บทที่ 346 ล่องูออกจากถ้ำ
ฟ้าในเดือนเจ็ดมืดเร็วกว่าช่วงเดือนหกอย่างเห็นได้ชัด
พอฮ่องเต้เดินออกมาจากห้องทรงอักษรก็พบว่าเหลือแค่แสงรำไรสุดท้ายบนท้องฟ้า พอพระองค์เดินไปถึงที่ตำหนักฮว๋าชิง ก็พบว่าฟ้าได้มืดสนิทเป็นที่เรียบร้อย
แสงของดวงดาวเริ่มส่องสว่าง
ฮ่องเต้เดินเข้าไปในตำหนักฮว๋าชิง เหล่าขันทีและนางข้าหลวงในวังต่างพากันถวายพระพร
“ไท่เฟยทรงพักผ่อนแล้วหรือ” ฮ่องเต้เอ่ยถามพวกเขา
ขันทีนายหนึ่งอาสาตอบ “ทูลฝ่าบาท ยังพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เอ่ยกับเว่ยกงกง “ข้าจะไปหาไท่เฟย เจ้ากลับไปก่อน”
เว่ยกงกงคิดในใจ
เฮ้อ กระหม่อมยังไม่เหนื่อยสักหน่อย
จึงได้แต่รับคำอย่างไม่พอใจ “พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ย่างเท้าเข้าไปในตำหนักของจิ้งไท่เฟยที่กำลังนั่งสวดมนต์อยู่
ฮ่องเต้รอนางสวดมนต์ให้เสร็จอย่างเงียบๆ
ขณะที่แม่นมไช่ช่วยเข้าไปพยุงให้จิ้งไท่เฟยลุกขึ้น ในตอนนั้นจิ้งไท่เฟยถึงได้สังเกตเห็นว่ามีใครบางคนกำลังยืนอยู่ข้างหลัง “ฝ่าบาทเสด็จมาตั้งแต่เมื่อใด มายืนอยู่ที่นี่นานเท่าใดแล้ว”
ฮ่องเต้เอ่ยตอบ “ข้าเพิ่งเข้ามา ได้ยินเสียงเสด็จแม่กำลังสวดมนต์อยู่ ข้าก็เลยแอบฟังเงียบๆ ด้วย จิตใจเลยพลอยสงบลงไปด้วย”
“ช่วงนี้มีเรื่องให้กังวลใจหรือ” จิ้งไท่เฟยเอ่ยถาม
เรื่องให้กังวลย่อมมีอยู่แล้ว ทั้งภัยพายุฝน ภัยจากคนไม่ดี ไหนจะเรื่องชายแดนแคว้นเฉินที่เริ่มมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น อีกทั้งเรื่องที่มีคนพยายามจะลอบฆ่าจิ้งไท่เฟยอีก
อย่างน้อยภัยข้างนอกยังมีคนคอยช่วยเหลือได้ แต่ภัยข้างในนี่สิ
“ไม่มีอะไรมาก แค่เรื่องปัญหาในแคว้น ทำข้าล้าน่าดู” ฮ่องเต้ตัดสินใจไม่เล่าให้จิ้งไท่เฟยรู้
“แม่นมไช่ ไปหยิบธูปสงบจิตมาที” จิ้งไท่เฟยออกคำสั่ง
“เพคะ” แม่นมไช่ขานรับแล้วเดินออกไป
ฮ่องเต้พาจิ้งไท่เฟยไปที่หอชิวหวา
ทั้งสองนั่งลงบนเก้าอี้
นางกำนัลนำของว่างและน้ำชามาถวาย เป็นของโปรดของจิ้งไท่เฟยและฮ่องเต้ เพียงแต่ฮ่องเต้ไม่สามารถดื่มชารสเข้มข้นในตอนกลางคืนได้
“ไปหยิบผลไม้มาที” จิ้งไท่เฟยเอ่ย
“เพคะ” นางกำนัลจึงไปหยิบองุ่นและสาลี่มาถวาย
ขณะที่จิ้งไท่เฟยกำลังหยิบมีดขึ้นมาเพื่อจะปอกสาลี่ให้ จู่ๆ ถ้วยชาในมือของฮ่องเต้กลับหล่นแตกลงพื้น
จิ้งไท่เฟยผงะเล็กน้อย “ฝ่าบาท เป็นอะไรไปหรือ”
“ไม่มีอะไร ข้าถือไม่ดีเอง” ฮ่องเต้ปาดเหงื่อที่ไหลลงมา
เกิดอะไรขึ้นกันนะ
เสด็จแม่แค่พยายามจะปอกผลไม้ให้ แต่ในหัวของเขากลับฉายภาพฝันร้ายในคืนนั้นขึ้นมาดื้อๆ
สงสัยช่วงนี้เขาจะเหนื่อยเกินไปจริงๆ ก็เลยมีอาการแบบนี้
จิ้งไท่เฟยวางมีดและผลสาลี่ในมือลง หยิบผ้าเช็ดหน้าแล้วยื่นให้ แต่ฮ่องเต้กลับเอนหลังหลบนางโดยไม่รู้ตัว
