำพร้อมกับค่าเช่าจำนวนสองในสี่

การที่อีกฝ่ายยอมจ่ายค่าเช่ามากกว่าหนึ่งในสี่ตามอัตราท้องตลาดทั่วไป ช่วยระงับความไม่พอใจจากการพ่ายแพ้ติดต่อกันของเถ้าแก่เนี้ยกับสามีไว้ได้บ้าง

จากนั้น สองสามีภรรยาก็ช่วยกันเก็บเครื่องเขียนทั้งหมดใส่กล่องลัง แล้วส่งมอบให้กับหลินม่าย

หลินม่ายกับเหรินเป่าจูช่วยกันนับสินค้า เมื่อเห็นว่าไม่มีปัญหา จึงจ่ายเงินเหมาสินค้าพวกนี้ทันที

ถึงเครื่องเขียนพวกนี้จะมีเยอะเกินไป แต่ยุคสมัยนี้เครื่องเขียนประเภทปากกาและสมุดก็มีราคาถูกมาก สมุดจดหนึ่งเล่มมีราคาไม่ถึงหนึ่งเฟินด้วยซ้ำ

ถึงแม้ว่าสินค้าจะทับถมกันเป็นกองพะเนิน แต่ต้นทุนที่หลินม่ายจ่ายไปเป็นเงินแค่สามพันหยวนเท่านั้น

หลังจากส่งมอบทุกอย่างครบถ้วนแล้ว เถ้าแก่เนี้ยและสามีของหล่อนก็ส่งกุญแจให้กับหลินม่ายแล้วขอตัวจากไป

……………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เจอแต่คนเหลี่ยมจัดน้อม่ายจื่อ แต่ดีที่มีไหวพริบและประสบการณ์จากชาติที่แล้วเป็นตัวช่วย

ไหหม่า(海馬)