จิ้งไท่เฟยชะงักไปชั่วขณะกับท่าทีของเขา
ส่วนฮ่องเต้ที่เพิ่งรู้ตัวเองว่าเริ่มเสียการควบคุมก็ก่นด่าตัวเองในใจว่าเหตุใดจึงทำตัวอกตัญญูเช่นนี้ เสด็จแม่อุตส่าห์จะช่วย แต่ตนเองกลับปฏิเสธดื้อๆ แบบนั้นหรือ
จากนั้นฮ่องเต้ก็รีบรับผ้าเช็ดหน้าในมือของจิ้งไท่เฟยมา “ข้าทำเอง เดี๋ยวเสื้อของเสด็จแม่จะเปียกเอา”
จิ้งไท่เฟยได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา “ได้สิ”
อย่างไรก็ดี อย่างน้อยทุกอย่างก็ไม่ได้ออกมาดูน่าอึดอัดจนเกินไป สองแม่ลูกพูดคุยกันอย่างสนุกสนานต่อ จนกระทั่งเว่ยกงกงเดินเข้ามาแจ้งว่าจี้จิ่วอาวุโสขอเข้าเฝ้า ฮ่องเต้จึงขอตัวลา
“ข้าให้คนเอาธูปสงบจิตไปไว้ที่ตำหนักของฝ่าบาทแล้วนะ” จิ้งไท่เฟยเอ่ย
“ขอบพระทัยเสด็จแม่เป็นอย่างยิ่ง” ฮ่องเต้ยิ้มให้พลางเอ่ยขอบคุณ
จากนั้นก็เดินไปที่ห้องทรงอักษร
“กระหม่อม ถวายบังคมฝ่าบาท!”
“เอาละ ไม่ต้องมาพิธีรีตอง ดึกป่านนี้แล้ว มีเรื่องอันใดกัน” ฮ่องเต้เดินไปที่โต๊ะแล้วนั่งลง
“ฝ่าบาท เจียวเจียวถูกลอบสังหารพ่ะย่ะค่ะ!”
“อะไรนะ!” ฮ่องเต้ลุกขึ้นยืนทันที “นางถูกลอบสังหารได้อย่างไร แล้วนี่นางอยู่ที่ไหน ได้รับบาดเจ็บหรือไม่”
จี้จิ่วอาวุโสถอนหายใจเบาๆ อย่างน้อยฝ่าบาทก็ทรงเป็นห่วงเป็นใยเจียวๆ อยู่บ้าง
“ฝ่าบาทอย่าเพิ่งใจร้อนไปพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นอีกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน เจียวเจียวอาการดีขึ้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ถอนหายใจโล่งอก แต่ไม่นานก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ‘อีกเหตุการณ์’อย่างนั้นหรือ หมายความว่า นางถูกลอบสังหารมากี่ครั้งแล้ว”
“สามครั้งพ่ะย่ะค่ะ” จี้จิ่วอาวุโสตอบ
แต่ที่จริงแล้วเป็นสองครั้งต่างหาก ครั้งแรกคือตอนที่พารุ่ยอ๋องเฟยไปตรวจนอกสถานที่ ส่วนอีกครั้งก็คือตอนที่เจอกับองครักษ์หลงอิ่งและกู้ฉังชิง
จี้จิ่วอาวุโสไม่พูดเรื่ององครักษ์หลงอิ่งให้ฮ่องเต้ฟัง เพราะเซียวลิ่วหลังเคยบอกเขาว่าจักรพรรดิองค์ก่อนไม่ได้ส่งมอบองครักษ์หลงอิ่งให้ฮ่องเต้แค่คนเดียวเท่านั้น องค์หญิงซิ่นหยางเองก็มีองครักษ์หลงอิ่งคอยอารักขาด้วยเช่นกัน
ส่วนคนอื่นๆ เซียวลิ่วหลังไม่กล้ายืนยัน
ตัวจี้จิ่วอาวุโสเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน
แต่ดูจากท่าทีของฝ่าบาทแล้ว พระองค์น่าจะไม่รู้ว่าในแคว้นเจาแห่งนี้ยังมีองครักษ์หลงอิ่งหลงเหลืออยู่อีก ส่วนจิ้งไท่เฟยจะรู้เรื่องนี้หรือไม่นั้น ไม่มีใครคาดเดาได้เลย
แล้วถ้าเกิดจิ้งไท่เฟยรู้ขึ้นมา แล้วยืนยันเสียงแข็งว่าตัวเองไม่มีองครักษ์หลงอิ่งอยู่ข้างกาย ก็คงจะไม่ดีแน่ๆ
ฮ่องเต้เอ่ยถามต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เหตุใดเจ้าถึงไม่มาบอกข้าให้เร็วกว่านี้”
จี้จิ่วอาวุโสแสดงสีหน้ารู้สึกผิด “เพราะนางไม่ยอมบอกกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ! ถ้ากระหม่อมไม่พบแผลเป็นที่มือของนางในวันนี้ กระหม่อมคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง แม่ทัพกู้เองก็เหมือนกัน ไม่ยอมบอกอะไรกระหม่อมเลย แถมยังช่วยนางปกปิดเรื่องนี้กับกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
จี้จิ่วอาวุโสเล่าเรื่องให้ดูเหมือนว่าสองพี่น้องพยายามปกปิดเรื่องนี้จากเขา
ฮ่องเต้พอได้ฟังก็เลิกคิ้วขึ้น
“ฝ่าบาทคงเคยได้ยินเรื่องตอนที่องค์ชายหนิงอ๋องมาช่วยไว้พ่ะย่ะค่ะ” จี้จิ่วอาวุโสเล่าต่อ
แน่นอนว่าฝ่าบาทรู้เรื่องนี้ แต่ตอนนั้นทรงคิดว่าพวกมันคงจงใจทำร้ายรุ่ยอ๋อง มิใช่กู้เจียวแต่อย่างใด
“ส่วนครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อสองสามวันก่อน มีคนโกหกว่ามีคนป่วยและขอให้เจียวเจียวไปหาเขา แต่กลับถูกซุ่มโจมตีระหว่างทาง โชคดีที่พลทหารกู้มาทันเวลาและบวกกับเจียวเจียวมีอาวุธป้องกันตัวพอดี ก็เลยสามารถต้านทานอีกฝ่ายเอาไว้ได้”
ฮ่องเต้เริ่มแสดงสีหน้าตกใจ “ระดับกู้ฉังชิงยังสู้ไม่ได้เลยรึ”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ หนึ่งในพวกมันมีฝีมือร้ายกาจมาก กระหม่อมไม่ทราบว่ามันเป็นใครมาจากสำนักใด” จี้จิ่วอาวุโสยังคงเล่าต่อ “ส่วนครั้งที่สามเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เองพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมเจอมือสังหารอีกครั้งระหว่างกำลังมาที่วังหลวง โชคดีที่คราวนี้ไม่มีนักฆ่าที่เก่งกาจอย่างคราวนั้น ไม่เช่นนั้นชีวิตของพวกกระหม่อมคงหาไม่พ่ะย่ะค่ะ”
แน่นอนว่าครั้งที่สามที่ว่าคือเรื่องที่เพิ่งกุขึ้น เพื่อสร้างความสับสนให้อีกฝ่าย
“แล้วแม่นางกู้ล่ะ” ฮ่องเต้เอ่ยถามด้วยท่าทีร้อนรน
“นาง…” จี้จิ่วอาวุโสตีสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะเอ่ยพูดด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “นางบอกว่าตอนนี้ฝ่าบาททรงเกลียดนาง เลยเกรงว่าฝ่าบาทจะไม่ยืนหยัดเพื่อนางอย่างแน่นอน นางจึงตัดสินใจไปหาจวงไทเฮาแทนพ่ะย่ะค่ะ”
วิธีการยั่วยุนี้ได้ผลทันตา ฮ่องเต้เริ่มแสดงท่าทีโกรธพลางเอามือตบโต๊ะ “ใครบอกว่าข้าจะไม่ยืนหยัดเพื่อนาง! ในสายตาของนาง ข้าดูไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นเชียวรึ!”
นั่นก็เพราะว่าท่านมีตาหามีแววไม่เองมิใช่หรือ
อะแฮ่ม
จี้จิ่วอาวุโสเริ่มกังวลว่าตัวเองจะเล่นใหญ่เกินไปหน่อย
เขาเป็นแค่ขุนนางตัวเล็กๆ ไม่ควรจะมายั่วโทสะฮ่องเต้แบบนี้
ตั้งแต่เรื่องครั้งนั้นที่เขาได้กลางเป็นพ่อจำเป็นของฝ่าบาท ความกล้าของจี้จิ่วอาวุโสก็เริ่มกู่ไม่กลับแล้ว
นี่มันไม่ดีเลย !
“ฝ่าบาท ข้ากล้าเดาว่าคนที่ลอบทำร้ายนางจิ้งไท่เฟยและเจียวเจียวน่าเป็นคนกลุ่มเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ” จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยด้วยสีหน้าแน่วแน่
“เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น” ฮ่องเต้เอ่ยถามด้วยความสงสัย
จี้จิ่วอาวุโสมองไปที่ฮ่องเต้อย่างกล้าหาญ “ฝ่าบาท หากมีอะไรเกิดขึ้นกับจิ้งไท่เฟย จะทรงสงสัยใครเป็นคนแรกพ่ะย่ะค่ะ”
จวงไทเฮา
คำตอบนี้ชัดเจนอยู่แล้ว
ครั้งสุดท้ายที่ฆาตกรปลอมตัวเป็นกู้เจียวเพื่อลอบสังหารจิ้งไท่เฟย แปลว่าเขาต้องการโยนความผิดให้กับจวงไทเฮา แต่น่าเสียดายที่ดันถูกฮ่องเต้จับได้ก่อน
ฮ่องเต้ยังคงหวาดกลัวเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ทรงบีบกำปั้นแน่น พลางเอ่ยถาม “แต่นี่มันเกี่ยวอะไรกับเจียวเจียว ข้าเองก็ไม่ได้สงสัยในตัวจวงไทเฮา หรือไทเฮาสงสัยว่าเป็นฝีมือข้าหรืออย่างไร”
ผู้เฒ่าจี้จิ่วอาวุโสส่ายศีรษะ: “นั่นไม่เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรก็ตาม เพราะเจียวเจียว ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่าบาทกับไทเฮาจึงผ่อนคลายลง นี่เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ผ่อนลงอะไรกัน!” ฮ่องเต้เอ็ดหนึ่งที
จี้จิ่วอาวุโสแสร้งทำเป็นไม่เห็นท่าทางเก้อเขินของฮ่องเต้แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “ฝ่าบาททราบดีว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร ดังนั้น กระหม่อมจะไม่พูดอะไรมาก เจียวเจียวเป็นคนเดียวที่ทั้งฝ่าบาทและไทเฮาทรงโปรดปราน หากเจียวเจียวตายไป ไม่มีความเป็นไปได้ที่ฝ่าบาทกับไทเฮาจะปรองดองกัน ฉะนั้น กระหม่อมคิดว่าคนที่ลอบสังหารเจียวเจียวกำลังมุ่งสร้างรอยร้าวระหว่างฝ่าบาทกับจวงไทเฮาอยู่แน่ๆ พ่ะย่ะค่ะ! ”
ฮ่องเต้ถึงกับพูดไม่ออก
เมื่อเห็นท่าทีอ้ำอึ้งของฮ่องเต้ จี้จิ่วอาวุโสก็เริ่มราดน้ำมันลงกองไฟต่อ “เรื่องที่ไท่เฟยถูกทำร้ายจนตกทะเลสาบไท่เยว่ ลิ่วหลังเคยบอกกับกระหม่อมว่าฝ่าบาทเองก็น่าจะกำลังสืบเรื่องนี้อยู่ ไม่ทราบว่าทรงมีข้อมูลน่าสนใจมาบอกเล่าหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่มี” พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ ฮ่องเต้ก็ถึงกับว้าวุ่น
จี้จิ่วอาวุโสมองขึ้นไปบนหลังคาและถอนหายใจอีกครั้ง “ดูเหมือนว่านักฆ่าจะรู้ตัวว่าเขากำลังคุกคามผู้อื่น และเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ เขาจึงซ่อนตัวอย่างสมบูรณ์ อีกฝ่ายเจ้าเล่ห์มากและไม่ทิ้งเบาะแสอะไรไว้แม้แต่นิด แต่ฝ่าบาท จะทรงนั่งรอให้ความตายมาเยือนจริงๆ หรือ ถ้าฆาตกรไม่ถูกกำจัด นั่นเท่ากับว่าเจียวเจียวกับจิ้งไท่เฟยตกอยู่ในอันตรายได้ทุกชั่วยามเลยพ่ะย่ะค่ะ”
และประโยคนี้ก็แทงใจดำของฮ่องเต้เข้าอย่างจัง
นอกจากลูกชายแล้ว ก็มีแค่จิ้งไท่เฟยและกู้เจียวที่เป็นคนที่เขาเป็นห่วงมากที่สุด
เขาจะปล่อยให้เกิดเรื่องกับสองคนนั้นไม่ได้เด็ดขาด!
“เจ้าว่า ข้าควรทำเช่นไร” ฮ่องเต้หันไปถามจี้จิ่วอาวุโส
“ต้องใช้วิธีล่องูออกจากถ้ำพ่ะย่ะค่ะ! ตราบใดที่ฝ่าบาทประสงค์จะร่วมมือกับกระหม่อม กระหม่อมจะมีวิธีทำให้ตัวการแสดงธาตุแท้ออกมาได้อย่างแน่นอน! ”